ก่อนหน้านี้ได้ยินชื่อเสียงโด่งดังมานานมาก เคยได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อกำเริบเสิบสานใช้อำนาจบาตรใหญ่ วันนี้ทั้งสองนับว่าได้รับบทเรียนแล้ว
ที่บอกว่าหัวโล้น ก็ไม่ได้ด่าไป่ลิ่วแค่คนเดียว ทั้งยังดึงเมี่ยวฉุนเข้าไปด่าด้วย นางเป็นผู้หญิงหัวโล้น!
สำหรับสิ่งนี้ เหมียวอี้ไม่รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม ถ้าจะมีปัญหาจริงๆ จะให้พูดจาไพเราะแทนพูดจาหยาบคายเชียวเหรอ? เกรงว่าจะต้องลงมืออย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว
ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ถ้าไป่ลิ่วให้คำอธิบายที่น่าพอใจจริงๆ นั่นก็ย่อมเป็นความเข้าใจผิด การขอโทษและลดศักดิ์ศรีก็จะทำให้กู้สถานการณ์คืนมาได้เช่นกัน
สรุปก็คือตอนนี้เหมียวอี้ต่อไม่ไหวแล้วที่จะถ่วงเวลากับไป่ลิ่วต่อไปอย่างคลุมเครือ จะต้องกดดันให้อีกฝ่ายเผยไพ่ออกมาให้ได้ อยากจะฟังว่าจะมีอะไรดีๆ แก้ตัวมั้ย?
นี่ก็คือจุดที่เหมียวอี้กับหยางชิ่งแตกต่างกันมากที่สุด หยางชิ่งจะพยายามไม่ทำซี้ซั้วก่อนที่จะเข้าใจเรื่องราวชัดเจน รอให้เข้าใจชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่เหมียวอี้มักจะก่อเรื่องก่อนแล้วค่อยคิดหาทางชดเชยให้ทีหลัง นิสัยแบบนี้ถ้าจะพูดให้หยาบหน่อยก็คือไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่ถ้าจะพูดให้ฟังดูดีหน่อยก็คือเด็ดขาดกล้าหาญ เป็นสิ่งที่หยางชิ่งไม่มีเช่นกัน
แน่นอน มีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็ยากจะหลบเลี่ยงได้ ถ้าไป่ลิ่วมีพลังในระดับที่เหมียวอี้เอื้อมไม่ถึง เช่นนั้นก็จะทำให้เหมียวอี้อดทนไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการรนหาที่ตายให้ตัวเอง
ไป่ลิ่วสีหน้าแย่มาก จะดีจะร้ายเขาก็เป็นนักพรตบงกชรุ้งขั้นสี่ ส่วนหนิวโหย่วเต๋อเป็นแค่นักพรตบงกชรุ้งขั้นหนึ่ง แค่พูดไม่ถูกใจนิดเดียวก็จะเด็ดหัวเขาแล้ว ทั้งยังด่าว่าเขาหัวโล้นอีก ต่อให้เป็นตุ๊กตาดินเผาก็ยังมีธาตุไฟอยู่สามส่วน คนออกบวชไม่ใช่คนตายเสียหน่อย ในใจมีไฟโกรธพรั่งพรูออกมาเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ยังอดทนไว้
เขาไม่ได้กลัวเหมียวอี้ แต่กลัวอำนาจเบื้องหลังเหมียวอี้ ถึงแม้อ๋องสวรรค์โค่วจะไม่ใช่คนของแดนสุขาวดี ไม่ใช่ว่าเขาจะโดนรังแกได้ง่ายๆ เช่นกัน แต่ก็ยังต้องข่มความโกรธเอาไว้ “แม่ทัพภาคหนิว ท่านอย่าโกรธเกินไปนัก”
“กรร” เหมียวอี้พลันเผยทวนเกล็ดย้อนในมือ แล้วชี้ทวนไปที่ไป่ลิ่วพร้อมตะโกนว่า “ระหว่างทางเป็นกับทางตาย เลือกเอาเอง!”
“แม่ทัพภาคหนิว!” เมี่ยวฉุนร้อนใจแล้ว นางต้องการจะห้าม
เหยียนซิวถลันตัวมาขวางตรงหน้าเมี่ยวฉุน ล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “พระอาจารย์ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของท่าน”
ไป่ลิ่วโมโหแล้ว สีหน้าฉายแววเดือดดาล แต่ถ้าจะลงไม้ลงมือกันจริงๆ เขาก็ยังกลัวนิดหน่อย เพราะชื่อเสียงของคนก็เหมือนเงาของต้นไม้ ชื่อเสียงทหารกล้าที่ได้มาจากการสังหารของเหมียวอี้นั้นยังมีผลกระทบ นักพรตบงกชรุ้งที่ตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้มีไม่น้อยเลย กอปรกับท่าทางข่มขู่ที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจของเหมียวอี้ จะไม่ให้ไป่ลิ่วชั่งน้ำหนักก่อนลงมือก็คงไม่ได้
และเหมียวอี้ในตอนนี้ก็ไม่ฟังคำพูดจอมปลอมพวกนั้นเช่นกัน ถ้าเขาพูดจาเหลวไหลเหมือนที่เอาไว้หลอกเหยียนซิวก่อนหน้านี้อีก เหมียวอี้ก็จะลงมือแล้ว ไป่ลิ่วคิดไปคิดมา การจะช่วยสหายสักคนนั้นไม่จำเป็นต้องดึงตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ถึงได้พูดความจริงออกมา “เรื่องราวไม่ได้ซับซ้อนเหมือนที่แม่ทัพภาคหนิวคิด เพียงแต่มีคนอยากยืมมืออาตมาให้ช่วยนัดแม่ทัพภาคหนิวเพื่อคุยธุระบางอย่าง ไม่ได้มีเจตนาร้ายเลย”
แบบนี้เท่ากับยอมรับแล้วว่าโกหกเรื่องที่จะพามาชมทิวทัศน์อันน่าอัศจรรย์ เมี่ยวฉุนเบิกตากว้างพลางกล่าวอย่างร้อนใจทันที “ไป่ลิ่ว เจ้ากล้าหลอกลวงเหรอ!”
เหยียนซิวยิ่งใบหน้าดำมืดลงเรื่อยๆ สายตาดำมืดจ้องไปที่ไป่ลิ่ว สิบนิ้วที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อมายาวนานยื่นออกมาอย่างช้าๆ ขยับนิ้วทั้งสิบเล็กน้อย บนนิ้วทั้งสิบมีเล็บแหลมคมสีเขียวดำขลับเป็นมันวาว
“คุยธุระเหรอ?” เหมียวอี้พลันหรี่ตา ที่แดนสุขาวดีจะมีใครมาคุยธุระกับตัวเองได้? จึงถามว่า “เป็นใครกัน?”
ขณะที่กำลังจะเอ่ยตอบ ทันใดนั้นไป่ลิ่วก็เงยหน้ามองบนท้องฟ้า แล้วตอบเสียงเรียบว่า “คนน่าจะมาถึงแล้ว ท่านถามเองเถอะ”
ทุกคนเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นเพียงบนท้องฟ้ามีนักบวชห้าคนเหาะลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เหยียบลงบนเกาะ พวกเขาคือพวกอวิ่นจ้าวนั่นเอง เพียงแต่ตอนนี้ปลอมตัวแล้ว พวกเหมียวอี้กำลังจ้องประเมินทั้งห้าคน ย่อมมองออกว่าพวกเขาปลอมตัวมา
ส่วนพวกอวิ่นจ้าวก็จ้องประเมินพวกเหมียวอี้เช่นกัน ไม่นานสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเห็นภาพวาดของเหมียวอี้มาแล้ว
เมื่อเห็นพวกเขาปลอมตัว ไป่ลิ่วก็อึ้งไปเช่นกัน พวกอวิ่นกวงก้าวขึ้นมาประนมมือข้างหน้า “รบกวนแล้ว”
พอได้ยินเสียงนั้น ไป่ลิ่วถึงได้แน่ใจถึงตัวตนของอวิ่นกวง แล้วส่ายหน้าถอนหายใจ “แม่ทัพภาคหนิวท่านนี้เจ้าอารมณ์มาก ยังนึกว่าอาตมามีเจตนาไม่ดีอะไรด้วย ถ้ามีอะไรพวกท่านก็คุยกันเองก็แล้วกัน” เขาหันกลับมาบอกเหมียวอี้อีกว่า “คนมาถึงแล้ว อาตมาไม่รบกวนแล้ว”
พอเขาพูดจบแล้วหันตัวไป ใครจะคิดว่าอวิ่นจ้าวที่อยู่ข้างกันจะสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที ลูกกลมโลหะสีแดงที่สลักภาพมังกรไว้ห้าตัวลอยออกมาทันที มีแสงสว่างพองตัวออกมาอย่างฉับพลัน ลอยไปที่ไป่ลิ่ว ไป่ลิ่วที่สังเกตได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์พลันหันตัวกลับมา เห็นเพียงลูกกลมโลหะที่ขยายใหญ่แบ่งตัวจากหนึ่งกลายเป็นห้า กลายเป็นมังกรบินโลหะที่สมจริงราวกับมีชีวิตห้าตัวบินล้อมเข้ามาโจมตี
ไป่ลิ่วตกใจมาก “อวิ่นกวง พวกเจ้าจะทำอะไร?” ขณะที่ทยานหลบขึ้นฟ้าอย่างร้อนรน ก็เรียกดาบมาไว้ในมือ แล้วฟันต่อต้านอย่างบ้าคลั่ง
เขาไม่รู้เลยว่าอวิ่นกวงและพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องการให้เขารั้งเหมียวอี้เอาไว้ทำไม ตอนที่อวิ่นกวงติดต่อเขามา ก็ไม่มีทางบอกความจริงกับเขาแน่นอน บอกเพียงว่ามีธุระจะคุยกับเหมียวอี้ บอกว่าเขาต้องช่วย และจุดอ่อนของเขาก็ถูกบีบอยู่ในมืออวิ่นกวง เขาย่อมรับปากง่ายอยู่แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อได้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้แล้วจะตกอยู่ในอันตรายถึงขั้นโดนฆ่าปิดปาก
แบบนี้หมายความว่าอะไร? พวกเหมียวอี้ก็ตกใจเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าพอห้าคนนั้นมาถึงก็จะลงมือไป่ลิ่วทันที ลูกกลมมังกรทั้งห้าที่ส่องแสงสว่างวับวาบนั้นคือของวิเศษขั้นหก
แกร๊ง! มีเสียงดังสะเทือน ไป่ลิ่วใช้ดาบฟันมังกรบินที่โผเข้ามาตรงหน้า แต่กลับมีเรื่องที่ทำให้เขาฉุกละหุกรับมือไม่ถูกยิ่งกว่านั้น เพราะบนตัวมังกรบินโลหะทั้งห้าพลันระเบิดแสงห้าสีออกมา ได้แก่น้ำเงิน แดง เขียว ฟ้า ส้ม
คนมีประสบการณ์แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว เห็นได้ชัดว่ามังกรบินโลหะห้าตัวนี้เป็นของวิเศษที่ทำจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ได้แก่สุขสันต์ โกรธ เศร้า หวาดกลัว ปรารถนา จะเห็นได้ว่าตอนที่หลอมสร้างของวิเศษชิ้นนี้ขึ้นมานั้นทุ่มทุนเยอะมาก
พอไป่ลิ่วใช้ดาบฟันมังกรบินโลหะกระเด็นออกไปตัวหนึ่ง มังกรบินโลหะอีกสี่ตัวที่ล้อมเข้ามาก็เปล่งแสงสี่สี สั่นหัวส่ายหางโจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
“อวิ่นกวง!” ไป่ลิ่วคำรามอย่างโศกเศร้าคับแค้น เมื่อเห็นลำแสงสี่สายล้อมกวาดเข้ามาพร้อมกัน เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองหนีไม่พ้น เรียกได้ว่าคำรามออกมาอย่างสิ้นหวัง
เมื่อโดนลำแสงกวาดมาโดนตัว ร่างของเขาก็สั่นอยู่กลางอากาศ เสียงคำรามเศร้าโศกหยุดชะงัก การตอบสนองช้าลงทั้งตัวแล้ว สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปต่างๆ นาๆ แต่มังกรบินโลหะสี่ตัวกลับไม่ลังเล ใช้กรงเล็บแหลมฉีกขยุ้มอย่างเกี้ยวกราด ชั่วพริบตาเดียวก็ฉีกร่างไป่ลิ่วจนร่างแหลกกระจายเป็นน้ำฝนเลือดกลางอากาศ
พวกเหมียวอี้เห็นแล้วสูดหายใจอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึงว่ายามอยู่ในวงล้อมโจมตีจากของวิเศษของไป่ลิ่ว ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีแม้แต่กำลังจะโต้ตอบ
สิ่งที่ทำให้ทั้งสามตกตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือ หลังจากมังกรบินโลหะทั้งห้าฉีกร่างไป่ลิ่วแล้ว พอแยกย้ายกันทะยานไปบนท้องฟ้าแล้วจู่ๆ บินกลับมาอีก ล้อมโจมตีมาทางฝั่งนี้
พวกเหมียวอี้ตระหนักได้อย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายไม่ได้ต้องการจะเก็บของวิเศษ มังกรบินห้าตัวนั้นล้อมโจมตีมาที่พวกเขาแล้ว ต้องการจะลงมือกับพวกเขาต่อ
ในขณะเดียวกันเหมียวอี้ก็ตระหนักได้แล้ว ว่าการที่อีกฝ่ายฆ่าไป่ลิ่วก็ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด เป็นเพราะต้องการจะฆ่าปิดปากเท่านั้นเอง เท่ากับเขาตระหนักได้แล้วว่าอีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่เขา
อีกฝ่ายไม่เปลืองคำพูดเลยสักประโยค ลงมือโดยตรงเลย ทำให้พวกเหมียวอี้ค่อนข้างลนลาน
เหยียนซิวมือแค่มือเปล่า ขยุ้มมือสองข้างกลางอากาศ รีบกันเหมียวอี้ไปไว้ข้างหลัง
เมี่ยวฉุนก็ถือดาบพระขึ้นมาไว้ในมือเช่นกัน แล้วตะโกนอย่างโมโห “บังอาจนัก…”
ยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ภาพตรงหน้าเมี่ยวฉุนก็พร่ามัว ชั่วพริบตาเดียวก็พบว่าตัวเองได้เขามาอยู่ในลูกกลมโลหะสีแดงลูกหนึ่งแล้ว
ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน เหมียวอี้ตอบสนองได้ไม่มากเท่าไรนัก ปล่อย ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ ออกมาครอบทั้งสามไว้เสียเลย แล้วปิดผนึกป้องกันเอาไว้แน่น
บึ้ม! แทบจะในเวลาเดียวกัน มีเสียงระเบิดดังขึ้นหนึ่งครั้ง สามคนที่อยู่ใน ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ หกคะเมนชนกันอยู่ในนั้น
แกรก! เหมียวอี้ถือทวนเกล็ดย้อนไว้ในแนวขวาง ค้ำเอาไว้ใน ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ กลายเป็นเสาค้ำในแนวขวาง ทั้งสามจับด้ามทวนเอาไว้เพื่อตรึงร่างตัวเองให้มั่นคง จะได้ไม่ชนกระแทกอยู่ในลูกกลมนี้อีก
บึ้มๆๆ…
ทั้งสามรู้สึกได้ว่า ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ กำลังถูกมังกรบินโลหะห้าตัวรุกโจมตีอย่างดุดัน
นี่ไม่ใช่สิ่งที่อันตรายที่สุด ตอนที่มังกรบินโลหะห้าตัวรุกโจมตีลูกกลมตีไม่พัง ลำแสงห้าสีก็แทรกซึมเข้ามาในรอยรั่วของลูกกลมตีไม่พังแล้ว ในบรรดาสามคนที่กำลังยืนโคลงเคลง เหยียนซิวกับเมี่ยวฉุนติดกับดักทันที ทั้งสองจับด้ามทวนไม่อยู่แล้ว พลาดตกอยู่ในลูกกลมและโดนชนจนมึนศีรษะ
เหมียวอี้พลิกตัวกลางอากาศ ใช้สองขาไขว้ไว้บนด้ามทวน ส่วนตัวก็กำลังโคลงเคลงไปมา เอามือคว้าเมี่ยวฉุนที่กำลังเลอะเลือนไม่ได้สติยัดเข้ากระเป๋าสัตว์โดยตรง ก่อนจะคว้าเหยียนซิวที่โดนชนกระแทกเข้ามา จากนั้นใช้เปลวเพลิงล่องหนปกป้องเหยียนซิวเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาถูกเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทำร้ายในระดับที่ลึกกว่านี้ ขณะเดียวกันก็ใช้วิชาอัคนีดารากรอกเข้าไปในร่างกายของเหยียนซิว
เหมียวอี้ที่สะบัดไปสะบัดมาห้อยอยู่บนด้ามทวนหิ้วร่างเหยียนซิวพร้อมรีบช่วยกำจัดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในร่างกายให้เขา
ด้านนอก บนทะเลมรกตมีคลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้า เกาะไม่กี่แห่งถูกคลื่นโจมตีที่รุนแรงของมังกรบินโลหะทำลายไปแล้ว
ร่างของมังกรบินโลหะหดเล็กลงแล้วไม่น้อย แต่หัวกับหางกลับเชื่อมต่อกันล้อมลูกกลมตีไม่พังเอาไว้ เลื้อยอยู่รอบลูกกลมตีไม่พังด้วยความรวดเร็ว ใช้ฟันและกรงเล็บโจมตีอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด ราวกับตาข่ายที่ไขว้ตัดสลับกันไปมาอย่าหนาแน่น ล้อมลูกกลมตีไม่พังเอาไว้โจมตีกลางอากาศอย่างแน่นหนา ราวกับว่าถ้าโจมตีไม่แตกก็จะไม่หยุด
เห็นเพียงลำแสงห้าสีห้าสายบนพื้นผิวลูกกลมตีไม่พังขวักไขว่อย่างไม่ขาดสาย ดูงดงามมาก แต่ความงดงามนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนตายได้
ลูกกลมตีไม่พังเป็นเพียงของวิเศษขั้นห้า จะไปต้านทานการโจมตีจากของวิเศษขั้นหกไหวได้อย่างไร ผ่านไปครู่เดียว ก็โจมตีจนลูกกลมตีไม่พังอับแสงหมดแล้ว ตอนนี้อาศัยแค่ความทนทานของตัวมันเองที่ทำจากผลึกแดงดันทุรังประคับประคองไว้
อวิ่นจ้าวและพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องกระจายกันไปห้าทิศทางบนท้องฟ้า เฝ้าจ้องลูกกลมตีไม่พังที่กำลังโดนล้อมโจมตีอยู่กลางอากาศ พวกเขานึกไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์ขับขันอย่างนี้ เหมียวอี้จะสามารถหาของเล่นมาปกป้องร่างกายได้ทันท่วงที เดิมทีเป็นปัญหาที่แค่ลงมือครั้งเดียวก็แก้ไขได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเชื่องช้าแบบนี้
อวิ่นจ้าวร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมของวิเศษโจมตีไม่หยุด
อวิ่นกวงถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ศิษย์พี่จ้าว คนข้างในคงจะโดนเจ็ดอารมณ์หกปรารถนากัดกร่อนแล้ว ของวิเศษชิ้นนี้สิ้นเปลืองพลังงานมากเกินไป ไม่สู้ปล่อยตัวเขาออกมาจัดการโดยตรงเลยดีกว่า”
อวิ่นจ้าวยังไม่ทันตอบ อวิ่นหมิงก็ถ่ายทอดเสียงตะคอกแล้วว่า “ไม่ได้! ชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องโกหก ทหารกล้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ถูกขนานนามจอมปลอมแน่ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ยอมเสียพลังงานในของวิเศษดีกว่า ต้องทำให้ลูกกลมนี้พังให้ได้ อาศัยอานุภาพจากของวิเศษกำจัดเขาทิ้ง อย่าให้โชคดีรอดชีวิตไป ในเมื่อทำไปแล้ว ก็จะทำพลาดไม่ได้เด็ดขาด!”
พอได้ยินแบบนี้ อวิ่นกวงก็หุบปากแล้ว บนใบหน้าอวิ่นจ้าวฉายแววเด็ดเดี่ยว พอได้ยินคำพูดศิษย์น้อง ก็ควบคุมของวิเศษโจมตีไม่หยุด
ในลูกกลมตีไม่พัง เหมียวอี้หยุดใช้วิชา เหยียนซิวก็ได้สติกลับมาแล้วเช่นกัน เขามองดูบนร่างกายตัวเอง รู้สึกได้ว่ามีของบางอย่างปกป้องอยู่หนึ่งชั้น ช่วยกั้นไม่ให้ตัวเองโดนกัดกร่อนจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา เหยียนซิวทำสายตาซาบซึ้ง แต่กลับไม่ได้เปลืองคำพูดขอบคุณอะไรมากมาย ระหว่างทั้งสองไม่ต้องพูดถึงสิ่งนี้แล้ว
ทั้งสองเพียงสบตากันแวบหนึ่ง ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังจนหูแทบแตก ทั้งสองที่ร่างกายโยกเยกอย่างรุนแรงหันมองไปรอบๆ พร้อมกันอีกครั้ง รีบสังเกตอย่างละเอียด
…………………………