“ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรมที่ช่วยให้สมปรารถนา!” เหมียวอี้กุมหมัดขอบคุณ
โค่วหลิงซวีโบกมือให้จากข้างหลัง “คนบ้านเดียวกัน ยังมีอะไรจะขออีกก็พูดออกมาทีเดียวเลย”
เหมียวอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีขอรับ รอให้นึกออกแล้วค่อยรบกวนท่านพ่อบุญธรรมอีก”
“หึ! เจ้านี่ช่างไม่เกรงใจเลยจริงๆ” โค่วหลิงซวีพ่นเสียงทางจมูก แล้วโบกมือบอกว่า “เอาล่ะ ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วก็กลับไปอยู่กับเจ้าเจ็ดก่อน เจ้าเองก็อยู่ที่นี่นานเกินไปไม่ได้ ยังต้องกลับไปที่ตลาดผีให้เร็วที่สุด ถือโอกาสนี้ใช้เวลาอยู่กับนางให้มากๆ ส่วนเรื่องเปลี่ยนกำลังพลที่ตลาดผี เดี๋ยวผู้เฒ่าถังจะติดต่อเจ้าไปอีกที”
ผู้เฒ่าถังก็พยักหน้าเช่นกัน “ท่านเขย หากเรื่องทางนี้เรียบร้อยแล้ว บ่าวจะติดต่อท่านไปทันที”
“รบกวนท่านอาถังแล้ว” เหมียวอี้กุมหมัดขอบคุณ แล้วถือโอกาสขอตัว
หลังจากมองส่งเขาจากไปแล้ว ผู้เฒ่าถังก็หันตัวถามว่า “นายท่าน จะให้เขาก่อเรื่องที่ตลาดผีจริงเหรอ?”
โค่วหลิงซวีตอบว่า “ที่เขาพูดก็ไม่ผิด ตราบใดที่เขาไม่ทรยศค่ะ ประมุขชิงก็ไม่มีทางปล่อยเขาออกจากตลาดผี จะคุมตัวเขาไว้ที่ตลาดผีตลอด พวกเราปกป้องเขาได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว ปกป้องทั้งชีวิตไม่ได้ สถานการณ์กลายเป็นอย่างนี้แล้ว การเก็บเขาไว้ในมือก็กลายเป็นซี่โครงไก่อยู่ดี ถ้าเขาเผชิญกับสถานการณ์วิกฤต พวกเราจะทำยังไงล่ะ? จะช่วยหรือจะไม่ช่วย? ตระกูลอื่นล้วนต้องการเล่นงานเขาให้ถึงความตาย ตระกูลโค่วของเราตระกูลเดียวหากรับมือกับตะกูลอื่นต่อไปนานๆ ก็จะได้ไม่คุ้มเสีย แต่ถ้าไม่ช่วยเขา ชื่อเสียงของพวกเราก็จะไม่น่าฟังเช่นกัน ตอนนี้เขาก็เรื่องสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างที่เขาบอกได้จริงๆ ถ้ากลับมาทำงานให้ตระกูลโค่วที่ทัพเหนือได้จริงๆ ก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ ตายอยู่ในมือตระกูลอื่น ก็นับว่าเรื่องนี้จบลงแล้วเช่นกัน”
โค่วเจิงกลับถังเฮ่อเหนียนทำสีหน้าครุ่นคิด ยอมเข้าใจว่าคำว่า ‘จบ’ หมายความว่าอะไร หนิวโหย่วเต๋อถูกประมุขชิงกดไว้ที่ตลาดผี เป็นการสร้างสถานะฝ่ายถูกกระทำไม่ตระกูลโค่วมากจริงๆ นี่คือสิ่งที่ตระกูลโค่วไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย สิ้นเปลืองความคิดมากมายเพื่อชิงตัวลูกศิษย์ของอสุราอัคนีเอาไว้ในมือ แต่กลับกลายเป็นตัวภาระแล้ว ในเมื่อหมดประโยชน์แล้ว บางทีการตายด้วยน้ำมือของตระกูลอื่น ก็จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ทั้งสองคนเข้าใจแล้วว่าทำไมโค่วหลิงซวีถึงตอบตกลงเงื่อนไขของหนิวโหย่วเต๋ออย่างใจถึงตรงไปตรงมา ที่พยายามช่วยเขาเต็มที่ ก็เพื่อจะให้โลกภายนอกได้เห็นเท่านั้น โค่วหลิงซวีทุ่มทุนไปเยอะเพื่อดึงตัวมา ถ้าทิ้งไปง่ายๆ จะให้ลูกน้องมองเขาอย่างไร จะไม่ผิดหวังท้อใจกันหรอกเหรอ
“เฮ้อ!” ถังเฮ่อเหนียนถอนหายใจเบาๆ เรื่องบางเรื่องก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจริงๆ เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ที่จริงจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ว่าเจ้าเด็กนี่มีจุดที่เหนือกว่าคนอื่นจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าหาญงัดข้อกับตระกูลอื่น ความกล้าของเขาไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะเทียบติด ระดับผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ คนอื่นยังคิดอยู่เลยว่าจะปีนขึ้นไปยังไง จะกอบโกยทรัพยากรอย่างไง ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหมอนี่จะขยายอำนาจตัวเองไปแล้ว?” เขาหมายถึงเรื่องที่เหมียวอี้อาศัยอำนาจตอนรับตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์มาหาเส้นสายกับคนหลากหลายวงการ
“เจ้าใหญ่ ที่หนิวโหย่วเต๋อพูดเมื่อครู่นี้เจ้าก็ได้ยินแล้ว” โค่วหลิงซวีหันตัวมามองโค่วเจิง เตือนอย่างจริงจังว่า “เขาหัวรุนแรง บ้าพลัง ทุ่มสุดตัว เมื่อไหร่ที่สภาพแวดล้อมไม่เอื้อประโยชน์ต่อตัวเอง เขาก็กล้ายอมแลกทุกอย่างแล้วสู้ตาย คนประเภทนี้บางทีก็โง่ที่สุดเหมือนกัน แต่บางทีก็น่ากลัวที่สุด เพราะคนที่ประสบความสำเร็จก็มักจะเป็นคนประเภทนี้ เมื่อไม่มีโอกาส ก็จะสร้างโอกาสให้ตัวเอง ไม่ใช่พวกลังเลห่วงหน้าพะวงหลังพี่รู้จักแต่รอโอกาส บนโลกนี้มีโอกาสเยอะพอกับจำนวนคนรอเสียที่ไหนกัน ถ้าประสบความสำเร็จก็มีชื่อเสียง ถ้าพ่ายแพ้ชีวิตก็ไร้ค่า นี่ก็คือความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างต้นหญ้าที่ผงาดขึ้นมากับลูกหลานผู้มีอำนาจ! พวกเจ้ามีตระกูลปกป้องมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยได้รับความพ่ายแพ้อะไร สิ่งที่เรียนมาได้ก็เป็นเพราะใช้อำนาจที่คนรุ่นก่อนรักษาไว้ให้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อาศัยอำนาจอ้อมไปอ้อมมา คนที่หมกมุ่นว่าตัวเองฉลาดแล้วภาคภูมิใจในตนเองน่ะเป็นคนโง่ อ้อมค้อมนานๆ เข้าก็จะทำให้ตัวเองเลอะเลือน ถ้าเจอคนที่เจ้าอ้อมค้อมด้วยไม่ไหว ใช้ดาบแทงเข้ามาใส่เจ้าโดยตรง เจ้าก็จะลนลานทำอะไรไม่ถูก บนตัวหนิวโหย่วเต๋อมีสิ่งที่ควรค่าให้เจ้าเรียนรู้”
“ขอรับ! ลูกได้เรียนรู้แล้ว” โค่วเจิงกุมหมัดคารวะพลางโค้งตัวค้างไว้
พอเหมียวอี้ที่มีเรื่องหนักใจเดินมาถึงนอกสวน ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้า เงยหน้ามองตัวอักษร ‘อวิ๋นเซวียน’ บนประตูที่โค่วหลิงซวีเขียนด้วยตัวเอง
พูดถึงขั้นนั้นแล้ว โค่วหลิงซวีก็ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยอวิ๋นจือชิวออกจากจวนอ๋องสวรรค์เลย เขาย่อมเข้าใจว่าอวิ๋นจือชิวอยู่ทำอะไรที่นี่ เขาอยู่ข้างนอกแต่กลับทิ้งให้เมียตัวเองมาเป็นตัวประกันอยู่ที่นี่ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกผิดในใจ
เพียงแต่พอกลับมาย้อนคิดดูตอนนี้ การทิ้งอวิ๋นจือชิวไว้ที่นี่ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ อย่างน้อยก็ปลอดภัยไร้กังวล เรื่องที่เขากำลังจะทำที่ตลาดผี ไม่เหมาะที่จะพาอวิ๋นจือชิวไปเสี่ยงอันตรายด้วย ถ้าทำเรื่องนี้สำเร็จก็จะแลกอิสระมาให้อวิ๋นจือชิวได้ แต่ถ้าเรื่องนี้ล้มเหลว ก็เกรงว่าโฉมงามคงจะกระดูกแตกสลาย หลังจากเขาตายไป อวิ๋นจือชิวก็จะหมดคุณค่าให้ตระกูลโค่วกักตัวไว้ สามารถทำให้อวิ๋นจือชิวได้รับอิสระเช่นกัน และในมืออวิ๋นจือชิวก็มีช่องทางและทรัพยากรที่เขาทิ้งไว้ให้ ชีวิตในอนาคตคงจะไม่มีปัญหา ส่วนจีเหม่ยลี่และอนุภรรยาคนอื่นๆ ก็ล้วนมีอำนาจหนุนหลังหนุนหลัง ต่อให้ตัวเองตายไปก็ไม่ส่งผลกระทบต่อพวกนางมากนัก
ส่วนคนอื่นๆ คนตายก็เหมือนโคมไฟที่ดับแล้ว เขาก็ดูแลไม่ทั่วถึงเช่นกัน
หลังจากจบเรื่องแล้วจะได้ไม่มีความกังวลเกินไป พอนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ เหมียวอี้ก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองสามารถเผชิญหน้ากับสารเลวพวกนั้นได้อย่างเต็มที่แล้ว!
เขาเก็บงำความกลุ้มใจของตัวเอง เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในหออวิ๋นเซวียน
ไม่นานข้างในก็มีเสียงของเสวี่ยเอ๋อร์ดังขึ้น “ฮูหยิน นายท่านกลับมาแล้วค่ะ”
ผ่านไปม่นาน อวิ๋นจือชิวที่มีเสียงเครื่องประดับดังกรุ๊งกริ๊งก็นำเชียนเอ๋อร์เดินออกมาจากลานบ้านด้านหลัง ปิ่นทองบนมวยผมสั่นไหว คนงดงามกว่าดอกไม้ เปล่งประกายสดใส
ก่อนจะเข้ามา อวิ๋นจือชิวก็มองประเมินเขาศีรษะจดเท้า แล้วพูดหยอกว่า “ยิ้มตาหยีแบบนี้ ไปเจอเรื่องอะไรดีๆ มาล่ะ? มีบ้านไหนจะนำสาวงามส่งให้ถึงที่เหรอ?”
เหมียวอี้ยื่นมือไปจับคางที่ขาวเกลี้ยงเกลาของนาง “เมื่อคืนนี้ใครกันนะที่ร้องขอชีวิต พอได้ใส่เสื้อผ้าก็ปากดีเลยนะ?”
เพี้ยะ! อวิ๋นจือชิวปัดมือเขาออก พอนึกถึงเรื่องที่ถูกกระทำจนจะเป็นจะตายเมื่อคืนนี้ นางก็อับอายจนเกินทน แก้มแดงเหมือนพระอาทิตย์ยามเย็นทันที นางยกกระโปรงขึ้นมา แล้วเตะเขาอย่างโมโหเพราะอับอาย “ปากไม่มีหูรูด คนจัญไรไม่รู้จักอาย”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เม้มปากแอบหัวเราะ เหมือนจะมีแค่ตอนที่ทำเรื่องนั้นแล้วเท่านั้น ฮูหยินถึงจะยอมแพ้เมื่ออยู่ต่อหน้านายท่าน
อวิ๋นจือชิวถลึงตาใส่สาวใช้ พวกนางทำหน้านิ่งอย่างซื่อสัตย์ทันที แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
“ผีบ้า!” อวิ๋นจือชิวยื่นมือไปบิดเอวเหมียวอี้อีก เสร็จแล้วถึงได้คล้องแขนเขาเดินเข้าไปในเรือน พร้อมถามว่า “ไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ย?”
“จะเป็นอะไรไปได้ล่ะ ก็แค่ให้ทั้งสองฝ่ายให้คำอธิบาย พระโพธิสัตว์หลันเย่พาคนกลับไปแล้ว” เหมียวอี้ตอบอย่างผ่อนคลาย
ส่วนบทสนทนากับตระกูลโค่ว รวมทั้งเรื่องที่ตัวเองกำลังจะทำ เขาไม่ได้คิดจะบอกนาง นางจะได้ไม่กังวล
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” อวิ๋นจือชิวใช้มือข้างหนึ่งตบหน้าอกที่อิ่มเอิบของตัวเอง หลังจากทั้งสองเข้าไปในศาลาแล้วก็ปล่อยแขนเหมียวอี้ รับถ้วยน้ำชาจากมือเชียนเอ๋อร์ยื่นให้เขา ส่วนตัวเองก็นั่งลงตรงข้าม รอให้เหมียวอี้จิบน้ำชาจนชุ่มคอแล้ว นางถึงได้ถ่ายทอดเสียงในขอบเขตแคบๆ “รีบๆ หน่อย ในที่สุดข้าก็เปรียบเทียบแผนที่สองฉบับนั้นจนเจอเบาะแสก่อนที่เจ้าจะกลับตลาดผีแล้ว ส่วนรายละเอียดอาจจะยังเทียบไม่เจออะไร ต้องรอไปตรวจสอบกับสถานที่จริงถึงจะแน่ใจได้”
“อ้อ!” เหมียวอี้วางถ้วยน้ำชาลง แล้วถามว่า “ผลเป็นยังไง?”
อวิ๋นจือชิวตอบว่า “เจ้าเดาไว้ไม่ผิดหรอก แผนที่หนึ่งในนั้นอาจจะเป็นทางลับที่ใช้เข้าออกแดนสุขาวดีจริงๆ เพราะจุดเริ่มต้นของประตูดวงดาวแห่งหนึ่งก็อยู่ในแดนสุขาวดี น่าจะเป็นทางออกมาจากแดนสุขาวดี ส่วนตำแหน่งโดยละเอียดของประตูดวงดาวก็อยู่ที่อาณาเขตนิรนามฝั่งแดนสุขาวดี ถ้าอยากจะหาให้เจอก็คงต้องทำตามขั้นตอน ส่วนจุดเริ่มต้นของประตูดวงดาวอีกแห่งอยู่ฝั่งตำหนักสวรรค์ ตำแหน่งประตูดวงดาวก็อยู่ที่อาณาเขตนิรนามเช่นกัน ถ้าอิงตามแผนที่แดนอเวจีครั้งก่อน เชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์ของผู้ซ่อนสมบัติ มีทั้งทางเข้าและทางออกคู่กัน ประตูดวงดาวอีกแห่งก็น่าจะเป็นทางเข้าแดนสุขาวดี”
เหมียวอี้พยักหน้า “แล้วแผนที่อีกฉบับล่ะ?”
พอพูดถึงแผนที่อีกฉบับ อวิ๋นจือชิวก็ขมวดคิ้วมุ่น เหมือนอึกอักอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
เหมียวอี้แปลกใจทันที “อย่าบอกนะว่ามีอะไรไม่สะดวกจะพูดกับข้า? เป็นอะไรไป อย่าบอกนะว่าแอบลักลอบทำอะไรกับใครลับหลังข้า?”
“ไปตายไป!” อวิ๋นจือชิวถลึงดวงตางาม นางปรี๊ดแตกทันที ถลันตัวเข้าไปดึงมวยผมเหมียวอี้ บีบคอเขาเอาไว้ กดหัวเขาลงไปบนโต๊ะโดยตรง เรียกได้ว่าทารุณมาก เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เห็นแล้วปวดประสาท โชคดีที่ทั้งสองคุ้นชินกับสิ่งนี้ตั้งนานแล้ว
หารู้ไม่ว่าสำหรับอวิ๋นจือชิวแล้ว คนอื่นจะล้อเล่นอย่างไรก็ได้ แต่มีเพียงคำว่า ‘แอบลักลอบ’ ที่ไม่ควรเอ่ยกับนาง ภายนอกนางดูเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ลึกๆ แล้วนางเป็นคนหัวโบราณมาก เพราะเคยมีอดีตกับเฟิงเสวียนมาก่อน ในใจจึงอ่อนไหว โดยเฉพาะเมื่อคำนั้นหลุดมาจากปากเหมียวอี้ ก็ยิ่งยั่วยุอารมณ์นางได้เป็นพิเศษ สิ่งนี้กลายเป็นจุดอ่อนในชีวิตของนางที่ไม่มีหนทางเยียวยาแล้ว
“ผู้หญิงปากร้าย เจ้าบ้าไปแล้วสินะ ล้อเล่นไม่ได้รึไง?” เหมียวอี้พยายามลุกขึ้นยืน ใช้มือข้างหนึ่งผลึกนางออก
อวิ๋นจือชิวใช้มือสองข้างเท้าเอว “พูดมาให้ชัดเจนเถอะ ใครกันแน่ที่แอบลักลอบ? เจ้าแอบหาเศษหาเลยกินลับหลังข้า ยังมีหน้ามาว่าข้าอีกเหรอ?”
พอเอ่ยเรื่องหาเศษหาเลยกิน ในหัวเหมียวอี้ก็มีภาพหวงฝู่จวินโหรวลอยขึ้นมา เขาจึงพ่นเสียงทางจมูกแล้วนั่งลงทันที “เป็นบ้าอะไรล่ะ ถามเรื่องแผนที่ ถึงขั้นต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ? รีบบอกมาเถอะ อย่ามัวปิดบัง เป็นยังไงกันแน่?”
อวิ๋นจือชิวก็แค่สะกิดจุดอ่อนเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาเขาก็เท่านั้นเอง พอพิจารณาดูให้ดี นางรู้เช่นกันว่าเหมียวอี้พูดโดยไม่ได้ตั้งใจ นางจึงทำเสียงฮึดฮัดแล้วกลับมานั่งลงตรงข้าม ยกกระโปรงขึ้นนั่งไขว่ห้าง แล้วเหล่ตาบอกว่า “ยอมรับผิดมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันอย่างพูดไม่ออก ทั้งสองแอบถอนหายใจ เป็นเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะว่าสองสามีภรรยาคู่นี้อย่างไรดี เอะอะก็ทะเลาะกันจนแตกคอได้แล้ว แบบนี้มันใชเรื่องเสียที่ไหน
“ก็ได้! ข้าผิดไปแล้วตกลงมั้ย?” เหมียวอี้ยอมรับผิดอย่างปากไม่ตรงกับใจ ในใจกลับเกิดความคิดชั่วร้าย ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลา คืนนี้นางตัวแสบได้ทรมานแน่
อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัด ค่อยๆ สงบสติอารมณ์อย่างช้า ทว่านางเริ่มขมวดคิ้วอีกครั้ง “หนิวเอ้อร์ แผนที่ฉบับนั้นน่ะ ข้าก็แค่เดานะ เจ้าได้ยินแล้วอย่าร้อนใจล่ะ”
“ร้อนใจ?” เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งอยากขำ “ก็แค่แผนที่ตั้งแต่สมัยไหนแล้วก็ไม่รู้ ข้าจะเป็นถึงขนาดนั้นเลยเหรอ? โดนเจ้าโมโหใส่จนชินตั้งนานแล้ว ผู้ชายของเจ้าเป็นคนข่มอารมณ์ไม่ไหวขนาดนั้นเลยเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แล้วเบะปากบอกว่า “เจ้าพูดเองนะว่าไม่ร้อนใจ ข้าสงสัยว่าจุดหมายสุดท้ายที่ทำสัญลักษณ์ไว้บนแผนที่ จะเป็นสถานที่เดียวกับที่เจ้ารองของเจ้าติดอยู่ตอนนี้”
เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา เหมียวอี้ก็พลันลุกขึ้นยืน แล้วถลึงตาจ้องนางทันที
…………………………