เป็นเพราะถ้าไม่แยกสองคนนี้ออกจากกัน ทั้งคู่ต่างก็ใช้ดาบใช้ทวนแล้ว อีกประเดี๋ยวถ้าทุกคนกลับไป ทั้งสองจะต้องต่อสู้กันอีกแน่นอน
ตั้งแต่จวนอ๋องสวรรค์ก่อตั้งมาจนถึงทุกวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นสามีภรรยาใช้อาวุธจริงต่อสู้กัน โดยเฉพาะการต่อสู้ในจวนอ๋องสวรรค์โดยตรง ช่างแปลกพึลึกจริงๆ
จุดประสงค์หลังจากจับแยกออกจากกันก็ไม่ซับซ้อนเลย นั่นก็คือพาตัวมาถามว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่
ทางฝั่งเหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมาก บอกเพียงว่าอวิ๋นจือชิวเป็นผู้หญิงปากร้ายเจ้าอารมณ์ ตอนนี้เขาก็โมโหจนสุดทนจริงๆ
เมื่อเห็นว่าถามแล้วไม่ได้ความอะไร โค่วเจิงก็ไม่ได้สืบให้ลึกกว่านั้นแล้ว เขาเองก็รู้ ว่าถ้าเหมียวอี้มีความคิดจะหย่าร้างเพื่อให้หลุดพ้นจากตระกูลโค่วจริงๆ ต่อให้ถามไปก็ไม่ได้คำตอบ ดังนั้นคุณชายใหญ่จึงไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงให้ฝั่งนี้ลองถามดู
ส่วนสิ่งที่อวิ๋นจือชิวพูดกับสุยฉูฉู่ ก็คือสงสัยว่าเหมียวอี้มีผู้หญิงอยู่ข้างนอก
สำหรับเรื่องนี้ สุยฉูฉู่โน้มน้าวให้นางปิดตาข้างหนึ่งเปิดตาข้างหนึ่ง บอกว่าผู้ชายก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่พอจะมีอำนาจอิทธิพล
จากนั้นพวกพี่น้องตระกูลโค่วและบรรดาเขยก็มากันหมด ดึงเหมียวอี้ไปดื่มสุราด้วยกัน หรือจะเรียกได้ว่าเรียกไปพูดปลอบใจให้คลายทุกข์ก็ได้
สรุปก็คือทั้งสองฝั่งล้วนโน้มน้าวให้อยู่ด้วยกัน ไม่แนะนำให้แยกจากกัน
แต่ระหว่างญาติสนิทกับญาติห่าง บางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็มีการแบ่งแยก ถ้าเปลี่ยนให้คู่สามีภรรยาคู่อื่นของตระกูลโค่วทำอย่างนี้บ้าง ตระกูลโค่วก็ย่อมมีกฎให้จัดการลงโทษอยู่แล้ว แต่พอเหมียวอี้และฮูหยินทำเรื่องนี้ ก็ไม่มีใครเอาเรื่องอะไร มีเพียงนายท่านโค่วที่ตำหนิไปยกหนึ่ง
ในสวนอวิ๋นเซวียนพังไปเกินครึ่งเพราะการต่อสู้ ถ้าจะสร้างใหม่ก็ต้องใช้เวลา เหมียวอี้และฮูหยินต้องพักอยู่ในสวนของโค่วเจิงชั่วคราวเช่นกัน
เมื่อเปลี่ยนห้องใหม่แล้ว อวิ๋นจือชิวก็เรียกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มาจัดของใหม่อีก
ในตอนที่เก็บข้าวของ ในที่สุดชียนเอ๋อร์ที่ลังเลอยู่หลายครั้งก็อดไม่ได้ที่จะโน้มน้าวว่า “ฮูหยิน ที่จริงเรื่องบางเรื่องเมื่ออยู่กันส่วนตัวจะทะเลาะกันยังไงก็ได้ แต่ทำให้นายท่านเสียหน้าต่อหน้าคนเยอะๆ แบบนี้ อาจจะไม่เหมาะสมรึเปล่าคะ?”
“เชอะ! สาวใช้อย่างพวกเราจะเข้าใจอะไรล่ะ” อวิ๋นจือชิวนั่งพิงทางฝั่งนี้ ใช้สองมือยกกระโปรงขึ้น พาดขานั่งไขว่ห้าง แล้วกล่าวอย่างภูมิใจว่า “สามีภรรยาที่อยู่เป็นคู่ชีวิตกันน่ะ อย่านึกนะว่าถ้าผู้หญิงเชื่อฟังผู้ชายทุกอย่างแล้วทั้งคู่จะรักกันลึกซึ้งได้ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เล่นจนเบื่อแล้วก็จะหน่าย ต่อให้จะอ่อนโยนเอาใจใส่ไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกเจ้าคิดว่าข้าชอบทำตัวเป็นผู้หญิงปากร้ายเจ้าอารมณ์นักเหรอ? จุดประสงค์ของข้าไม่ใช่การเป็นผู้หญิงปากร้ายหรอก ที่จริงข้าแค่จะทำให้เขาเข้าใจขีดจำกัดของข้า วันนี้เขาโหดร้ายมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าลงมือกับข้า นี่ข้ายังเจ็บก้นอยู่เลย ไอ้เวรนั่นมันมือหนักจริงๆ ถ้าข้าไม่โหดบ้าง ปล่อยให้เขานึกว่าตีข้าแล้วจะขู่ข้าได้ พอนึกตอนที่เขาเล่นข้าจนเบื่อแล้ว จะไม่แย่หรอกเหรอ? ก็ต้องทำให้เขาเข้าใจสิ ว่าถ้ายั่วโมโหข้าขึ้นมา ไม่ว่าอะไรข้าก็ทำได้ทั้งนั้น ต้องทำให้เขากังวลบ้างสักหน่อย ให้เข้าใจว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ข้าต้องสยบเขาให้ได้ ครอบครัวถึงจะอยู่กันยืดยาว ไม่อย่างนั้นในภายหลังก็ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าเวรนั่นจะทำเรื่องอะไรอีกบ้าง ต่อให้ข้าจะอ่อนโยนเอาใจใส่ยังไง ต่อให้ข้าจะเลียเล็บเท้าเขาก็ไม่มีประโยชน์ ถึงตอนนั้นต่อให้เจ้าตั้งใจอยากจะกอบกู้สถานการณ์ แต่ก็สายไปแล้ว แต่จะว่าไป นายท่านของพวกเจ้าก็ไม่ได้โง่เหมือนกัน ในใจเขารู้แจ่มแจ้งว่าข้าดีหรือร้ายต่อเขา แบบนี้เรียกว่ารู้จักตึงรู้จักหย่อน ไม่อย่างนั้นจะยอมให้ข้าพาลหาเรื่องได้ยังไงล่ะ หึหึ!”
พอนึกถึงสภาพเหมียวอี้ที่หมดอาลัยตายอยาก สะบักสะบอมต่อหน้าธารกำนัลเพราะถูกนางพาลหาเรื่อง นางก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา ในดวงตาฉายแววอ่อนโยน รู้สึกอบอุ่นในใจ นางรู้ว่าเจ้าหมอนั่นยังคงใส่ใจนางเสมอ ไม่อย่างนั้นอาศัยพลังของเขาในตอนนี้ มีหรือที่จะถูกนางกดดันจนลนลานทำอะไรไม่ถูกได้อย่างนั้น เขาแค่ตัดใจทำร้ายนางไม่ลงก็เท่านั้นเอง
คำพูดเหล่านี้ทำให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันอย่างพูดไม่ออก ทั้งสองแอบทอดถอนใจ การที่นายท่านแต่งงานกับฮูหยินก็นับว่าน่าเวทนาพอแล้ว นึกถึงในปีแรกๆ ที่นายท่านเป็นบุคคลที่หัวแข็งดื้อรั้น เด็ดขาดแน่วแน่ เป็นวีรบุรุษที่ทำศึกอยู่บนสนามรบ แต่ดันมาตกอยู่ในมือของฮูหยินท่านนี้ได้ อาศัยแค่วิธีการของฮูหยิน มีทั้งความแข็งกร้าวและนุ่มนวล เรียกได้ว่าควบคุมจนนายท่านอยู่มัดแล้วจริงๆ
แต่ไม่นานทั้งสองก็ได้ยินเสียงอวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ พอหันกลับมาอีกที ก็เห็นอวิ๋นจือชิวมีสีหน้าเศร้าสลดให้เห็นรางๆ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไปแล้ว
หารู้ไม่ว่าการที่อวิ๋นจือชิวทำอย่างนี้ ก็เพราะมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง นางหวังว่าถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปแล้ว คนที่มีใจคิดไม่ดีจะได้ไตร่ตรองสักหน่อย นางกลัวว่าทางตำหนักสวรรค์จะทนรำคาญไม่ไหวแล้วลงมือสังหารเหมียวอี้ บางทีถ้าฉากที่สามีภรรยาไม่ลงรอยกันถูกลือออกไป ก็อาจจะทำให้เหตุการณ์นั้นเบาลงก็ได้
ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ก็นับว่าเป็นแผนซ้อนแผนได้เช่นกัน ถ้าฝั่งเหมียวอี้เป็นกังวลจริงๆ แล้วฝั่งนางให้ความร่วมมือเพื่อผ่อนให้เหตุการณ์เบาลง ก็คงไม่ถึงขั้นดูกะทันหันเกินไป ความคิดบางอย่างนางบอกเหมียวอี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้คงไม่ตอบตกลงแน่นอน…
ในที่สุดโค่วเจิงก็โน้มน้าวเหมียวอี้ได้แล้ว พอสองสามีภรรยาพบหน้ากัน ก็ยังดูไม่ลงรอยกันอยู่บ้าง สุยฉูฉู่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้ พูดเกลี้ยกล่อมจนน้ำลายแห้ง
อ้างชื่อนายท่านมากดดันทั้งสอง ถึงได้ทำให้ทั้งสองรับปากว่าจะไม่ทะเลาะกันอีก โค่วเจิงกับสุยฉูฉู่ถึงได้โล่งอกแล้วเดินออกไป
เพียงแต่บรรยากาศในโถงค่อนข้างแปลกไป ทั้งสองมองไปทางนั้น มองไปทางนี้ที
“ข้าโดนตีก้นจนเจ็บแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้ามานวดให้ข้าหน่อย!” สุดท้ายก็เป็นอวิ๋นจือชิวที่ลุกขึ้นไปก่อน ถือโอกาสพาสาวใช้ทั้งสองไปด้วยกัน ทิ้งเหมียวอี้เอาไว้ในโถงคนเดียว
เหมียวอี้ไม่ได้คิดว่าอวิ๋นจือชิวจะโมโหเขาจริงๆ เป็นอย่างที่อวิ๋นจือชิวบอกไว้ เขาเข้าใจอวิ๋นจือชิวดี แต่ไหนแต่ไรมา พอทั้งสองทะเลาะกันเสร็จ เรื่องก็จะจบลง ไม่มีใครอาฆาตแค้นใคร เพียงแต่ท่านขุนนางเหมียวรู้สึกว่าเสียหน้ามากเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกฮูหยินถือดาบไล่ฆ่าต่อหน้าธารกำนัล ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วจริงๆ
แต่พอนึกถึงเรื่องที่ตัวเองจะทำที่ตลาดผี เขาก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินไปหานาง
ตอนที่เข้ามาหาในห้องนอน อวิ๋นจือชิวก็กำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียง เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กำลังนวดก้นให้นางจริงๆ เหมียวอี้เห็นแล้วปวดประสาท ผู้หญิงคนนี้…ขนาดนั้นเลยเหรอ?
เมื่อเห็นเขาเข้ามาแล้ว อวิ๋นจือชิวก็กลับตาลง แสร้งทำเป็นไม่เห็น
เหมียวอี้โบกมือ บอกใบ้ให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ออกไป หลังจากทั้งสองออกไปแล้ว เขาก็มานั่งตรงขอบเตียงแล้วนวดก้นให้นางแทน พลางถามว่า “ข้าตีจนเจ้าเจ็บเลยเหรอ?”
“เจ้าคิดว่าไงล่ะ?” อวิ๋นจือชิวตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
เหมียวอี้ไม่ได้ตอบ แต่จู่ๆ บอกว่า “น้องชิว เจ้าอยากจะรู้เรื่องระหว่างข้ากับจ้านหรูอี้ใช่มั้ย ระหว่างข้ากับนางก็มีเรื่องกันิดหน่อยจริงๆ”
อวิ๋นจือชิวก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน นางลืมตาสองข้าง เพี้ยะ! ตบบนมือของเขาที่กำลังกดก้นของนางอยู่ แล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง ถลึงตาโตจ้องเขา “ข้าว่านะหนิวเอ้อร์ เจ้านอนกับนางจริงๆ ใช่มั้ย? ความสวยของจ้านหรูอี้ก็ไม่ถึงขั้นทำให้เจ้าควบคุมอารมณ์ไม่ไหวหรอกมั้ง เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ?”
“เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว?” เหมียวอี้ส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ไปได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด เรื่องมันยาวมาก ในปีนั้นตอนที่รับตำแหน่งอยู่ที่ธงพยัคฆ์ดำ ข้าเคยจับจ้านหรูอี้มัดไว้บนเสาธง เจ้าเองก็รู้เรื่องนั้น แล้วตอนหลังอิ๋งลั่วหวนมารดาของจ้านหรูอี้ก็มาหาข้าที่ธงพยัคฆ์ดำ ตอนแรกข้าก็ยังไม่รู้ว่านางมีเจตนาอะไร แต่ตอนหลังท่านโหวจ้านผิงมาบอกข้าด้วยตัวเองที่อุทยานหลวง ข้าถึงได้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ที่จริงจ้านหรูอี้ไม่ได้อยากเข้าวังไปเป็นสนมเลย นางเคยอยากจะหนีออกจากอุทยานหลวง แต่ตอนนั้นมีแค่ข้าเท่านั้นที่พานางหนีออกไปได้…”
เล่าตอนที่เขาได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้กักบริเวณจ้านหรูอี้ เล่าว่าตอนนั้นจ้านหรูอี้ขอร้องเขาอย่างไรบ้าง ถึงขั้นถอดเสื้อผ้าต่อหน้าเขา ยอมทิ้งศักดิ์อันสูงส่งมาขอร้องวิงวอนเขา เล่าว่าเขาปฏิเสธไปอย่างไรบ้าง หลังจากจบเรื่องนั้นแล้ว จ้านผิงก็มาบอกว่าที่จริงแล้วจ้านหรูอี้ชอบเขา และบอกถึงจุดประสงค์ที่อิ๋งลั่วหวนมาหาเขาในตอนนั้นด้วย เล่าว่าจ้านผิงกอดความหวังครั้งสุดท้ายว่าเขาจะพาจ้านหรูอี้หนีไป แต่เขาก็แข็งใจปฏิเสธไป เขาเล่าทุกอย่างออกมาอย่างละเอียด
ที่จริงเขาก็ไม่อยากบอกเรื่องพวกนี้กับอวิ๋นจือชิว นี่คือเรื่องในอดีตที่เขาไม่อยากจะหวนนึกถึงที่สุดแล้ว นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่เขาปิดบังอวิ๋นจือชิว
แต่หลังจากสองสามีภรรยาเริ่มทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองต้องบอกอวิ๋นจือชิว ประการแรกเป็นเพราะกลัวอวิ๋นจือชิวจะเข้าใจผิด ประการต่อมาก็คือ หลังจากจบเรื่องที่ตลาดผีแล้ว เขาก็พูดได้ไม่ชัดเจนว่าตัวเองจะมีจุดจบเป็นอย่างไรกันแน่ เขาหวังจะให้อวิ๋นจือชิวเข้าใจเรื่องบางเรื่องเอาไว้ ไม่ถึงขั้นรับมือผิดพลาดยามอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด นับว่าเป็นการเตรียมตัวสำหรับเรื่องในภายหลังเช่นกัน
หลังจากได้ฟังเรื่องราวแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ตกตะลึงมาก ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนนั้นเหมียวอี้ถึงก่อเรื่องไม่ดูตาม้าตาเรือต่อหน้าธารกำนัลจนถูกทำโทษให้เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ นึกไม่ถึงว่าในนั้นจะยังมีเรื่องที่เหนือจินตนาการอย่างนี้อยู่ด้วย
นางรู้จักเหมียวอี้ดีเกินไป รู้ว่าในกมลสันดาลของเหมียวอี้เป็นผู้ชายที่ยอมได้บางเรื่อง และยอมไม่ได้ในบางเรื่อง ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตรที่สุด ยามเผชิญกับเรื่องบางเรื่อง ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของผู้ชายคนนี้ ในตอนนั้นต้องอาศัยการตัดสินใจที่แน่วแน่ขนาดไหนกัน ถึงได้ทำเรื่องที่ใจแข็งใจอย่างนั้นได้ แต่ในใจเขาแบกรับความรู้สึกผิดไว้มากขนาดนั้น จะให้เขาทำอย่างไรได้?
ด้วยนิสัยเลือดร้อนก่อเรื่องง่ายของผู้ชายคนนี้ แต่กลับได้แต่มองดู ได้แต่ส่งจ้านหรูอี้เข้าวังด้วยมือตัวเอง สำหรับเขานับว่าเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไป ต่อให้เขาพูดออกมาตอนนี้ แต่อวิ๋นจือชิวก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเขาในตอนนั้น
ไม่เกี่ยวว่าจะชอบหรือไม่ชอบจ้านหรูอี้ อวิ๋นจือชิวรู้ว่าเรื่องนี้คงจะกลายเป็นบาดแผลไปทั้งชีวิตของเหมียวอี้แล้ว เกรงว่าคงจะไม่อยากคิดถึงและไม่อยากเจอจ้านหรูอี้อีก!
หลังจากพูดจบ เหมียวอี้ก็หลับตาลงอย่างแผ่วเบา บนใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนจาง เพียงแต่ความรู้สึกที่ไม่อยากหวนนึกถึงซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น ก็ทำให้อวิ๋นจือชิวที่รู้จักเขาดีรู้สึกเจ็บปวดใจ
อวิ๋นจือชิวรู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปหน่อยที่อารมณ์ร้ายใส่เขา ไม่ควรกดดันจนเขาพูดเรื่องนี้ออกมา เหมือนเป็นการเอาดาบไปแทงหัวใจของผู้ชายคนนี้แท้ๆ เลย
นางเข้าไปใกล้ นั่งคุกเข่าลงข้างกายเหมียวอี้ แล้วกางแขนโอบศีรษะของเหมียวอี้มาไว้ในอ้อมกอด ก้มก้มหน้าแนบติดกับแก้มของเขา คลอเคลียแนบชิด พร้อมพูดเบาๆ ว่า “บางทีเจ้าอาจจะช่วยนางไว้แล้วก็ได้ บางทีการทำแบบนั้นต่างหากถึงจะทำให้นางเจอที่พักพิงที่ดีที่สุด ใครจะพูดได้ชัดเจนล่ะ?”
“หวังว่านางจะเจอที่พักพิงที่ดีที่สุดก็แล้วกัน!” เหมียวอี้ยิ้มเบาๆ
“เอาล่ะ เรื่องนี้นับว่าผ่านไปแล้ว ครั้งนี้ข้าให้อภัยเจ้า แต่ถ้าครั้งหน้าเจ้ากล้าลงมือกับข้าอีก ข้าก็จะสู้ตายกับเจ้า…”
ไม่ได้อยู่ที่จวนอ๋องสวรรค์โค่วนานเกินไป ไม่กี่วันหลังจากนั้น ถังเฮ่อเหนียนก็บอกว่า เตรียมกำลังพลที่จะย้ายไปตลาดผีเรียบร้อยแล้ว ให้ไปที่ตลาดผีแล้ว เหมียวอี้ถึงได้ขอตัวลา กลับตลาดผีโดยมียอดฝีมือของตระกูลโค่วคอยคุ้มกันส่ง
หลังจากถึงตลาดผีแล้ว เรื่องแรกที่ทำก็ย่อมเป็นการเปลี่ยนกำลังพล
ทางนี้เพิ่งจะแบ่งงานกันเสร็จ คนเก่าคนแก่ของจวนแม่ทัพภาคเพิ่งจะถูกย้ายออกไป ทางฝั่งตึกศาลาสัตยพรตก็ส่งคนมาแล้ว เชิญให้เหมียวอี้ไปหาสักรอบ
เหมียวอี้บอดปัดและให้กลับไปก่อน บอกว่าในมือยังมีงานที่ต้องจัดการ เอาไว้วันหลังจะไปเยี่ยมคารวะ ที่จริงเขากลับวางงานในมือลงหมดแล้ว พร้อมทั้งกำชับลงไปว่าจะไม่พบใครทั้งนั้น เดินไปเดินมาอยู่ในห้องนานมาก แล้วสุดท้ายก็ติดต่อหยางชิ่งที่อยู่แดนอเวจี ขอคำชี้แนะ!
ครั้งนี้เป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจจะทำ มีอันตรายหลายชั้น จะไม่ระวังตัวก็ไม่ได้ คิดไปคิดมาก็ขอฟังคำชี้แนะของหยางชิ่งดีกว่า
หลังจากได้รู้ว่าเขาจะทำอะไร หยางชิ่งก็ตกใจมาก เป็นการเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นจริงๆ จึงถามอย่างร้อนใจว่า : ตระกูลโค่วตอบตกลงให้นายท่านทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง? อย่าบอกนะว่าตระกูลโค่วไม่รู้ว่าอาศัยกำลังของตัวเองนั้นไม่สามารถทำตามใจที่ตลาดผีได้ ไม่มีทางช่วยเหลือนายท่านได้มากขนาดนั้น? ทำสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลงานที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
เหมียวอี้ : ข้าขอร้องต่อหน้าอ๋องสวรรค์โค่วเอง เหตุผลก็เรียบง่ายมาก นั่นก็คือต่อให้ข้าไม่ทำ แต่คนพวกนั้นก็ไม่ปล่อยข้าไปอยู่ดี ถ้าจะให้นั่งรอความตายเฉยๆ ไม่สู้เป็นฝ่ายรุกก่อนดีกว่า!
หยางชิ่ง : นายท่านบอกรายละเอียดให้ทราบได้หรือไม่?
เหมียวอี้ก็ไม่ได้ปิดบัง เล่ารายละเอียดตอนที่ตัวเองโน้มน้าวอ๋องสวรรค์โค่วให้ฟัง
หลังจากฟังจบ หยางชิ่งก็ถามซักไซ้ : ตระกูลโค่วยอมให้นายท่านเด็ดหัวอิ๋งหยาง ทั้งยังคิดหาทางช่วยนายท่านเปลี่ยนกำลังพลที่ตลาดผีด้วยเหรอ?
เหมียวอี้ : ใช่แล้ว! แรงสนับสนุนไม่ได้ถือว่าน้อยเลย
หยางชิ่งกล่าวอย่างตกใจทันที : นายท่านพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก! สถานการณ์ของนายท่านตอนนี้กลายเป็นเหมือนซี่โครงไก่ไร้ประโยชน์ของตระกูลโค่วไปแล้ว จะกินก็ไร้รสชาติ จะทิ้งก็กลัวทำให้คนผิดหวัง! ถ้านายท่านไม่ทำอย่างนี้ ตระกูลโค่วอาจจะยังคิดหาทางช่วยกป้องนายท่านเต็มที่ อาศัยอิทธิพลของตระกูลโค่ว ยังมีทางเหลือให้ดำเนินการแก้ปัญหาได้ ถ้าถูกกดดันก็ยังเอาผลประโยชน์มาแลกเปลี่ยนกันได้ แต่ตอนนี้พอนายท่านทำอย่างนี้ ตระกูลโค่วกลับเข็นเรือไปตามน้ำ แสดงให้ภายนอกเห็นว่าสนับสนุนนายท่านเต็มกำลัง ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็แสดงว่านายท่านรนหาที่ตายเอง ถึงตอนนั้นนอกจากตระกูลโค่วจะหมดตัวถ่วงแล้ว ก็ยังอธิบายกับคนนอกได้ด้วย แต่นายท่านลับเอาตัวเองไปไว้ในแดนตายเอง นายท่าน ท่านเลอะเลือนแล้วนะ!
จากคำเตือนนี้ สีหน้าของเหมียวอี้ก็ขรึมลงแล้วเช่นกัน พบว่าตระกูลโค่วพึ่งพาไม่ได้จริงๆ ด้วย แต่เขาก็ยังเล่นบทโหด บอกไปว่า : พึ่งพาคนอื่นไม่สู้พึ่งพาตัวเอง!
หยางชิ่งก็ยังทำนิสัยเดิม ยังคงเกลี้ยกล่อมให้เหมียวอี้ไตร่ตรองดีๆ เรื่องงัดข้อกันของเบื้องบน ก็ให้เบื้องบนไปเปลืองพลังความคิดกันเอง ไม่จำเป็นต้องเอาหัวตัวเองเข้าไปชนกำแพง
แต่เหมียวอี้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ตัดสินใจกับทิศทางโดยรวมแล้ว จะต้องทำให้ได้ หยางชิ่งก็เลยจนใจ รู้ว่าเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จแล้ว ทำได้เพียงขอเวลาคิดไตร่ตรอง
เฟยหงเข้ามาในห้องหลายครั้ง พบว่าเหมียวอี้หันหน้าเข้าหาผนังตลอด จ้องผนังนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหน
ภาพบนผนังถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว เหมียวอี้เป็นคนให้สวีถังหรานนำมาเปลี่ยนให้ใหม่ เป็นภาพ ‘ภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะ’ ภาพก็เป็นเหมือนชื่อ วาดน่ากลัวมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าสวีถังหรานเอามาจากไหน ถึงแม้เฟยหงจะไม่รู้ว่าทำไมเหมียวอี้ต้องแขวนภาพแบบนี้เอาไว้ในห้อง แต่ก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่เหมียวอี้ต้องการแน่นอน พอพูดถึงสิ่งนี้ แม้แต่เฟยหงก็ต้องยอมแพ้สวีถังหราน ขอเพียงเหมียวอี้เอ่ยปาก สวีถังหรานก็มักจะหาหนทางนำของแปลกประหลาดมาเติมเต็มความพึงพอใจให้เหมียวอี้ได้ ช่างเป็นสิ่งที่จินตนาการได้ยากจริงๆ ทำให้คนต้องยอมแพ้
หลายครั้งที่เข้าออกเพื่อจะเติมน้ำชาให้ ก็ไม่เห็นเหมียวอี้ขยับไปไหนเลย เฟยหงทำได้เพียงเบามือเบาเท้า เพราะรู้ว่าเหมียวอี้กำลังใช้ความคิดกับเรื่องบางอย่าง ไม่กล้ารบกวน
หลังจากนั้นเกือบครึ่งวัน ในที่สุดเหมียวอี้ก็รอจนได้คำตอบจากหยางชิ่งแล้ว เหมียวอี้ถามว่า : เจ้าคิดว่ายังไง?
เมื่อเผชิญกับเรื่องของตลาดผี ที่จริงเขาก็ไม่ค่อยมีความคิดเห็นอะไรเช่นกัน ไม่รู้ว่าจะลงมือจากตรงไหนดี ไม่อย่างนั้นก็คงลงมือไปก่อนแล้ว
หยางชิ่งจนปัญหา ตอบไปว่า : หากนายท่านดึงดันจะทำอย่างนี้ให้ได้ ก็ต้องทำบางอย่างให้ได้ก่อน
เหมียวอี้ : ท่านมีแผนการที่ดี ข้ายินดีล้างหูรอฟังท่านชี้แนะ!
แผนการที่ดีแป๊ะเจ้าสิ เจ้าเชื่อฟังข้าก็แปลกแล้ว! หยางชิ่งด่าในใจ แต่ก็ยังต้องพยายามเต็มที่ หวังว่าเหมียวอี้จะฟังเข้าสมองบ้าง : ก็ย่อมต้องหาที่ปักหลักตั้งตัวอยู่แล้ว ต้องรับประกันความปลอดภัยของตัวเองก่อนเป็นอันกับแรก แล้วตอนหลังค่อยวางแผนอย่างอื่น ท่านถึงจะอยู่ในจุดที่ไม่แพ้!
เหมียวอี้ : จะชี้แนะข้ายังไง?
หยางชิ่ง : นายท่านถูกลอบจู่โจมที่แดนสุขาวดี ไปขอคำอธิบายจากสำนักพุทธก็ไม่ถือว่าทำเกินไป วัดพระกษิติครรภ์อยู่ที่ตลาดผี นายท่านจะไม่เอามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไง…
…………………………