เหมียวอี้เอียงหน้ามองนาง ผู้หญิงคนนี้กับคำพูดแบบนี้ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายอีกครั้ง ถ้าจะบอกว่าแค่เปิดเผยความจริง แต่ในเวลานี้ก็อาจจะทำให้ตกเป็นที่ต้องสงสัยได้ว่าใส่ร้ายป้ายสีพระโพธิสัตว์หลันเย่ หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ ไม่มีทางที่จะเอ่ยเรื่องแบบนี้ในเวลานี้กับคนนอก เหมียวอี้ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้สนิทสนมอะไรกับผู้หญิงคนนี้ นี่เป็นการแสดงมิตรภาพหรือมีเจตนาแอบแฝงอะไร?
ไม่รู้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้มีจุดประสงค์อะไร แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงเจตนาดีตอนที่พบผู้หญิงคนนี้ครั้งแรก เขามองออกจากสายตาของอีกฝ่าย แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกพบ ตัวเองไม่ได้มีเสน่ห์มากขนาดนั้น ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง เขาถึงได้พลังความคิดไตร่ตรอง
เขาไม่ได้แสดงความคิดในใจออกมา ภายนอกยังคงทำท่าทางเหมือนเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน “พลังปรารถนา? ที่แท้สิ่งที่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสีในวันนี้ก็คือพลังปรารถนา! สงสัยพลังปรารถนานี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ได้มีประโยชน์แค่การฝึกตน ล้ำลึกจนไม่อาจคาดเดา!”
เฉาเฟิ่งฉือยิ้มพร้อมบอกว่า “พลังปรารถนาก็คือใจคน เรียกว่าใจปรารถนา ไม่ใช่แค่สามารถรวบรวมพลังจิตวิญญาณฟ้าดินได้นะ ทั้งยังก่อเมฆลมระหว่างฟ้าดินได้อีกด้วย มีอยู่ประโยคหนึ่งที่กล่าวเอาไว้ดีมาก เมื่อจิตใจซื่อสัตย์มากพอ แม้แต่ทองและหินก็แยกออกจากกันได้ หากมีใจที่ซื่อสัตย์แน่วแน่มากพอ ไม่ว่าอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ยังมีอีกประโยคหนึ่ง ใจคนยากจะคาดเดา ไม่รู้ว่าอย่างท่านแม่ทัพภาคเรียกว่าใจคนยากจะคาดเดารึเปล่า? วิชาพุทธฝึกจิต สำหรับความลี้ลับมหัศจรรย์ในด้านนี้ พวกเขามีความรู้มากว่านักพรตทั่วไปในแดนฝึกตน”
“เหอะๆ พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้ว” เหมียวอี้ทำท่าพยักหน้าเหมือนได้รับคำสั่งสอน
“ในเมื่อท่านแม่ทัพภาคต้องการจะอยู่เปิดหูเปิดตาที่นี่ เฟิ่งฉือก็ต้องขอตัวกลับก่อน วันหลังไว้เจอกันอีกที่ตลาดผี” เฉาเฟิ่งฉือย่อตัวเล็กน้อย กล่าวอำลาแล้วหันตัวจากไป
ใครจะคิดว่าจู่ๆ คำว่า ‘เฟิ่งฉือ’ จากปากนางเหมือนจะกระตุ้นอะไรบางอย่างกับเหมียวอี้แล้ว เหมียวอี้พลันตะโกนบอกว่า “ช้าก่อน!”
เฉาเฟิ่งฉือหยุดเดินแล้วหันตัวมา แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพภาคมีอะไรจะกำชับ?”
“เจ้าคือใครของตระกูลเซี่ยโห้ว?” เหมียวอี้หรี่ตาจ้องนางพร้อมเอ่ยถาม
เฉาเฟิ่งฉือยิ้มโดยไม่ตอบอะไร หันตัวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง
“เซี่ยโห้วหลงเฉิง เซี่ยโห้วหู่เฉิง เฉาเฟิ่งฉือ เซี่ยโห้วเฟิ่งฉือ หลงเฉิง หู่เฉิง เฟิ่งฉือ หลงเฉิงเฟิ่งฉือ เซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นอะไรกับเจ้า? เป็นพี่ชายของเจ้าเหรอ?” เหมียวอี้เอ่ยชื่อมาเป็นชุด ถามซักไซ้
“ท่านแม่ทัพภาคคิดมากไปแล้ว” เฉาเฟิ่งฉือที่เดินไปข้างหน้าตอบโดยไม่หันกลับมา ตอบอย่างสบายๆ แล้วก็เหาะออกไปทันที
“หลงเฉิงเฟิ่งฉือ…” เหมียวอี้จ้องร่างนางในขณะที่ปากก็ยังพึมพำชื่อ ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ จากนั้นก็นึกเชื่อมโยงถึงท่าทางเป็นมิตรที่เซี่ยโห้วหู่เฉิงมีต่อเขาอีก ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอาจจะเดาถูก
เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ เซี่ยโห้วหลงเฉิงนับว่าเป็นพี่ชายของทั้งสองคน แล้วเกี่ยวอะไรกับที่สองคนนี้แสดงท่าทีเป็นมิตรต่อตนล่ะ
เพราะเข้าไม่เข้าใจว่าทำไมถึงแม้เซี่ยโห้วหลงเฉิงจะทำตัวเสเพล แต่ก็มีความหมายที่ต่างออกไปสำหรับเฟิ่งฉือและหู่เฉิง คนเสเพลในสายตาของคนอื่น แต่ในสายตาของสองคนนี้กลับไม่มีใครแทนที่ได้ การจากไปของเซี่ยโห้วหลงเฉิงทำให้ทั้งสองรู้สึกเจ็บปวดทรมานยากจะลบเลือน ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นสหายพียงคนเดียวของเซี่ยโห้วหลงเฉิง
“นายท่าน!” เหยียนซิวที่ขึ้นมาจากตีนเขาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ถามว่า “ออกเดินทางได้รึยังขอรับ?”
เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วถามว่า “ทำไมเมี่ยวฉุนยังไม่มาอีก?”
ถึงแม้ในมือเขาจะมีแผนที่ดาว แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนนอก ลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วไม่สะดวกจะเพ่นพ่านไปทั่วอาณาเขตแดนสุขาวดี ให้คนจากสำนักพุทธเบิกทางให้จะดีกว่า
เหยียนซิวได้ยินแล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเมี่ยวฉุน
เหมียวอี้เห็นเขาเขย่าระฆังดาราในมือนานมาก แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่ได้ตอบ” เหยียนซิว
“อ้อ!” เหมียวอี้มองไปที่อารามหลันเย่ “ถึงยังไงก็มีแขกเยอะ อาจจะมีธุระอะไรก็ได้ รอสักประเดี๋ยวแล้วค่อยติดต่อไป”
ทั้งสองรออยู่ที่เดิม หลังจากรออยู่เกือบครึ่งชั่วยามเต็มๆ แขกก็ไปกันหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นเมี่ยวฉุนออกมา ระหว่างนั้นเหยียนซิวก็ติดต่อหลายครั้ง เมี่ยวฉุนยังคงไม่ได้ตอบอะไร ก็เลยทำให้สองคนนี้อดกังวลไม่ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า
ทว่าในตอนนี้เอง ในอารามหลันเย่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งออกมา ผู้ที่นำหน้ามาคือฆราวาสผู่หลันที่แต่งกายแบบเทพธิดาชาวพุทธ นางเดินนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาทางนี้ด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม
พอเข้ามาตรงหน้า ทั้งสองฝ่ายก็ทำความเคารพกัน ฆราวาสผู่หลันยิ้มบางๆ “แม่ทัพภาคหนิวกำลังรอเมี่ยวฉุนอยู่เหรอ”
ด้วยฐานะของอีกฝ่าย แต่สามารถรู้จักเมี่ยวฉุนได้ สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้อึ้งนิดหน่อย พยักหน้าบอกว่า “ใช่แล้ว! ฆราวาสกำลังจะกลับแล้วเหรอ?”
ฆราวาสผู่หลันตอบว่า “ได้ยินเมี่ยวฉุนบอก ว่าแม่ทัพภาคหนิวมาที่แดนสุขาวดีเป็นครั้งแรก อยากจะเที่ยวเล่นให้ทั่วแดนสุขาวดี อาตมากำลังจะท่องเที่ยวพอดี เลยช่วยแม่ทัพภาคตัดสินใจให้เมี่ยวฉุนกลับไปก่อน อาตมานำทางแม่ทัพภาคหนิวไปท่องเที่ยวด้วยกันดีมั้ย?”
เหมียวอี้รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในพระอุโบสถอีกฝ่ายใช้คำพูดเหน็บแนมเขา ดังนั้นในใจก็เลยค่อนข้างไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ จึงปฏิเสธอ้อมๆ “ฆราวาสมีฐานะสูงส่ง ถึงยังไงชายหญิงก็มีความแตกต่างกัน มิบังอาจรบกวน”
ฆราวาสผู่หลันจึงยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ฐานะของแม่ทัพภาคหนิวจะแย่กว่าอาตมาเชียวเหรอ? ส่วนเรื่องชายหญิงแตกต่างกัน อย่าบอกนะว่าแม่ทัพภาคหนิวมองไม่ออกว่าเมี่ยวฉุนก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน?”
นี่แทบจะเป็นคำพูดหยอกล้อ ทำให้เหมียวอี้ยิ่งรู้สึกเซ็งกว่าเดิม ชัดเจนขนาดนี้แล้ว ต่อให้เป็นคนโง่ก็มองออกว่าตนกำลังหาข้ออ้างมาปฏิเสธ ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจเลย กลับทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ไม่ตอบก็เท่ากับตกลงแล้ว อย่างน้อยฆราวาสผู่หลันก็คิดอย่างนี้ จึงหันกลับมาบอกทุกคนข้างหลังว่า “ไม่จำเป็นต้องให้คนติดตามมากมายขนาดนั้น พวกเราไปกันก่อนเถอะ ข้ากับแม่ทัพภาคหนิวเจอกันครั้งแรกก็เหมือนรู้จักกันมานาน ไปเที่ยวด้วยกันเถอะ”
แต่คนข้างหลังนางเหมือนจะกังวลอยู่บ้าง หนึ่งในนั้นประนมมือพร้อมบอกว่า “ฆราวาส พาคนไปด้วยสักสองคนดีกว่า?” ไม่ได้กังวลความปลอดภัยของฆราวาสผู่หลันที่แดนสุขาวดี ที่แดนสุขาวดีไม่มีใครกล้าแตะต้องฆราวาสผู่หลันซี้ซั้ว เพียงแต่สายตาเหลือบมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เหมือนกำลังบอกว่าไม่ค่อยวางใจเหมียวอี้
ฆราวาสผู่หลันก็ไม่ปิดบังเช่นกัน พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “พวกเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว แม่ทัพภาคหนิวเป็นวีรบุรุษที่โลกรู้จัก ไม่ควรค่าที่จะทำเรื่องต่ำช้า ไปกันเถอะ”
กลุ่มเทพธิดาชาวพุทธไม่กล้าพูดอะไรอีก ทยอยกันประนมมือแล้วถอยออกไป สุดท้ายก็เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว
ขณะที่เหมียวอี้มองเงาคนจากไปบนท้องฟ้า พูดหยอกตัวเองว่า “วีรบุรุษที่โลกรู้จัก? ฆราวาสประเมินหนิวสูงเกินไปมั้ง หนิวคนนี้ไม่ใช่สุภาพบุรุษอะไรหรอกยะ ทางตำหนักสวรรค์ก็รู้กันหมด คนที่ด่าทอข้าก็มีไม่น้อย อย่าบอกนะว่าฆราวาสไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?”
แต่ใครจะคิดว่าฆราวาสผู่หลันจะกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “คนมีปากก็พูดกันไป ปากหลายปากสามารถละลายทองได้ แต่ก็อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้ อย่างน้อยอาตมาก็มีความมั่นใจในตัวท่านแม่ทัพภาค”
“อ้อ!” เหมียวอี้แปลกใจนิดหน่อย หันกลับมาสบสายตาที่แน่วแน่และใสกระจ่างของนาง ถามอย่างเหนือความคาดหมายมากว่า “ทำไมฆราวาสถึงมั่นใจในตัวหนิวขนาดนี้?”
ฆราวาสผู่หลันเอียงหน้ามองเหยียนซิวแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังบอกใบ้ ทว่าเหมียวอี้กลับทำท่าเหมือนไม่เข้าใจ ไม่ได้บอกให้เหยียนซิวถอยไป
ฆราวาสผู่หลันเงียบไปครู่เดียว คาดว่าคงตัดสินได้ว่าเหยียนซิวเป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้แน่นอน ถึงได้จ้องตาเหมียวอี้พร้อมกล่าวอย่างใจเย็น “อาตมามาจากดาวไร้ลักษณ์ จะว่าไปในปีนั้นก็เคยมีวาสนาได้พบแม่ทัพภาคหนิวครั้งหนึ่ง ท่านแม่ทัพภาคในตอนนั้นรำพึงฟ้าเวทนาคน มีความกล้าหาญอยู่ลึกๆ โดดเด่นเหนือบุคคลอื่น อาตมาในตอนนั้นก็แน่ใจแล้วว่าแม่ทัพภาคหนิวไม่ใช่คนธรรม พอตอนหลังได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของท่านอีก ก็พบว่าไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย พอได้มาเจอในตอนนี้ หน้าตาก็ยังไม่เปลี่ยนไป กลับมีสง่าราศียิ่งกว่าเดิมเสียอีก!” นางทำสีหน้าสะท้อนใจยามนึกหวนไปถึงปีนั้น
รู้จักเหรอ? ใบหน้าตายของเหยียนซิวดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด มองไปทางเหมียวอี้
เหมียวอี้ก็พูดไม่ออกเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขายังเดาไปมั่วๆ ว่าตอนที่อยู่เองอยู่ดาวไร้ลักษณ์ ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ด้วยหรือเปล่า นึกไม่ถึงว่าจะรู้จักตนจริงๆ
เขาถอยหลังก้าวหนึ่ง แล้วก็เริ่มขมวดคิ้ว มองประเมินฆราวาสผู่หลันศีรษะจดเท้า จากนั้นก็จ้องใบหน้าที่สง่างามของผู่หลันแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างค่อนข้างเสียมารยาท ใช้ความคิดเต็มที่แล้ว คิดแล้วคิดอีก นึกถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองเคยเจอที่ดาวไร้ลักษณ์ แต่ก็ไม่มีความทรงจำติดอยู่ในหัวเลยจริงๆ นึกไม่ออกว่าเคยเจอผู้หญิงคนนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะลองถามว่า “ฆราวาสกำลังจะบอกว่า พวกเรารู้จักกันเหรอ?”
ฆราวาสผู่หลันอมยิ้มพลางพยักหน้ายืนยัน
เหมียวอี้จึงลูบคางครุ่นคิดอีกรอบ แล้วยิ้มแห้งถามว่า “ข้าเป็นคนใจหยาบ ไม่ทราบว่าฆราวาสจะชี้แนะสักหน่อยได้มั้ยว่าเราเคยพบกันที่ไหน?” เมื่อบังเอิญเจอกันแบบนี้ อีกฝ่ายรู้จักเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รู้จักอีกฝ่าย ค่อนข้างเสียมารยาทแล้ว กอปรกับฐานะของอีกฝ่าย ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเก้อเขิน
ฆราวาสผู่หลันไม่ได้ตำหนิว่าเขาได้ดีแล้วขี้ลืม เพียงยิ้มเรียบๆ พลางส่ายหน้า “จำไม่ได้ก็สมเหตุสมผลแล้ว จะเห็นได้ว่าในตอนนั้นแม่ทัพภาคทำดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย เรื่องบางเรื่องถ้าเอ่ยขึ้นอีก ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับแม่ทัพภาคหรือสำหรับอาตมา แม่ทัพภาครู้ไว้เพียงว่า ถ้าไม่มีบุญคุณอันใหญ่หลวงของแม่ทัพภาคในปีนั้น ก็ไม่มีอาตมาในวันนี้ อาตมาไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อแม่ทัพภาคหนิว”
เหมียวอี้ยิ่งทำสีหน้าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่าเดิม เอามือลูบคางพลางยิงฟันเล็กน้อย ทำท่าเหมือนปวดฟัน
ทั้งยังได้รับบุญคุณจากข้าด้วย? ข้าเคยมีบุญคุณต่อใครที่ดาวไร้ลักษณ์เหรอ? หรือจะเป็นคนของสำนักลมปราณ? ถ้าเป็นคนของสำนักลมปราณ ตัวเองก็น่าจะจำได้บ้างสิ ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่คนของสำนักลมปราณจะมาบวชถึงแดนสุขาวดีและมีภูมิหลังแบบนี้ ถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีนางในวันนี้เหรอ? ล้อเล่นรึเปล่า ข้าไม่เคยยัดคนเข้ามาในสำนักพุทธนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองช่วยให้ใครมาอยู่ในตำแหน่งนี้ที่สำนักพุทธได้ ตัวเองไม่ได้คบค้ากับคนของสำนักพุทธเลย
เขารู้สึกว่าหญิงชาวพุทธคนนี้พูดซี้ซั้ว แต่ดูจากท่าทางของนาง ก็เหมือนจะไม่ได้โกหก แล้วนางก็ไม่จำเป็นต้องมาหลอกเขาด้วย นี่มันเรื่องอะไรกันแน่! เหมียวอี้แทบจะเป็นบ้า นึกไม่ถึงว่าเคยทำเรื่องที่มีบุญคุณไร้ที่เปรียบต่อให้เอาไว้ เพียงแต่เมื่อก่อนตัวเองยังเป็นหนุ่มเลือดร้อนมาก เรื่องที่ในปัจจุบันไม่มีทางทำได้ แต่ในอดีตอาจจะทำได้ เขาได้แต่ยิ้มเจื่อน “ฆราวาสพูดให้อยากรู้แล้ว ช่วยเตือนความจำสักหน่อยได้มั้ย”
ฆราวาสผู่หลันยิ้มเรียบๆ เอาไว้ตอนบังเอิญค่อยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกที นางเปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว “ไม่ทราบว่าแม่ทัพภาคหนิวจะไปเที่ยวที่ไหน อาตมาจะนำทางให้”
เหมียวอี้เอามือลูบหน้าผากอย่างจนใจ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากบอก เขาก็ไม่สะดวกจะกดดัน จึงตอบกลับอย่างเคารพปนหยอกล้อ “อยากไปดูที่เขาหลิงซานสักหน่อย ไม่ทราบว่าฆราวาสจะนำทางไปได้รึเปล่า?” แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับขอไปเดินเล่นที่วังสวรรค์ แน่นอนว่าสถานการณ์ของวังสวรรค์กับเขาหลิงซานนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าจะเปรียบเทียบให้ใกล้เคียงหน่อยก็คือจะไปเดินเล่นที่อุทยานหลวง ถามว่าเตรียมให้หน่อยได้มั้ย อุทยานสวรรค์ใช่ว่าใครอยากไปก็ไปได้เหรอ?
“เขาหลิงซาน!” ฆราวาสผู่หลันอึ้งทันที แล้วกล่าวช้าๆ อย่างลังเลว่า “เกรงว่าจะไม่ค่อยสะดวก แต่ภูมิหลังของแม่ทัพภาคก็เห็นๆ กันอยู่ ใช่ว่าจะไปเขาหลิงซานไม่ได้ แต่อาจจะต้องให้อาตมาประสานงานให้ก่อน ถ้ายังไม่แน่ใจ อาตมาก็ยังไม่กล้าให้สำคำสัญญานี้กับแม่ทัพภาค”
…………………………