ปีศาจโลหิตย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว และไม่มีทางยอมรับความจริงข้อนี้ด้วย หลังจากดันทุรังตรวจสอบดู นางก็ตกตะลึงมาก!
นางเฝ้าสังเกตทุกการกระทำของศีลแปดมาตลอด ยังไม่เห็นศีลแปดใช้ของอะไรช่วยเลย ปราณปีศาจโลหิตที่กรอกเข้าไปในร่างกายศีลแปดอันตรธานไปหมดสิ้น ถูกกำจัดหมดเกลี้ยง จะเป็นไปได้อย่างไร?
“เจ้าฝึกเคล็ดวิชาอะไร?” อุทานถามอย่างตกใจ
ศีลแปดถอนหายใจแล้วตอบว่า “ไม่เกี่ยวว่าฝึกเคล็ดวิชาอะไร ยามเกิดบาปขึ้นในใจ หัวใจข้าเป็นอิสระ ข้าก็เป็นเพียงข้า จะโดนปนเปื้อนจากสิ่งภายนอกได้อย่างไร! หากกระจกเดิมใสสะอาดอยู่แล้ว จะมีฝุ่นจับได้อย่างไร! หงเอ๋อร์ เจ้ายึดมั่นในลักษณ์แล้ว!”
“เจ้า…” ใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็งก็ไม่สำเร็จ ทำอะไรเขาไม่ได้เลย ปีศาจโลหิตรู้สึกอยากจะเป็นบ้า เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากฆ่าศีลแปดทิ้ง!
ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นฝ่ายถอดเสื้อผ้าเสนอตัวเพื่อขอความรักจากผู้ชายที่รู้จักกันเป็นครั้งแรก แต่กลับไม่ได้อะไรกลับมา คนนอกไม่มีทางเข้าใจได้เลยว่าความนับถือในตัวเองได้รับความกระทบกระเทือนขนาดไหน ถ้านางเป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งก็ไม่เป็นไร แต่นางกลับแข็งแกร่งกว่าผู้ชายคนนี้ เดิมทีนางคิดว่าผลลัพธ์จะออกมาดีงามมาก ใครจะคิดว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้
เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ทำท่าอับอายโมโหจนใกล้จะควบคุมตัวเองไม่อยู่ ศีลแปดก็แอบร้องในใจว่าซวยแล้ว หัวสมองรีบคิดหาหนทาง
ประจวบเหมาะพอดี โอกาสพลิกสถานการณ์โผล่มาแล้ว ปีศาจโลหิตขมวดคิ้ว ถือระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา
หลังจากตั้งใจฟังครู่หนึ่ง ปีศาจโลหิตก็สีหน้าเปลี่ยนทันที ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตะคอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ!”
เมื่อเอ่ยชื่อนี้ออกมา ศีลแปดคิ้วกระคุกโดยไม่รู้ตัว เป็นคนชื่อแซ่เดียวกันหรือเป็นพี่ใหญ่? รอจนกระทั่งปีศาจโลหิตร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดาราตอบข้อความเสร็จ ศีลแปดก็ยิ้มบางๆ พร้อมถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อเป็นใครหรือ?”
“เป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจเหมือนกับเจ้าไงล่ะ” ปีศาจโลหิตเดือดดาล
ศีลแปดงงไปชั่วขระ ถามหยั่งเชิญว่า “หนิวโหย่วเต๋อคือคนที่เจ้าชอบเหมือนกันเหรอ?”
“เหลวไหล!” ปีศาจโลหิตโมโหจนตัวสั่น “เจ้าคิดว่าข้าเจอผู้ชายคนไหนก็ถอดเสื้อผ้าให้ดูหมดเลยใช่มั้ย? ที่แท้ในสายตาเจ้า ข้าก็เป็นคนแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะเจ้าถึงไม่ชอบข้า!”
“อามิตาพุทธ! ในสายตาของอาตมา ถึงแม้การกระทำของเจ้าจะออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่กลับเป็นคนจริงใจ มีหัวใจเหมือนเด็กแรกเกิด พบหาได้ยาก ไม่เกี่ยวกับชอบหรือไม่ชอบเหมือนที่เจ้าบอก!” ศีลแปดประนมมือกล่าวปลอบใจ
เป็นครั้งแรกที่ปีศาจโลหิตได้ยินเขาเอ่ยชมนิสัยของนาง ถึงแม้สีหน้าจะยังแสดงความไม่พอใจ แต่ความโกรธกลับคลายลงแล้ว นางทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “สุดท้ายก็ยังไม่ชอบไง เจ้ารังเกียจข้า เพราะในสายตาของผู้ฝึกตนในแนวทางที่ถูกต้องอย่างพวกเจ้า ข้าเป็นเพียงมารปีศาจใช่มั้ย?”
“อาตมาไม่ได้หมายความอย่างนี้เลย ในสายตาอาตมา สรรพสิ่งล้วนเท่าเทียมกัน!” ศีลแปดพูดจาดูดีอย่างไม่กระดากอาย แล้วถามว่า “อาตมาเพียงรู้สึกแปลกใจ เหตุใดเวลาเจ้าเอ่ยถึงชื่อนี้แล้วใจเกิดความอาฆาต หรือว่าเจ้ามีความแค้นกับหนิวโหย่วเต๋อคนนี้?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ปีศาจโลหิตก็เกลียดเข้ากระดูกดำ “ไม่ใช่แค่มีความแค้นหรอก ข้าอยากจะฉีกร่างป่นกระดูกเขาด้วยซ้ำ เดิมทีข้ามีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า ห่างกับระดับบงกชรุ้งเพียงก้าวเดียว แต่กลับโดนเขาเล่นงานจนวรยุทธ์ลดเหลือบงกชทองขั้นเจ็ด…”
ศีลแปดตั้งใจสืบหาโดยถามอ้อมๆ ปีศาจโลหิตจึงเล่าเรื่องความแค้นระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้ให้ฟังคร่าวๆ
หลังจากฟังจบ ศีลแปดก็พึมพำในใจ เป็นพี่ใหญ่จริงๆ ด้วย พี่ใหญ่เหี้ยมหาญมาโดยตลอดอย่างที่คาดไว้ เพิ่งจะแยกจากกันไม่นาน แต่วรยุทธ์บรรลุถึงระดับบงกชทองแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง แต่ยังกล้าปะทะกับปีศาจโลหิตที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดตรง ทั้งยังเล่นงานจนปีศาจโลหิตบาดเจ็บด้วย…
ศีลแปดมองดูระฆังดาราในมือนาง แล้วยิ้มเรียบๆ “จู่ๆ เจ้าก็เอ่ยถึงศัตรูคนนี้ หรือว่าเจ้ากับเขามีการติดต่อกัน?”
ปีศาจโลหิตอแสยะยิ้ม “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าได้ข่าวว่าเจ้าบ้านั่นหนีออกจากดาวเทียนหยวน แล้วไปโผล่ที่ตลาดสวรรค์ของดาวซิงหัว”
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีอำนาจมากขนาดนี้ ทุกที่ล้วนมีคนคอยเป็นหูเป็นตาให้เจ้า…” เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเหมียวอี้ ศีลแปดย่อมต้องหาทางรู้ให้กระจ่าง ว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่!
ณ ตลาดสวรรค์ ของดาวซิงหัว เหมียวอี้วิ่งไปที่ร้านค้าของสำนักเมฆดาราที่ขายกระสวยทองและกระสวยเงินโดยเฉพาะ เขาซื้อมาเก็บไว้จำนวนหนึ่ง หลังจากมีบทเรียนในครั้งนี้ เขาก็พยายามเตรียมติดตัวไว้เยอะๆ หน่อย เมื่อก่อนไม่กล้าเตรียมไว้เยอะเพราะกลัวว่าพวกปีศาจเฒ่าที่ทะเลดาวนักษัตรจะจดจำเส้นทางของพิภพใหญ่ได้ แต่ตอนนี้มีวรยุทธ์ระดับบงกชทองแล้ว ทำให้เขาพอจะมีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง
กระสวยเงินที่ไว้ใช้สำหรับคนเดียว เขาเตรียมไว้เยอะเป็นพิเศษ ที่จริงการใช้ของที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งทำให้เปลืองเงินมาก ใช้กระสวยทองครั้งเดียวก็เท่ากับเสียไปแล้วสิบล้านผลึกทอง ส่วนกระสวยเงินก็หนึ่งล้านผลึกทอง แต่การที่เจ้าจะเดินทางไปทั่วพิภพใหญ่ ถ้าไม่ใช้ของสิ่งนี้ก็ทำไม่ได้ นอกเสียจากวรยุทธ์ของเจ้าจะสูงถึงระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ แบบนั้นถึงจะไม่ได้รับผลกระทบจากพลังใดๆ ที่เกิดจากประตูดวงดาว
เมื่อออกจากร้านค้าสำนักเมฆดารา เหมียวอี้ก็ไม่ได้อยู่ที่ตลาดสวรรค์ของที่นี่ต่อ ร้านขายของชำซื่อตรงยังไม่ได้ขยายสาขามาถึงที่นี่
เมื่อออกจากเมือง เหมียวอี้ก็เหาะฝ่าชั้นบรรยากาศออกไปโดยตรง ขณะที่ตัวอยู่บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เขาก็หยิบแผนที่ดาวออกมาหาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดในการไปดาวแมกไม้ แล้วเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว
เร่งเหาะมาตลอดทาง ข้ามผ่านประตูดวงดาวติดต่อกันหลายบาน ขณะที่ใกล้จะถึงดาวแมกไม้ ระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติก็ส่งเสียงดัง พอร่ายอิทธิฤทธิ์ดู เขาก็ทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นระฆังดาราอันที่ใช้ติดต่อกับศีลแปด
สาเหตุที่เหมียวอี้ดีใจ ก็เพราะสุดท้ายเจ้าเด็กบ้าที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำก็ติดต่อกลับมาเสียที แต่ที่รู้สึกตกใจ ก็เพราะเขารู้จักศีลแปดดีเกินไป ถ้าเจ้าบ้านี่หนีได้ไปเมื่อไร เมื่อไม่โดนกดดันให้จนตรอก เจ้าตัวก็จะไม่มีทางติดต่อกลับมาเด็ดขาด ไม่รู้เหมือนกันว่าศีลแปดประสบปัญหาอะไร ดันติดต่อมาหาเขาในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้
เขาหยิบระฆังดารามาตอบกลับทันที : เจ้ารอง เจ้ารู้จักติดต่อข้าด้วยเหรอ?
ทางฝั่งศีลแปดตอบว่า : พี่ใหญ่ ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบนะ ท่านอย่าเอาแต่มองว่าข้าเป็นเด็กน้อยสิ ไม่ต้องเปลืองคำพูดด่าข้าแล้ว ข้าจะบอกท่านว่า ตอนนี้ท่านประสบปัญหาแล้วล่ะ ท่านโดนคนของร้านค้าสมาคมวีรชนที่ตลาดสวรรค์ดาวซิงหัวเพ่งเล็งอยู่ มีคนติดตามท่านตลอดทาง เพียงแต่การต่อสู้ระหว่างท่านกับปีศาจโลหิตทำให้พวกเขาไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร บังเอิญว่าที่ดาวซิงหัวไม่มียอดฝีมือเก่งๆ แล้วท่านเองก็เพ่นพ่านอยู่ในจักรวาลตลอด ไม่สะดวกจะดักโจมตีท่าน รอให้ท่านหยุดพักเมื่อไร รอให้แน่ใจจุดหมายปลายทางของท่านแล้ว ก็จะมีผู้ช่วยตามไปทันที ตอนนี้ปีศาจโลหิตกำลังตามไปหาท่านที่นั่น ท่านรีบหาทางหนีเถอะ!
เหมียวอี้ได้ยินข่าวแล้วตกใจมา ศีลแปดรู้ว่าเขาไปที่ตลาดสวรรค์ของดาวซิงหัว ทั้งยังรู้ว่าเขาเพ่นพ่านไปทั่ว แถมยังรู้เรื่องปีศาจโลหิตอีก เช่นนั้นสิ่งที่ศีลแปดพูดก็ไม่ผิดพลาดแน่
เขารีบหันกลับไปมองหาโดยใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ แต่ก็ไม่เห็นใครสะกดรอยตามมา แต่ในเมื่อศีลแปดพูดแบบนี้แล้ว แสดงว่าไม่ผิดพลาดแน่นอน เมื่อมองสำรวจให้ละเอียดอีกที ก็เหมือนจะเห็นรางๆ ว่ามีคนตามเขาอยู่ไกลๆ เหมือนจะอยู่นอกขอบเขตที่สายตาของเขาจะมองเห็น ถ้าไม่สังเกตให้ดีเป็นพิเศษ ก็จะไม่สังเกตเห็นเลย
เห็นได้ชัดเจนมา ในเมื่อคนอื่นๆ ของสมาคมวีรชนเข้ามาแทรกแซงแล้ว ก็แสดงว่าไม่เกี่ยวกับความแค้นส่วนตัวระหว่างเขากับปีศาจโลหิต เป้าหมายย่อมเป็นหุ้นสองส่วนที่อยู่ในมือเขา สงสัยสมาคมวีรชนจะเห็นว่าปีศาจโลหิตทำพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องยื่นมือเข้ามาด้วยตัวเอง
ถ้าจะพูดไม่ให้ชัดก็ไม่เกี่ยวกับสมาคมวีรชน เพราะตอนนี้ยังไม่เปิดเผยให้สาธารณชนรู้เรื่องที่ในมือเขามีหุ้นสองส่วน กอปรกับสมาคมวีรชนช่วยรักษาความลับเพราะอยากจะฮุบไว้คนเดียว ไม่อย่างนั้นถ้าข่าวแพร่ออกไปทั่ว คนที่อยากลงมือกับเขาคงไม่ได้มีแค่สมาคมวีรชนแล้ว
ในใจเหมียวอี้เต็มไปด้วยความคับแค้น ตัวเองแทบจะไม่มีอำนาจและคนหนุนหลังที่พิภพใหญ่เลย ต่อให้มีโอกาสร่ำรวยแต่ก็รักษาไว้ไม่ได้ รอบข้างมีแต่ฝูงเสือฝูงหมาป่าที่ละโมภไม่รู้จักอิ่มคอยจ้อง เมือ่เห็นเนื้อติดมันก็อยากจะกัดสักคำ กฎแห่งธรรมชาติของโลกนี้ก็คือผู้ที่เข้มแข็งที่สุดจึงจะอยู่รอด เข่นฆ่าให้เป็นภูเขากระดูกทะเลเลือดกก็ยากที่จะระบายความแค้นในใจตอนนี้ได้!
เขารีบติดต่อศีลแปดอีกครั้งภายใต้ความตกใจกลัว : เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง? เจ้าอยู่ที่ไหน?
ศีลแปดตอบว่า : ข้าพยายามสุดความสามารถถึงหาโอกาสติดต่อท่านได้ มีคนจับตาดูข้าอยู่ พูดอะไรกับท่านมากไม่ได้ ไม่พูดแล้ว ถ้าพูดอีกเดี๋ยวโดนจับได้ ท่านรีบหาทางหนีให้เร็วที่สุดเถอะ!
หลังจากนั้น ไม่ว่าเหมียวอี้จะพยายามติดต่ออย่างไร ทางฝั่งศีลแปดก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว ไม่ต้องบอกอะไรมาก เหมียวอี้เดาว่าศีลแปดจะต้องปะปนอยู่กับคนของสมาคมวีรชนแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ข่าววงในของสมาคมวีรชนหรอก
ส่วนศีลแปดทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร เหมียวอี้คิดไม่ตก ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดอะไรมากมายขนาดนั้น เรื่องที่ต้องทำตอนนี้คือปลีกตัวหนีให้เร็วที่สุด
เขาคิดกลับไปกลับมาอย่างรวดเร็ว สิ่งแรกที่เขาคิดได้ก็คือไปหลบภัยที่ปราสาทดำเนินนภา แต่พอลองคิดอีกมุม ตัวเองสู้กับปีศาจโลหิตมาหลายครั้งแล้ว ทางสมาคมวีรชนรู้แล้วว่าตนกับปราสาทดำเนินนภามีความสัมพันธ์กันอย่างไร ถ้าเปิดเผยเบาะแสว่าจะไปปราสาทดำเนินนภา อีกฝ่ายจะต้องกำหนดสถานที่แล้วไปดักรอตนแน่นอน แบบนั้นอันตรายเกินไป
ถ้าอ้อมเบี่ยงจากเส้นทาง เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะสลัดฝ่ายตรงข้ามพ้นหรือไม่ โดนจับตามองตอนอยู่คนเดียวนานเกินไปนับว่าเสี่ยงมาก ไม่เหมาะที่จะเพ่นพ่านไปที่ไหนเพียงลำพังอีก
อันตรายทำให้เรื่องราวกระชั้นชิดจวนตัว เมื่อคิดไปคิดมา เขาก็ยังไม่เปลี่ยนเส้นทาง มุ่งหน้าสู่ดาวแมกไม้ต่อไป ที่นั่นยังมีปราสาทแมกไม้ นั่นคืออาณาเขตของปราสาทแมกไม้ ขอเพียงหาผู้อาวุโสมู่เซินพบ อาศัยฐานะของแขกผู้มีเกียติสูงสุดอย่างตน ถ้าผู้อาวุโสมู่เซินยังขัดขวางไม่ไหว ผู้อาวุโสมู่เซินก็สามารถเรียกยอดฝีมือของปราสาทแมกไม้ให้มาช่วยได้ ปราสาทแมกไม้ต้องไม่ยอมให้คนของสมาคมวีรชนมากำเริบเสิบสานบนอาณาเขตของตนแน่นอน ปราสาทแมกไม้ก็มีความสามารถที่จะขัดขวางสมาคมวีรชนเหมือนกัน!
เมื่อกำหนดแผนได้แล้ว ก็หันไปมองข้างหลังเป็นระยะ ก่อนจะเหาะด้วยความเร็วสุดกำลัง
สุดท้ายเมื่อมาถึงดาวแมกไม้ เขาก็เหาะวนอยู่พักหนึ่ง พอหาตำแหน่งคร่าวๆ ของเผ่าปีศาจเจอแล้ว ก็พุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศลงไปด้วยความเร็วสูง ระหว่างทางที่เหาะลงมาก็เปลี่ยนทิศทางไม่หยุด สุดท้ายก็เหยียบลงบริเวณใจกลางของผ่าปีศาจอย่างมั่นคง เหยียบลงนอกโพรงของต้นไม้มหึมาที่เป็นร่างเดิมของผู้อาวุโสมู่เซิน
บรรดาปีศาจที่เหาะขึ้นมาขวางทาง พอเห็นว่าเป็นเขาก็ย่อมหลีกทางให้ เหมียวอี้อยู่ที่นี่มาหลายปี ด้วยฐานะของแขกผู้มีเกียรติสูงสุด ผู้อาวุโสมู่เซินจึงออกคำสั่งกับเผ่าปีศาจไว้แล้ว ว่าเหมียวอี้สามารถเข้าออกทุกที่ในอาณาเขตของเผ่าปีศาจได้ตามอำเภอใจ ไม่ว่าใครก็ห้ามขัดขวาง ทำให้เขามาที่นี่ได้สะดวกกว่าพวกหมิงจ้าวเสียอีก
มู่เซินกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในโพรงไม้ พอเห็นเหมียวอี้เดินเข้ามา ก็ถามอย่างประหลาดใจ “ฆราวาส พวกเจ้าออกจากที่นี่ไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนลำบากใจที่จะพูด “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่คนของปราสาทดำเนินนภา ระหว่างทางแยกทางกับพวกเขา ตอนกลับโดนคนของสมาคมวีรชนจับตามอง โดนกดดันจนหมดทางเลือกจึงหนีกลับมา จะมาขอร้องให้ผู้อาวุโสช่วย…”
หลังจากเขาเล่าสถานกาณ์คร่าวๆ โดยพูดข้ามบางอย่างไป ผู้อาวุโสมู่เซินก็กระทุ้งไม้เท้าเดินไปนอกโพรงถ้ำและเงยหน้ามองข้างบน กิ่งไม้ใบไม้ที่ปิดบังท้องฟ้าก็เปิดแยกเป็นสองฝั่งทันที เผยให้เห็นท้องฟ้าสีคราม เหมียวอี้เดินตามอยู่ข้างกาย ถามว่า “ผู้อาวุโสยินดีจะช่วยหรือไม่ ถ้าหากลำบากใจ ข้าจะไม่รบกวน จะออกไปจากที่นี่ทันที!”
“สมาคมวีรชน?” ผู้อาวุโสมู่เซินเงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจ “กล้าแตะต้องแม้กระทั่งท่านเหรอ สงสัยพวกเขาจะใจกล้าถึงขั้นพลิกฟ้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าหาเรื่องใส่ตัวใหญ่หลวงขนาดนี้ ไม่กลัวว่าในอนาคตจะโดนล้างเลือดเหรอ?”
…………………………