เหมียวอี้วางระฆังดาราในมือลง ทางโค่วเจิงส่งข่าวมากำชับเขาแล้ว บอกเขาว่าอย่าเพิ่งทำซี้ซั้ว ให้รักษาตัวเองให้ปลอดภัยแล้วรอให้ตนไปถึง
ชำเลืองมองชางหงที่กำลังจ้องตนด้วยสายตาคับแค้นใจแวบหนึ่ง เหมียวอี้ไม่สนใจนางอีก ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ถ้าสู้กกันขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่เห็นผู้หญิงพวกนี้อยู่ในสายตาเลย ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีประโยชน์ให้ใช้งานอยู่ มีหรือที่จะพัวพันอยู่กับพวกนาง เวลาโมโหขึ้นมาก็อาจจะกำจัดทิ้งหมดเลยก็ได้
หันกลับไปเอียงหน้าบอกใบ้เหยียนซิวเล็กน้อย เหยียนซิวจึงเรียกเมี่ยวฉุนออกมา แล้วคลายผนึกบนตัวเมี่ยวฉุน
พอลบผนึกออก เมี่ยวฉุนก็พลันลืมตาขึ้น แววตาของนางบางครั้งก็ดุร้าย บางครั้งก็อ่อนโยน บนใบหน้าก็ยิ่งสื่ออารมณ์ที่หลากหลายปนกัน ตัวสั่นพลางเอามือกุมศีรษะ ควบคุมอารมณ์ตัวเองลำบาก เห็นได้ชัดว่าควบคุมตัวเองได้ยากแล้ว
เหมียวอี้ส่ายหน้าเบาๆ เหยียนซิวทำได้เพียงลงมือควบคุมเมี่ยวฉุนเอาไว้อีกครั้ง
ไม่ใช่ว่าเหมียวอี้คลายเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาบนตัวเมี่ยวฉุนไม่ได้ และไม่ใช่ว่าลงมือช่วยไม่ได้ แต่ถ้าช่วยแล้วก็อาจจะนำความยุ่งยากมาให้ตัวเอง การใช้เคล็ดวิชาฝึกตนกำจัดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในร่างกายให้อีกฝ่าย นั่นไม่ใช่สิ่งที่เคล็ดวิชาธาตุไฟทั่วไปสามารถทำได้ จะทำให้คนสงสัยได้ง่ายมาก
ทำไมเขากับเหยียนซิวจึงไม่ได้รับผลกระทบจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาน่ะเหรอ สิ่งนี้อธิบายได้ง่ายมาก อย่างมากก็บอกไปว่าเหมียวอี้ใช้เคล็ดวิชาธาตุไฟปกป้องทั้งสองเอาไว้ก่อนแล้ว ตอนนั้นกำลังรีบร้อนฉุกละหุก จึงดูแลไม่ทั่วถึงเมี่ยวฉุน และด้วยสภาพอย่างนั้นของเมี่ยวฉุน คาดว่าก็คงจะไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจนเช่นกัน
ดังนั้นหากต้องการจะช่วยเมี่ยวฉุน ก็ต้องไม่ใช่เขาที่เป็นคนช่วย นี่ก็คือเหตุผลที่เขาเสียเวลาอยู่กับพวกชางหง
พอพวกชางหงเห็นว่ามีนักบวชหญิงคนหนึ่งตกอยู่ในมือทั้งสอง แต่ละคนก็ทำสีหน้าคับแค้นทันที ชางหงตะคอกถามว่า “ทำไมถึงจับตัวคนสำนักพุทธของข้า?”
เหมียวอี้เหล่ตาตอบว่า “ตัวก็ถูกมัดไว้แล้ว ปากยังอยู่ไม่สุขอีก ตรงนี้ใช่ที่พูดของเจ้าเหรอ?”
“เจ้า…” ชางหงโมโหแล้ว รู้สึกอยากจะหนีจากการถูกมัดแล้วไปสู้ตายกับเหมียวอี้
“ศิษย์พี่หง” ชางลั่วดึงนางไว้ บอกใบ้ว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ คงไม่ดีถ้าเท่านจะทำอะไรอีก แล้วตัวเองก็พูดแทน “แม่ทัพภาคหนิว พวกเจ้าทำอะไรกับนาง?”
“ทำไมนางถึงกลายเป็นแบบนี้ พวกเจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ทำไมต้องมาแกล้งโง่ตรงนี้ด้วย” เหมียวอี้ถามกลับ
ชางลั่วจึงกล่าวอย่างคร่งขรึมจริงจัง “พวกอาตมาจะไปรู้ได้อย่างไร…” แต่ยังไม่ทันพูดจบก็ต้องหยุดชะงักแล้ว
เหยียนซิวเก็บเมี่ยวฉุนเอาไว้ แล้วดึงอวิ่นหมิงที่มีสภาพสะบักสะบอมออกมาอีก ปฏิบัติกับอวิ่นหมิงอย่างไม่เกรงใจ โยนลงมากระแทกพื้นโดยตรง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “บนตัวเขาไม่มีสิ่งของอะไรที่สามารถพิสูจน์ตัวตนเขาได้เลย”
เมื่อครู่นี้เพิ่งจะเห็นนักบวชหญิงถูกจับตัว ตอนนี้เห็นนักบวชชายโดนจับอีกแล้ว ทั้งยังมีสภาพอนาถกว่าด้วย ชางหงและบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ทำสีหน้าโกรธเคืองทันที พวกนางพบว่าหนิวโหย่วเต๋ออาศัยที่ตัวเองมีอ๋องสวรรค์โค่วหนุนหลัง จึงไม่มองว่าคนสำนักพุทธเป็นคนแล้ว คนของตำหนักสวรรค์มีสิทธิ์อะไรถึงถ่อมาพาลเกเรที่แดนสุขาวดี!
และสิ่งที่ยิ่งทำให้นักบวชสำนักหลัวช่าอับอายจนโมโหก็คือ เหมียวอี้ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบหน้าอกอวิ่นหมิงแล้ว เหยียบติดพื้นเอาไว้แนบแน่น
“แม่ทัพภาคหนิว แดนสุขาวดีไม่ใช่สถานที่ที่ตำหนักสวรรค์อย่างพวกเจ้าจะมาพาลเกเรได้ตามอำเภอใจ อย่านึกนะว่าเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วแล้วจะทำตามใจได้!” ครั้งนี้
ชางลั่วก็ข่มไฟโกรธไม่ไหวแล้วเช่นกัน เตือนอย่างเย่อหยิ่งไร้มารยาทมาก
เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจนาง ดึงกระบี่วิเศษมาไว้ในมือ คมกระบี่จ่ออยู่บนใบหน้าอวิ่นหมิง แล้วถามเสียงเรียบว่า “บอกมา! ทำไมเจ้าถึงวางกับดักลอบสังหารข้า?”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ใบหน้าโกรธแค้นของบรรดาศิษย์สำนักหลัวช่าก็ชะงักทันที ลอบสังหาร? พระรูปนี้ลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? ลอบสังหารลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วเนี่ยนะ? จะเป็นไปได้อย่างไร?
อวิ่นหมิงกลับยิ้มอ่อน ราวกับมองความตายเป็นบ้านหลังสุดท้ายของชีวิต “ตกอยู่ในมือเจ้าแล้ว อาตมาไม่หวังว่าจะได้มีชีวิตต่อไปหรอก เหตุใดต้องพูดให้มากความ”
เขารู้แล้วว่าครั้งนี้ตัวเองไม่มีทางรอดเลย ไม่ว่าจะเป็นฝั่งตำหนักสวรรค์หรือฝั่งแดนสุขาวดีก็จะลงโทษเขาเพื่อไม่ให้มีใครเอาเยี่ยงอย่าง ไม่หวังว่าจะโชคดีรอดชีวิตอะไรทั้งนั้น
ปลายกระบี่กรีดบนใบหน้าของอวิ่นหมิงช้าๆ จนมีรอยเลือดซึมออกมาราวกับปักลายดอกไม้ไว้บนผ้า เหมียวอี้กล่าวเย็นชา “มาถึงขั้นนี้แล้ว ปากแข็งต่อไปยังจะมีความหมายอีกเหรอ? ข้าได้ยินไป่ลิ่มที่ดาวฮุ่ยหลินเรียกหนึ่งในพวกเจ้าว่า ‘อวิ่นกวง’ คนใกล้ตายมักจะพูดความจริงจากใจ เดาว่าไป่ลิ่วคงไม่ได้หลอกข้าหรอก มีชื่อนี้อยู่แล้ว เจ้านึกว่าข้าจะสืบไม่เจอเหรอว่าพวกเจ้าเป็นใคร? เจ้าตกอยู่ในมือข้าแล้ว นึกว่าข้าจะสืบประวัติเจ้าไม่เจอเชียวเหรอ?”
อวิ่นหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไปสืบหาเอาเถอะ ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองคำพูด อาตมารู้ตัวไม่มีทางรอดแล้ว ปล่อยให้อาตมาไปสบายเถอะ”
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ประเด็นสำคัญก็อยู่ตรงนี้แหละ เจ้าทำให้ข้าไม่สบายใจ ข้าจะทำให้เจ้าทรมานยิ่งกว่าตาย ทำเจ้าอยู่อย่างทรมานจนต้องร้องขอความตาย อยากจะลองมั้ยล่ะ?” คมกระบี่จ่ออยู่ด้านบนของลูกตาเขาแล้ว ท่าทางเหมือนจะจิ้มลงมาได้ทุกเมื่อ
อวิ่นหมิงพลันเงียบลงทันที จากนั้นผ่านไปนานถึงได้ถามอีกว่า “เจ้าพูดคำไหนคำนั้นหรือเปล่า?”
ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่าเขากำลังจะยอมเปิดปากแล้ว แต่สาเหตุไม่ใช่เพราะกลัวตายหรือไม่กลัวตาย แต่พอลองเปลี่ยนความคิด ก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังอีก ไข่มุกห้ามังกรก็ตกอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว ประวัติของเขาก็สืบได้ไม่ยากเลย สำนักหนีหายนะครั้งนี้ไปไม่พ้น เกรงว่าท่านอาจารย์ที่ติดต่อคนไม่ได้คงจะ…การที่เขาถ่วงเวลาจนถึงตอนนี้แล้วค่อยเปิดปากพูด ก็นับว่าให้เวลากับสำนักเพียงพอแล้ว นับว่าทำดีที่สุดแล้ว ถ้าจะให้ทรมานเพราะสิ่งนี้อีกก็ไม่คุ้มค่า อีกทั้งในใจเขาก็มีความคับแค้นอยู่เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะถูกตระกูลอิ๋งกดดัน ก็คงไม่เดินมาถึงจุดนี้ เขาหวังว่าตระกูลโค่วจะสามารถทำให้ตระกูลอิ๋งอยู่อย่างอิสระไม่ได้
“ขอเพียงเจ้าพูดความจริงออกมา ข้าก็จะปล่อยให้เจ้าไปสบาย” เหมียวอี้กล่าว
“เจ้าอยากจะรู้อะไรล่ะ?” อวิ่นหมิงถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเจ้าเป็นใคร ทำไมถึงวางแผนทำร้ายข้า?”
“ศิษย์ของพระอรหันต์ตัวลี่ ได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ให้มาโปรดเจ้า” อวิ่นหมิงตอบ
เมื่อตอบมาแบบนี้ บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าก็ตกใจไม่หยุด ถึงไม่ถึงว่าที่แดนสุขาวดีจะมีคนลงมือลอบสังหารลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วแล้วจริงๆ และคนที่แอบดำเนินการเรื่องนี้ก็คือพระอรหันต์ผู้สง่าผ่าเผย
“พระอรหันต์ตัวลี่?” เหมียวอี้ขมวดคิ้วครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ข้ากับอาจารย์เจ้ามีความแค้นต่อกันเหรอ?”
อวิ่นหมิงตอบว่า “เจ้ากับอาจารย์ข้าไม่มีความแค้นต่อกัน แต่เจ้ามีความแค้นกับตระกูลอิ๋ง ในงานวันเกิดของพระโพธิสัตว์หลันเย่ อิ๋งหยางลูกหลานของตระกูลอิ๋งแนะให้ท่านอาจารย์ลงมือกับเจ้า แต่ท่านอาจารย์ปฏิเสธไป ทว่าท่านอาจารย์ถูกตระกูลอิ๋งบีบจุดอ่อนเรื่องที่ดำเนินกิจการอยู่ในตลาดสวรรค์ไว้แล้ว ด้วยความที่ถูกตระกูลอิ๋งบีบบังคับ ท่านอาจารย์ถึงได้เดินมาถึงขั้นนี้ ส่งลูกศิษย์ห้าคนให้ติดตามเจ้ามาตลอดทางเพื่อหาโอกาสลงมือ ส่วนเรื่องในตอนหลังเจ้าก็เห็นแล้ว”
เป็นตระกูลอิ๋งอีกแล้วเหรอ? ไฟโกรธพลันเดือดปุดขึ้นมาในใจเหมียวอี้ จดจำชื่อ ‘อิ๋งหยาง’ เอาไว้แล้ว
ที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็สงสัยนิดหน่อยว่าคงไม่พ้นพวกคนใหญ่คนโตฝั่งตำหนักสวรรค์ ตอนที่เขาอยู่ตำหนักสวรรค์ก็แทบจะไม่ได้คบค้ากับคนสำนักพุทธเลย ไม่มีความแค้นอะไรกับฝั่งแดนสุขาวดีจริงๆ ทั้งยังไม่ได้ขัดผลประโยชน์อะไรกันด้วย คนสำนักพุทธไม่จำเป็นต้องหาเรื่องเขา ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าหลังจากลงมือกับเขาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง ถ้าไม่ใช่คนที่ใช้อำนาจกดดันคนฝั่งนี้ได้พอสมควร ก็ไม่มีทางบีบให้คนฝั่งพุทธมาเสี่ยงอันตรายแบบนี้ได้
เมื่อได้รับคำตอบนี้ ก็บอกได้เพียงว่าได้พิสูจน์การคาดเดาในใจเขาแล้ว แน่นอน เขาเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือโกหก เป็นไปได้เช่นกันว่าจะเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน
“สำนักฮุ่ยหลินก็ร่วมทำเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสำนักฮุ่ยหลิน ถ้าจะเกี่ยวก็เกี่ยวกับไป่ลิ่วแค่คนเดียว…” อวิ่นหมิงไม่ปิดบัง เล่าเรื่องนี้อย่างละเอียดราวกับเทถั่วลงในกระบอกไม้ไผ่
ขณะที่บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าฟังจนทอดถอนใจไม่หยุด จู่ๆ เหมียวอี้ก็ชี้กระบี่ไปที่พวกนางอีก “แล้วพวกเจ้าล่ะ? พวกนางเป็นพวกเดียวกับพวกเจ้าหรือเปล่า?”
สาเหตุที่เขาจงใจสาดโคลน สาเหตุแรกก็เป็นเพราะอยากจะให้สำนักหลัวช่าเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ สาเหตุรองก็เพราะอยากแกล้งให้ผู้หญิงพวกนี้รู้สึกรังเกียจ แล้วก็ยังมีจุดประสงค์อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คืออยากจะทดสอบว่าอวิ่นหมิงกำลังทำหม้อชำรุดให้ตกแตก[1] จงใจกัดซี้ซั้วไปทั่วหรือเปล่า
บรรดาศิษย์สำนักหลัวช่าได้ยินแล้วอึ้งทันที
โชคดีที่หลังจากอวิ่นหมิงเปลืองแรงหันไปมองแวบหนึ่ง ก็ช่วยมอบความบริสุทธิ์ให้พวกนางแล้ว “อาตมาไม่รู้จักพวกนาง ไม่รู้ว่าพวกนางเป็นใคร แต่ศิษย์สำนักพุทธของแดนสุขาวดีที่สามารถแต่งตัวอย่างนี้ได้ เดาคงไม่มีสำนักที่สองแล้ว เหมือนจะเป็นนางมารสวรรค์ศิษย์สำนักหลัวช่า”
พวกสำนักหลัวช่าโล่งใจทันที ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องลอบสังหารลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วจริงๆ ถ้าพยานยืนกรานให้การแบบนั้น ก็จะเกิดปัญหาใหญ่แล้ว ต่อให้จะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ก็จะถูกสอบสวนอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน ต่อให้ไม่ได้แต่ก็หนังหลุด
“ไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเจ้าจริงเหรอ? แล้วทำไมพวกนางถึงวางแผนจะทำร้ายข้า?” เหมียวอี้ถามยืนยันอีกครั้ง
ชางลั่วที่อยู่ตรงข้ามกล่าวเสียงดังทันทีว่า “แม่ทัพภาคหนิว พวกเราพูดไว้ชัดเจนแล้วว่าทำไมต้องล้อมเจ้าไว้ พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนคนนี้”
“จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะตัดสิน ต้องตรวจสอบก่อนถึงจะรู้” เหมียวอี้กล่าว
คำพูดของเขานั้นไม่ผิด กลุ่มศิษย์สำนักหลัวช่าที่มาขวางไว้เถียงไม่ออก
“สิ่งที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้ โยมหนิวรักษาสัญญาได้หรือไม่?” อวิ่นหมิกลับมีเรื่องถาม
“ข้าพูดคำไหนคำนั้น!”
เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ ไม่แม้แต่จะมองเขาด้วยซ้ำ ยกมือขึ้นแล้วแทงกระบี่ยาวลงไป เสียงดังฉึก เสียบเข้าไปตรงหว่างคิ้วอวิ่นหมิง ทะลุหัวกระโหลกแล้ว
กระบี่ยาวตอกลงบนพื้นพร้อมร่างคน
อวิ่นหมิงเบิกตากว้าง เหมือนเขาจะคาดไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเด็ดขาดตรงไปตรงมาขนาดนี้ ร่างกระตุกสองสามครั้งก่อนจะค่อยๆ แน่นิ่งไป เลือดจากศีรษะไหลย้อยลงมา
เหมียวอี้ย้ายเท้าที่เหยียบบนหน้าอกเขาออกไปแล้ว มือที่จับด้ามกระบี่ก็คลายออกแล้วเช่นกัน
ถ้าถามว่าทำไมเขาถึงเด็ดขาดรวดเร็วขนาดนี้ ก็เป็นเพราะอวิ่นหมิงเห็นเองกับตาว่าแล้วว่าเหยียนซิวใช้เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง บางทีอวิ่นหมิงอาจจะไม่รู้จักเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางก็ได้ แต่จะต้องมีคนรู้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่ปล่อยให้อวิ่นหมิงตกอยู่ในมือคนอื่นแล้วพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป เหตุผลก็เรียบง่ายแบบนี้
บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าที่อยู่แดนสุขาวดีก็เคยได้ยินเรื่องความโหดหนิวโหย่วเต๋อมาก่อนเช่นกัน ได้ยินว่าสังหารคนของตระกูลผู้มีอำนาจตายจนเลือดนองเป็นแม่น้ำที่ตลาดสวรรค์ วันนี้นับว่าทำให้พวกนางได้เข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘สมคำร่ำคือ’ แล้ว แค่ดูจากกระบี่ที่สังหารอย่างไม่ทันตั้งตัวก็รู้แล้ว
เมื่อได้เห็นฉากนี้กับตาตัวเอง ตอนนี้บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าก็เริ่มสงสัย ว่าอาจจะเป็นการเข้าใจผิดกันจริงๆ หรือเปล่า หนิวโหย่วเต๋อคนนี้กำลังหลบหนีการไล่สังหาร จะมีอารมณ์ถ่อมาขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัวที่ดาวพิษได้อย่างไร ดีไม่ดีผู้ต้องสงสัยตัวจริงอาจจะฉวยโอกาสหนีไปแล้วก็ได้ กลับถูกพวกเขาทำให้บังเอิญมาเจอกับท่านนี้แทน
แต่มีเพียงชางหงที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องเหมียวอี้ ไม่ยอมเปลี่ยนเป้าหมายผู้ต้องสงสัย
เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อโค่วเจิงอีกครั้ง แล้วรายงานสถานการณ์ที่ถามได้จากฝั่งนี้ให้ฟัง
โค่วเจิงยังคงอยู่ระหว่างทาง หลังจากได้รู้สถานการณ์แล้วก็รายงานต่ออ๋องสวรรค์โค่วทันที ส่วนอ๋องสวรรค์โค่วก็ติดต่อไปทางแดนสุขาวดีเช่นกัน ต้องการจะจับพระอรหันต์ตัวลี่
ฝั่งแดนสุขาวดีค่อนข้างตกตะลึงเมื่อได้รู้ข่าว นึกไม่ถึงว่าพระอรหันต์จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ สะเทือนไปถึงประมุขพุทธะ ฝั่งเขาหลิงซานออกคำสั่งให้ไปจับตัวคนมาทันที
…………………………
[1] ทำหม้อชำรุดให้ตกแตก 破罐子 破摔 อุปมาว่าทำให้เรื่องเลวร้ายกว่าเดิม