เพียงแต่เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะสงสัย ว่าคนที่ซ่อนสมบัตินี้ไว้เป็นใครกันแน่? เกี่ยวอะไรกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราที่ตนฝึก? ทำไมต้องกำหนดว่าคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเท่านั้นถึงจะได้สมบัติไป?
อยู่กับความสงสัยและครุ่นคิดไปต่างๆ นาๆ จนกระทั่งเงาของแสงอาทิตย์เปลี่ยนไป ภาพบนพื้นดินที่เกิดจากแม่น้ำภูเขาเริ่มเลือนรางทีละนิดจนแยกแยะไม่ออก เหมียวอี้ถึงได้เหาะลงมาบนพื้นอีกครั้ง มุดเข้ามาในป่าโบราณของภูเขาลึก แล้วเลี้ยวอ้อมไปอ้อมมาตลอดทาง
เขาอาศัยป่าโบราณของภูเขาลึกและลักษณะพื้นที่แบบต่างๆ เพื่อพรางตัวตลอดทาง ให้ตั๊กแตนที่นำติดตัวมาห้าตัวปูทางและนำหน้าเพื่อป้องกันตัว ในที่สุดก็คลำทางไปจนถึงทะเลสาบที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้
ริมทะเลสาบมีพืชน้ำเขียวชอุ่มสวยงาม น้ำใสสีเขียวมรกต หมู่นกกำลังเต้นระบำร้องขับขานอยู่บนต้นอ้อ
เหมียวอี้ที่ซ่อนตัวสังเกตการณ์ไปสักพักเก็บตั๊กแตนห้าตัวนั้น แล้วถือไข่มุกกันน้ำดำลงไปในน้ำอย่างเงียบๆ ระหว่างที่ดำน้ำก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ค้นหาตลอดทาง แต่ก็ไม่ค้นพบอะไร จึงขยับเข้าไปบริเวณกลางทะเลสาบทีละนิด เมื่อยิ่งเข้าใกล้บริเวณกลางทะเลสาบ น้ำก็ยิ่งลึกขึ้นเช่นกัน หลังจากไปถึงตรงจุดที่น้ำลึกร้อยเมตร จู่ๆ เหมียวอี้ก็พบว่าช่องว่างที่ไข่มุกกันน้ำกั้นออกมาป้องกันร่างกายเขาหดเล็กลงเรื่อยๆ ทั้งยังมีเสียงกัดเซาะดังแว่วมา มีหมอกสีดำกรองผ่านน้ำลอยเข้ามา
เหมียวอี้ตกใจนิดหน่อย ตอนแรกนึกว่าน้ำลึกทำให้แสงส่องลงมาไม่ถึง ตอนนี้ถึงได้พบว่าพอดำน้ำมาถึงตรงนี้ น้ำของทะเลสาบก็กลายเป็นสีดำเหมือนน้ำหมึกแล้ว ต่างกับน้ำสีเขียวมรกตชั้นบนโดยสิ้นเชิง ทำให้เหมียวอี้รู้ตัวทันที น้ำสีดำด้านล่างมีพิษ!
เกราะป้องกันตัวกางออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ไร้ประโยชน์! หลังจากประสิทธิภาพของไข่มุกกันน้ำโดนทำลาย เกราะป้องกันตัวก็โดนกัดกร่อนอย่างรุนแรงเช่นกัน
สิ่งนี้คืออะไร? ขณะกำลังตกใจ เหมียวอี้รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ปล่อยเปลวเพลิงไร้รูปร่างออกมาป้องกันตัว
เป็นอย่างที่คาดไว้ น้ำที่สีดำเหมือนหมึกพวกนั้น พอสัมผัสกับเปลวเพลิงก็เลิกกัดกร่อนทันทันที ป้องกันอยู่นอกร่างกายของเหมียวอี้อย่างราบรื่น
อย่าบอกนะว่าสิ่งนี้ก็เตรียมไว้สำหรับคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเหมือนกัน? เหมียวอี้ที่โล่งอกแล้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วดำลงไปที่ก้นทะเลสาบโดยตรง รอบข้างขุ่นมืดจนยื่นมือแล้วมองไม่เห็นนิ้ว ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองก็เห็นไม่ชัดเหมือนกัน แบบนี้จะให้หาของได้อย่างไร? ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูก็ไม่มีประโยชน์ น้ำสีดำที่สามารถกัดกร่อนพลังอิทธิฤทธิ์เป็นอุปสรรคในการค้นหา
เขาถึงได้ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำโดยตรง แล้วเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า พอแยกแยะตำแหน่งใจกลางทะเลสาบคร่าวๆ ได้ ก็โฉบจากฟ้าลงมาในทะเลสาบอีกครั้ง
ปรากฏว่าตัวเองตัดสินผิดพลาดไป บริเวณใจกลางทะเลสาบที่เห็นจากผิวทะเลสาบ ที่จริงเป็นเพราะลักษณะพื้นที่กักเก็บน้ำไว้ ลักษณะพื้นที่ก้นทะเลสาบกลับไม่ได้เรียบเสมอเท่ากัน ภายใต้ความอับจนหนทาง เมื่ออิงจากการค้นหาก่อนหน้านี้ ทำให้เขาตัดสินได้ว่าก้นทะเลสาบมีลักษณะรูปกรวย จึงดำน้ำลงไปตลอดทางตามลักษณะพื้นที่ก้นทะเลสาบ ดำน้ำไปจนถึงจุดต่ำสุด เตรียมจะหาจุดที่อยู่ตรงกลางให้เจอก่อน แล้วค่อยขยายวงค้นหาไปรอบๆ โดยอิงจุดนั้นเป็นจุดศูนย์กลาง เดาว่าถ้ามีสมบัติซ่อนอยู่ ก็น่าจะอยู่ในบริเวณที่ลึกที่สุด
ทว่าพอหาจุดศูนย์กลางของ ‘กรวย’ ก้นทะเลสาบพบ ถึงได้พบว่าก้นทะเลสาบมีโลกอีกใบ โพรงถ้ำที่กว้างประมาณหนึ่งจั้ง ด้านล่างเหมือนจะมีทางน้ำใต้ดิน
เหมียวอี้ที่ยืนอยู่หน้าโพรงถ้ำถือไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งคอยส่องแสง หลังจากลังเลอยู่ครู่เดียว สุดท้ายก็แข็งใจลอยลงไปโดยตรง ดำลงไปอย่างช้าๆ ตลอดทาง
ตามลักษณะพื้นแนวดิ่งที่เปลี่ยนเป็นแนวนอน เหมียวอี้ก็เดินทางตามแนวนอนอยู่ในทางน้ำใต้ก้นทะเลสาบเช่นกัน
หลังจากถึงปลายทาง ถ้าจะพูดให้ถูกคือจุดที่โดนอะไรบางอย่างกั้นไว้ เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ปล่อยเปลวเพลิงไร้รูปร่างออกมากันน้ำสีดำแล้วมองดู เขาตกใจแทบแย่ เห็นเพียงตะขาบสีมรกตที่เหมือนสวมเกราะรบสีเขียวตัวหนึ่งนอนขดเป็นวง ร่างกายของมันยาวประมาณสิบจั้ง โดนโซ่สีใสราวกับทับทิมหลายเส้นล่ามไว้ บนตัวยังมีตะปูยาวสีแดงที่ใหญ่หยาบราวกับแขนเสียบไว้ เสียบไว้หลายสิบแท่ง ร่างที่มีเปลือกสีเขียวมรกตของมันน่าเกลียดน่ากลัว ใครเห็นก็ต้องตกใจ
เหมียวอี้กำลังแปลกใจว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้เป็นหรือตาย แต่จู่ๆ ก็เห็นปากของมันขยับ พ่นหมอกสีดำเหมือนน้ำหมึกออกมาใส่เหมียวอี้โดยตรง
เหมียวอี้สะบัดแขนสองข้าง นอกร่างกายมีเปลวเพลิงไร้รูปร่างออกมาอีกชั้น กันไว้! หมอกดำโดนเผาสลายจางเป็นสีเทาทันที
ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีชีวิตอยู่! ขณะมองดูตะขาบที่กำลังนอนขดตัวขยับหนวดสัมผัสขนาดมหึมาสองข้าง เหมียวอี้ก็ตกใจมากเจ้าตัวนี้มันโดนขังมากี่ปีแล้ว? ไม่น่าเชื่อว่าจะยังไม่ตาย?
ดูเหมือนยังไม่ตาย แต่ตะขาบตัวนี้ก็กระดิกตัวแค่สองที แล้วก็ไม่ขยับตัวซ้ำอีก
เหมียวอี้พอจะเข้าใจแล้ว เป็นไปได้สูงว่าน้ำพิษสีดำที่อยู่ก้นทะเลสาบเป็นผลงานของตะขาบตัวนี้ เป็นไปได้ว่าผู้ซ่อนสมบัติจงใจล่ามตะขาบตัวนี้ไว้เพื่อสร้างอุปสรรคอีกชั้น
ไม่ต้องบอกเลย ขนาดแช่น้ำอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้วยังไม่ตาย แสดงว่าตะขาบพิษตัวนี้ต้องเป็นปีศาจเฒ่าอาวุโสแน่นอน ทั้งยังเป็นประเภทที่วรยุทธ์ร้ายกาจมากด้วย ถ้าจับปีศาจทั่วไปมาขังไว้แบบนี้ ก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรอก! เหมียวอี้อยากจะคลายผนึกบนตัวมัน แล้วถามว่ามันเป็นอะไรกันแน่ แต่พอคิดอีกมุม ถ้าทำแบบนั้นสมองตัวเองคงมีปัญหาแล้ว ถ้าไปยั่วแหย่สัตว์ประหลาดแบบนี้โดยที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ก็แสดงว่าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
แต่ตรงนี้คือปลายทางแล้ว ทางน้ำที่ขนานกันทอดตัวลงไปข้างล่าง แต่ทางเข้ากลับถูกตะขาบยักษ์สีเขียวขวางไว้
พอกวาดสายตามองรอบๆ เขาก็ชะงักเล็กน้อย พบว่าบนผนังผนังหินด้านข้างมีบันไดหินที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ลาดเอียงขึ้นไป เหมียวอี้ที่มาพร้อมความมุ่งมั่นในการค้นหาต้องอยากขึ้นไปดูแน่นอน ถึงได้วางเรื่องตะขาบไวชั่วคราว แล้วลอยตามบันไดหินขึ้นไป หลังจากขึ้นไปตามบันไดหินที่วกวนหลายสิบเมตร เขาก็ตาเป็นประกายทันที เห็นห้องหินห้องหนึ่งที่เรียบง่ายสุดๆ บนเพดานห้องฝังเลี่ยมไข่มุกราตรีไว้เม็ดหนึ่ง ส่องแสงสว่างจางๆ
เนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ น้ำของทางน้ำใต้ดินจึงมาไม่ถึงตรงนี้ สายตาเหมียวอี้กำลังจ้องภาพสลักหินบนผนังหินอย่างตกตะลึง เห็นบ่อยจนเริ่มจะคุ้นชิน เป็นสตรีทะยานฟ้าคนนั้นอีกแล้ว แต่ครั้งนี้กลับเป็นภาพสลักนูน เพียงแต่ก้อนโลหะกลมสีดำที่ถืออยู่ในมือ ครึ่งหนึ่งของมันถูกฝังเลี่ยมอยู่บนผนังหิน
พื้นที่ว่างในห้องหินไม่ใหญ่มาก คาดว่าบริเวณรอบๆ กว้างไม่ถึงสองจั้ง หรือนี่จะเป็นสถานที่ซ่อนสมบัติที่ต้องการหา?
เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจที่ผนังหินรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่พบที่ซ่อนสมบัติใดๆ เลย รู้สึกงงนิดหน่อย ห้องหินเล็กขนาดนี้ แค่มองปราดเดียวก็เห็นทุกอย่างตรงหน้าหมดแล้ว ยังจะซ่อนสมบัติอะไรได้อีกล่ะ? ไม่ใช่หรอกมั้ง? สมบัติที่ราชันลัทธิมาซ่อนไว้ล่ะ? ข้าสิ้นเปลืองความพยายามไปมากขนาดนี้ คงไม่ได้แกล้งข้าเล่นหรอกใช่มั้ย?
แต่พอลองคิดอีกมุมหนึ่ง ผู้ซ่อนสมบัติสิ้นใช้ความพยายามไปมากขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาเรื่องนี้มาล้อเล่น สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดที่ก้อนโลหะกลมสีดำบนมือของสตรีทะยานฟ้าอีกครั้ง ในห้องหินมีเพียงสิ่งนี้ที่เป็นวัตถุประหลาด เมื่อมองให้ละเอียดก็รู้สึกคุ้นเหมือนเคยเห็นมาก่อน เหมียวอี้ยกมือขึ้นขยุ้มกลางอากาศ เกิดเสียงดัง ‘แกร๊ก’ ก้อนโลหะกลมสีดำถูกดูดฝ่ากำผนังออกมาอยู่ในฝ่ามือเขา พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรงดู เขาก็พบเบาะแสอีกอย่าง มันเป็นของวิเศษที่เรียบง่ายชิ้นหนึ่ง
เมื่อร่ายพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปกระตุ้น ก้อนโลหะกลมสีดำก็แผ่ออกทันที เหมียวอี้ดีใจอย่างบ้าคลั่ง หรือว่าสิ่งนี้จะเป็นภาคดินของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน?
ทว่ารอจนก้อนโลหะกลมสีดำแผ่ขยายอยู่ในฝ่ามือจนเต็มที่ แล้วมองดูสิ่งที่อยู่บนนั้น เขาก็ต้องเอ๋อกินอีกครั้ง อุทานอย่างตกใจว่า “ไอ้เวรเอ๊ย! ข้าทำอะไรพลาดรึเปล่า?”
ในฝ่ามือเป็นแผนที่ฉบับหนึ่ง เหมือนแผนที่ที่เขาเคยเห็นในมือจงหลีค่วยตอนแรก บนนั้นเป็นภาพของสตรีทะยานฟ้า แนบด้วยตัวอักษรสองแถว : ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด!
ที่หลอกลวงที่สุดก็คือ บนแผนที่มีตัวอักษร ‘มาร’ กับ ‘ดิน’ ชัดเจน
นี่ก็เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินเหรอ? เหมียวอี้รู้สึกเหมือนจะประสาทเสีย ใช้ความพยายามไปมากมายขนาดนี้ ถึงขั้นโดนคนของสมาคมวีรชนจับตาดู ลำบากลำบนมาหลายปี แต่เจอแค่แผนที่ที่หน้าตาเหมือนฉบับที่อยู่ในมือของปราสาทดำเนินนภาเนี่ยนะ? แบบนี้มันแกล้งกันเล่นไม่ใช่เหรอ!
ภายใต้ความโมโห เหมียวอี้อยากจะทำลายภาพนี้ให้พัง แต่ไม่นานก็ถอนหายใจดัง “เฮ้อ” สายตาไปจ้องอยู่บนแผนที่อีกครั้ง ค่อยๆ สังเกตเห็นว่ามีบางจุดที่ไม่เหมือนแผนที่ที่อยู่ในมือของปราสาทดำเนินนภา นั่นก็คือแผนที่ที่อยู่นอกตัวอักษรและภาพวาด ภาพนั้นที่อยู่ในมือของปราสาทดำเนินนภา อย่างน้อยเขาก็ศึกษาฉบับสำเนามาแล้วอย่างละเอียด ยังไม่ต้องพูดถึงความแตกต่างบนภาพพิกัดแผนที่ดาว อย่างน้อยสัญลักษณ์ระหว่างภูเขาสามลูกที่อยู่บนภาพนั้นก็ไม่ปรากฏบนภาพนี้ สัญลักษณ์ที่อยู่บนนี้คือสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
หลังจากดูอย่างละเอียดจนแน่ใจแล้ว เหมียวอี้ก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สงสัยเป้าหมายของแผนที่ฉบับนั้นก็เพื่อให้หาแผนที่ฉบับนี้เจอ จำเป็นต้องอ้อมไปอ้อมมาเยอะขนาดนี้มั้ย? ไม่ใช่ว่าหาสถานที่อีกแห่งพบแล้วจะเจอแผนที่ฉบับนี้อีกหรอกนะ?
เหมียวอี้ยังรู้สึกเหมือนโดนปั่นหัว ยังคิดจะทำลายแผนที่ฉบับนี้ แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น ความจริงทำไม่ลง ขณะกำลังแค้นจนกัดฟันกรอด เขาก็เดินวนในห้องหินหลายรอบ แล้วกอบแผนที่ฉบับนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง อยู่ในถ้ำหินห้องนี้เป็นเวลาหนึ่งวัน
หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน เหมียวอี้ที่อ่านจนมึนหัวก็ยอมแพ้แล้ว แผนที่บอกจุดหมายปลายทางอย่างละเอียด สามารถอ่านเข้าใจได้ แต่สำหรับภาพแผนที่กลุ่มดาวที่อยู่นอกจุดหมายปลายทาง เขาก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะจัดการอย่างไร จักรวาลกว้างใหญ่ขนาดนี้ แถมเขาไม่คุ้นเคยกับพิภพใหญ่ด้วย ทั้งยังไม่สะดวกจะนำออกมาให้คนอื่นช่วยศึกษา ภาพแผนที่กลุ่มดาวที่อยู่บนนั้น ใครจะไปรู้ว่าที่ไหนเป็นที่ไหน!
ถ้าจะให้ยอมแพ้ตอนนี้ เขาก็ตัดใจไม่ลงอีก แต่ถ้าจะศึกษาเองก็ไม่รู้จะเริ่มลงมือจากตรงไหน เขาครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา แล้วก็ตัดสินใจไปที่ปราสาทดำเนินนภา ทางนั้นมีประสบการณ์เรื่องคลายปริศนารูปภาพ หาทางไปสืบดูสักหน่อยว่าอีกฝ่ายลงมืออย่างไร จะได้ให้ทางนั้นคุ้มกันส่งตนออกไปจากที่นี่ด้วย อยู่ที่ปราสาทดำเนินนภาปลอดภัยกว่าอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็สนิทกับปราสาทดำเนินนภา เขาไม่กล้ารับประกันเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ พยายามออกไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า
จึงนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับจงหลีค่วย รอจนกระทั่งจงหลีค่วยกลับมา เหมียวอี้ถึงได้หายกังวล
จากนั้นก็นำแผ่นหยกออกมา เทียบดูกับแผนที่ในมือ แล้วทำสำเนาภาพแผนที่กลุ่มดาวที่อยู่บนนั้น แต่เว้นภาพรายละเอียดจุดหมายปลายทางเอาไว้ ขอเพียงหาตำแหน่งท้องฟ้าที่อยู่บนภาพเจอ ที่เหลือก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ เหมียวอี้กวาดมองรอบๆ ห้องหินแวบหนึ่ง แล้วเดินก้าวยาวออกไป ดำเข้าไปในน้ำทะเลสาบสีดำอีกครั้ง สำรวจดูตะขาบยักษ์เปลือกเขียวที่หน้าตาดุร้ายตัวนั้นอีกนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะไปยั่วแหย่มัน เพราะยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางชัดเจน จึงกลับมาที่กลางทะเลสาบตามทางเดิม เมื่อโผล่พ้นน้ำออกมา ก็มุ่งตรงกลับไปที่อาณาเขตของเผ่าปีศาจทันที
หลังจากผ่านไปหลายวัน จงหลีค่วยก็ไม่ได้มา แต่หมิงจ้าวมาแทน พาศิษย์น้องระดับบงกชรุ้งมาด้วยสองคน ย่อมมาเพื่อป้องกันคนของสมาคมวีรชนอยู่แล้ว
เมื่อเจอหน้ากัน หมิงจ้าวก็ขมวดคิ้วทันที “ทำไมเจ้ากลับมาที่นี่อีกแล้วล่ะ?”
เหมียวอี้แอบปาดเหงื่อในใจ คิดว่าถ้าปราสาทดำเนินนภาไม่ได้เห็นแก่เรื่องที่ได้ทำงานร่วมกับร้านขายของชำซื่อตรง ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งยอดฝีมือระดับบงกชรุ้งสามคนรวดเดียวเพื่อรับตัวเขาไป ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ไม่ได้มีความสำคัญในสายตาของอีกฝ่ายอยู่แล้ว อีกฝ่ายทำแบบนี้เท่ากับเป็นการแสดงน้ำใจต่อร้านขายของชำซื่อตรง
“ข้าเองก็ไม่อยากกลับมาหรอก เป็นเพราะโดนคนดักโจมตีแท้ๆ เลย ถ้าจะหนีไปที่สำนักลมปราณ สำนักลมปราณก็ต้านทานอีกฝ่ายไม่ไหว ถ้าจะไปที่ปราสาทดำเนินนภา ก็กลัวว่าฝ่ายนั้นจะรู้แล้วเตรียมการล่วงหน้า ทำได้เพียงหนีกลับมาที่นี่เพื่อขอให้ผู้อาวุโสมู่เซินรบกวนให้ปราสาทแมกไม้ปกป้อง ไม่อย่างนั้นข้าคงตกอยู่ในมือของสมาคมวีรชนไปนานแล้ว” เหมียวอี้ทำได้เพียงอธิบายไปแบบนี้ คงบอกไม่ได้หรอกว่าตัวเองกลับมาเพื่อหาสมบัติ
…………………………