“เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ เหรอ?” เหมียวอี้ที่ยื่นมือไปสัมผัสก้านดอกไม้หันกลับมาช้าๆ ถามกลับว่า “ให้ข้านำหุ้นสองส่วนนั้นให้พวกเขาเหรอ? ถ้าไม่มีข้าสร้างร้านค้าร้านนั้นให้สำนักลมปราณ ร้านขายของชำซื่อตรงก็ไม่มีทางอยู่มาจนถึงวันนี้หรอก! ที่ร้านขายของชำซื่อตรงมีวันนี้ได้ ก็เพราะข้าผลักดันเองกับมือ ข้าได้หุ้นไปสองส่วนก็ไม่นับว่าเยอะหรอก หุ้นสองส่วนนั้นคือของของข้า เป็นแหล่งทรัพยากรฝึกตนที่ใหญ่ที่สุดของข้าด้วย ทำไมข้าต้องให้คนอื่นล่ะ?”
จงหลีค่วยถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็เพราะร้านขายของชำซื่อตรงมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไงล่ะ อาศัยแค่กำลังของเจ้าก็รักษาไว้ไม่อยู่หรอก! ดูจากแนวโน้มแบบนี้ เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า ดีไม่ดีมันอาจจะกลายเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของแดนฝึกตนก็ได้! เจ้าคนเดียวสู้ไม่ชนะฝ่ายนั้นหรอก อำนาจภูมิหลังไม่คู่ควรให้ถือรองเท้าให้เขาด้วยซ้ำ กอดเนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้เอาไว้ จะไม่ดึงดูดพวกหมาป่าที่หิวโหยได้อย่างไร? อาจารย์ของข้าหมายความว่า ถ้าเจ้าจะมอบของสิ่งนั้นให้อีกฝ่ายไป ปราสาทดำเนินนภาของเราจะเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้ รับรองว่าตั้งแต่นี้ไปสมาคมวีรชนจะเลิกรังควานเจ้า บางทีอาจจะทำให้เจ้ารักษาหุ้นที่ร้านขายของชำไว้ได้บ้างสักนิด เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เหมียวอี้เม้มริมฝีปากแน่น ยากจะบรรยายความคับแค้นในใจออกมาได้ เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ตัวเขาในตอนนี้เหมือนเด็กสามขวบที่กอดสมบัติล้ำค่าเดินโอ้อวดตามถนน ถ้าไม่มอบให้อีกฝ่ายไป เกรงว่าพิภพใหญ่คงจะไม่มีที่ให้เขายืน
จงหลีค่วยถอนหายใจแล้วบอกว่า “อาจารย์ข้าบอกแล้ว อย่าว่าแต่เจ้าเลย ตราบใดที่ร้านขายของชำซื่อตรงยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วที่สำนักลมปราณจะต้องเผชิญกับแรงกดดันเดียวกัน สมาคมวีรชนเองก็รักษาหุ้นมากมายขนาดนั้นไม่ไหวเหมือนกัน อำนาจจากฝ่ายต่างๆ จะแทรกเข้ามา ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตอนนี้สมาคมวีรชนไม่ได้แย่งชิงสิ่งนี้เพื่อตัวเองเลย เจ้าคงจะรู้ว่าหมายความว่าอย่างไร เจ้าต้านทานไหวเหรอ?”
พอพูดถึงสำนักลมปราณ สำนักลมปราณก็ส่งข่าวมาทันที เหมียวอี้ที่กำลังทำสีหน้าไม่ยอมนำระฆังดาราออกจากกำไลเก็บสมบัติ อวี้ซวีเจินเหรินส่งข่าวมาแล้ว
ที่จริงสำนักลมปราณก็รู้สึกถึงแรงกดดันแล้วเช่นกัน ตอนแรกมีคนมาถามเรื่องหุ้นสองส่วนที่อยู่ในมือเหมียวอี้ บอกว่าได้ยินมาว่าหุ้นสองส่วนที่อยู่ในมือเหมียวอี้เป็นคำสัญญาปากเปล่า ไม่ได้ลงนามสัญญา ดังนั้นจึงมีคนอยากจะซื้อหุ้นสองส่วนนั้นจากมือของสำนักลมปราณ ชัดเจนว่ามองเห็นอนาคตที่ก้าวหน้าของร้านขายของชำแล้ว คิดจะฉวยโอกาสเริ่มลงมือตอนที่หุ้นยังราคาต่ำ
ส่วนเจ้าสำนักอวี้หลิงเจินเหรินก็บอกไปว่า ตอนที่ขยายสาขาร้านขายของชำซื่อตรงครั้งก่อน ได้ลงนามสัญญาอย่างเป็นทางการกับเหมียวอี้ไปแล้ว
ความจริงคือยังไม่ได้ลงนามสัญญา แต่ตอนนี้อวี้หลิงเจินเหรินลงนามสัญญาเรียบร้อยแล้ว อวี้ซวีเจินเหรินจะถามว่าเหมียวอี้อยู่ที่ไหน อยากจะนำสัญญาส่งมาให้ถึงมือ
เห็นได้ชัดว่าสำนักลมปราณรับแรงกดดันนั้นไม่ไหวเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ อวี้หลิงเจินเหรินยังสามารถรักษาสัญญาและนำหุ้นสองส่วนนั้นร่างเป็นสัญญามอบให้เหมียวอี้ได้ ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ
แต่สิ่งที่สำนักลมปราณสามารถช่วยเหมียวอี้ได้ก็มีแค่เท่านี้ เป็นเพราะกำลังอำนาจของตัวเองมีจำกัด เพราะสำนักลมปราณก็รักษาส่วนของตัวเองไว้ไม่อยู่เช่นกัน แรงกดดันปะทะเข้ามาราวกับพายุคลั่ง ไม่น่าเชื่อว่าสำนักลมปราณเล็กๆ จะยั่วให้ผู้มีอำนาจทั้งหลายของตำหนักสวรรค์ทยอยมาไม่ขาดสาย ไม่มีใครที่สำนักลมปราณจะไปมีเรื่องด้วยไหว ขนาดชีอู๋เจินเหริน ปรมาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักลมปราณยังได้รับแรงกดดันเลย ผู้บังคับบัญชาของชีอู๋เจินเหรินมาเจรจาที่สำนักลมปราณด้วยตัวเอง จะให้สำนักลมปราณทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร!
แต่อย่างน้อยสำนักลมปราณก็ยังมีคนของตำหนักสวรรค์หนุนหลัง ผู้มีอำนาจพวกนั้นไม่สะดวกจะแสดงความโลภมากเกินไป อย่างน้อยก็ยังต้องรักษากฎกติกา นำหุ้นไปจากมือของสำนักลมปราณโดยวิธีการรับซื้อ เพียงแต่ราคาไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร ต้องขายถูกๆ เท่านั้น ขายแพงไม่ได้
สุดท้ายหุ้นสี่ส่วนของสำนักลมปราณก็ถูกแบ่งครึ่ง เหลือเพียงหนึ่งในแปดส่วน นี่ยังเห็นแก่ที่สำนักลมปราณบริหารร้านขายของชำมาหลายปี ช่องทางจัดหาสินค้าต่างๆ ล้วนอยู่ในมือของสำนักลมปราณ ถ้าถอดคนบริหารร้านค้าของสำนักลมปราณออกไปหมด ก็เป็นเรื่องยากที่จะให้คนอื่นจะมารับช่วงต่องานซื้อขายสินค้าเบ็ดเตล็ดแบบนี้ มีแค่สำนักลมปราณที่มีประสบการณ์บริหารการค้ารูปแบบใหม่ มิหนำซ้ำ ถ้าจะเปลี่ยนคนก็คงต้องเปลี่ยนชื่อร้านด้วย ถ้าจะเรียกว่าร้านขายของชำซื่อตรงต่อไป ก็คงจะฟังดูไม่เข้าท่า และผู้มีอำนาจพวกนั้นก็ไม่มาบริหารธุรกิจแบบนี้โดยตรง ไม่ว่าธุรกิจอะไรก็ตาม แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาก็แค่ซื้อมาแล้วส่งให้คนอื่นจัดการดูแลต่อ เวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้น ตัวเองก็แค่ออกหน้าไปสนับสนุน ที่เหลือแค่รอรับเงินก็พอ
คำพูดบางคำ อวี้ซวีเจินเหรินก็ไม่สะดวกใจที่จะเอ่ยออกมา ถึงแม้สำนักลมปราณจะเสียหายไปไม่น้อย แต่ก็ยังมีรายรับอยู่ ประเดี๋ยวเดียวก็ได้ตีสนิทกับผู้มีอำนาจพวกนั้นแล้ว ดูแลธุรกิจให้ผู้มีอำนาจมากมายขนาดนั้น ทำให้ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครกล้าแตะต้องศิษย์ของสำนักลมปราณ อันดับของสำนักลมปราณขึ้นพรวดพราดในรวดเดียว ส่วนชีอู๋เจินเหริน ปรมาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักลมปราณที่เคยมีชีวิตการงานไม่ได้ดั่งใจ ปัจจุบันก็ได้เลื่อนขั้นแล้วเช่นกัน ได้อาศัยบารมีพวกลูกศิษย์แล้ว
เมื่อรู้ข่าวว่าสำนักลมปราณโดนกดดันให้ขายหุ้นในมือไปแล้ว เหมียวอี้ถือระฆังดาราอยู่ในมือ แต่ใบหน้ากลับฉายแววดุร้าย กลิ่นอายสังหารลอยขึ้นรอบตัว ตะโกนในใจว่า ไอ้พวกโจรสุนัขรังแกกันเกินไปแล้ว!
จุดจบของสำนักลมปราณนับว่ายังดี อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยินดีจ่ายเงินซื้อจากสำนักลมปราณ ทั้งยังเหลือหุ้นบางส่วนไว้ให้สำนักลมปราณด้วย แต่สำหรับหุ้นของเหมียวอี้ อีกฝ่ายกลับไม่คิดจะจ่ายเงินซื้อสักแดงเดียว อยากจะแย่งไปตรงๆ เลย!
แค่คิดดูนิดเดียวเขาก็เข้าใจแล้ว ตอนที่ร้านขายของชำยังไม่ขยายสาขา ก็ยังเป็นเนื้อชิ้นเล็กเกินไป ยังไม่มีสายตาอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกผู้มีอำนาจสอดส่องเข้ามา แต่พอขยายสาขาก็ดึงดูดความสนใจทันที เกรงว่าจะเป็นเพราะสมาคมวีรชนเกิดอดใจรอไม่ไหว จึงลงมือกับเหมียวอี้ด้วยตัวเอง ถ้ายังไม่ลงมือเดี๋ยวจะไม่ทัน
ตอนนี้นับว่าเหมียวอี้เข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีคนหนุนหลังใหญ่โตถึงได้มีสิทธิ์ทำซี้ซั้ว ตอนนี้ถึงได้พบว่าที่จริงแล้วพิภพใหญ่ไม่ได้ต่างอะไรกับพิภพเล็ก เหมือนเปลี่ยนแค่น้ำแกง ไม่ได้เปลี่ยนยา ถ้าไม่มีอำนาจก็ไม่สามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงได้ ตัวเองในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับนักพรตอิสระที่พิภพเล็ก
เมื่อเห็นกลิ่นอายสังหารบนตัวเหมียวอี้ จงหลีค่วยก็มองระฆังดาราในมือเขาแวบหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ไม่มีอะไร!” เหมียวอี้ส่ายหน้า ถามว่า “ข้ามีเรื่องจะขอคำชี้แนะสักเรื่อง ในตำหนักสวรรค์ บุคคลที่สามารถหนุนหลังได้ดีมีแซ่เซี่ยโห้วกับแซ่โค่วรึเปล่า?”
จงหลีค่วยตอบอย่างไม่แน่ใจ “มันก็มีอยู่หรอกนะ ได้ยินว่าราชินีสวรรค์มีแซ่สองพยางค์คือเซี่ยโห้ว แล้วก็มีอ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ สองท่านนี้ภูมิหลังคงจะใหญ่พอสมควรกระมัง? ส่วนคนอื่นๆ ข้าเองก็ไม่ได้สนิทกับคนของตำหนักสวรรค์ พวกตัวเล็กตัวน้อยที่เหลือข้ารู้จักเสียที่ไหนล่ะ คนตำแหน่งใหญ่ๆ เท่าที่เคยได้ยินมาก็มีแค่สองท่านนี้แหละ เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?”
เหมียวอี้อึ้งทันที ราชินีสวรรค์มีแซ่สองพยางค์คือเซี่ยโห้ว ไอ้เซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นคงไม่ใช่คนของตระกูลราชินีสวรรค์หรอกใช่มั้ย?
พอคิดดูก็รู้สึกว่าเป็นไปได้จริงๆ คนที่มีภูมิหลังแต่ไม่ยอมพูดออกมา ถ้าไม่เป็นคนสำรวมถ่อมตัว ก็แสดงว่าภูมิหลังใหญ่เกินไปจนกลัวว่าพูดออกมาแล้วจะส่งผลกระทบไม่ดี หรือไม่ภูมิหลังก็เล็กเกินไป ถ้าพูดออกกลัวคนจะหัวเราะเยาะ ภูมิหลังของเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่เล็กแน่นอน เจ้าบ้านั่นไม่ใช่คนถ่อมตัว อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการหมีควายนั่นคือคนของตระกูลราชินีสวรรค์จริงๆ?
ถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีที่มาแบบนี้จริงๆ เช่นนั้นโค่วเหวินหลานก็คงจะมาจากอ๋องสวรรค์โค่วอะไรนั่นจริงๆ ไม่อย่างนั้นคนทั่วไปที่ไหนจะกล้าแย่งผู้หญิงกับคนของตระกูลราชินีสวรรค์ ถ้าเป็นคนระดับสี่อ๋องสวรรค์ก็พอเป็นไปได้ ถึงอย่างไรต่อให้ฐานะของราชินีสวรรค์จะสูงกว่านี้ แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นญาติฝ่ายหญิง แต่สี่อ๋องสวรรค์กลับเป็นบุคคลสำคัญที่กุมอำนาจที่แท้จริงไว้ในมือ
“ไม่มีอะไร!” เหมียวอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว กัดฟันบอกว่า “หุ้นสองส่วนนั้นข้าไม่เอาแล้ว แต่สมาคมวีรชนจะเอาชีวิตข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ยังจะให้ข้ามอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้พวกเขาอีกเหรอ? ข้าก็ไม่ได้ต่ำต้อยถึงขั้นนั้น! ท่านไม่ต้องห่วง ข้าไม่อยู่รบกวนที่ปราสาทดำเนินนภานานหรอก และจะไม่ทำให้ปราสาทดำเนินนภาลำบากด้วย เพียงหวังว่าอีกไม่กี่วันจะรบกวนปราสาทดำเนินนภาอีกสักครั้ง ไปส่งข้ากลับดาวเทียนหยวนสักครั้งได้รึเปล่า ความแค้นที่เหลือระหว่างข้ากับสมาคมวีรชน เดี๋ยวข้าจะจัดการด้วยตัวเอง!”
เขาเองก็โดนกดดันจนถึงขั้นหมดทางเลือกแล้ว ถ้าไม่มอบหุ้นส่วนนั้นไปก็ไม่ได้ อาศัยกำลังความสามารถของเขาในตอนนี้ ก็ไม่มีทางปกป้องไว้ได้เลย!
“เฮ้อ!” จงหลีค่วยรู้ว่าครั้งนี้เหมียวอี้ขาดทุนหนัก แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ปราสาทดำเนินนภาจะต้องเข้าไปร่วมลุยน้ำโคลนนี้ด้วย จึงได้แต่ตบบ่าเขาและบอกว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง เรื่องส่งเจ้ากลับดาวเทียนหยวน เดี๋ยวข้าจัดการเอง ข้าจะโน้มน้าวทางรองเจ้าสำนักให้” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป ต้องไปบอกให้สำนักรู้ถึงท่าทีของเหมียวอี้
เหมียวอี้ที่ยืนเงียบอยู่ที่เดิมเริ่มกำหมัด ตอนที่ร้านขายของชำซื่อตรงยังไม่ขยายสาขา ในแต่ละปีเขาได้กำไรพิเศษห้าหมื่นล้านผลึกแดง เท่ากับยาแก่นเซียนห้าหมื่นเม็ดในแต่ละปี แค่คิดก็รู้แล้วว่าสภาพรายได้จะเป็นอย่างไร ยอมถวายเนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้ให้คนอื่น ถ้าบอกว่าไม่ปวดใจก็คงโกหก แต่ก็อย่างที่บอก ตอนนี้เขารักษาไว้ไม่ได้จริง ถ้าไม่คายออกมา พิภพใหญ่ก็ไม่มีที่ให้เขายืน!
เขาไม่ใช่คนลังเล ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะสละรถเพื่อรักษาคนขับ ก็ไม่มีอะไรให้นึกเสียใจทีหลัง ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีโอกาสนำของที่เสียไปกลับคืนมาได้เสมอ!
เหมียวอี้ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง แล้วเก็บสีหน้าอารมณ์ จากนั้นมองไปรอบๆ แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปในโถงหลัก พอเดินมาตรงหน้าฉากกั้นห้องโถงด้านข้าง เขาก็หยิบก้อนโลหะกลมที่ได้มาจากก้นทะเลสาบที่ดาวแมกไม้ออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ให้มันกางออกในฝ่ามือ
เมื่อเปรียบเทียบภาพทั้งสอง เหมียวอี้ก็ตกใจไม่เบา ตอนแรกยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป ตอนนี้ถึงได้พบว่าลักษณะพื้นภูมิของปราสาทดำเนินนภาที่วาดไว้บนฉากกั้นใกล้เคียงกับที่วาดไว้บนแผนที่ซ่อนสมบัติมาก เพียงแต่ลักษณะพื้นภูมิบนแผนที่ซ่อนสมบัติได้ย่อขอบเขตไว้กว้างกว่าเท่านั้นเอง
เมื่อเทียบแหน่งดูให้ละเอียด ลักษณะการวางตัวของภูเขาแม่น้ำก็เหมือนกันแทบทุกอย่าง แค่บนฉากกั้นทำสัญลักษณ์ของสิ่งปลูกสร้างไว้เยอะกว่าเท่านั้นเอง อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรต่างกัน
มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ถึงรู้สึกคุ้นตา เหมียวอี้จึงขอแผนที่ซ่อนสมบัติฉบับสำเนาจากหมิงจ้าวได้ทันเวลา ตอนนี้นำออกมาเปรียบเทียบยืนยันแล้ว
เหมียวอี้เปรียบเทียบตามวิธีการที่หมิงจ้าวสอน ดูว่าภาพกลุ่มดาวบนแผนที่สมบัติที่ได้มาจากก้นทะเลสาบอยู่ในสถานที่ไร้ระเบียบเหมือนกันหรือไม่
ในสัญลักษณ์ดาราจักรที่หนาแน่นยั้วเยี้ย เขาเจอดาวหลักสามดวงบนแผนที่ฉบับสำเนา แต่บนแผนที่โลหะมีดาวหลักเพียงสองดวง ความแตกต่างนี้ไม่สามารถตัดสินอะไรได้ เนื่องจากเป็นภูมิภาคเดียวกันแต่เป็นคนละพื้นที่ สถานที่ไร้ระเบียบมีดวงอาทิตย์หลายดวง หรือเรียกอีกอย่างว่าดาวหลักนั่นเอง
หลังจากเปรียบเทียบแผนที่สองฉบับแล้ว ก็พบว่ามีดาวหลักดวงหนึ่งที่มีดาวรองและดาวเสริมในขอบเขตจำนวนเท่ากัน เหมียวอี้รีบหาตำแหน่งดาวหลักที่ตรงกับบนแผนที่สองฉบับนั้น ปรากฏว่าเป็นตำแหน่งของดาวแมกไม้บนแผนที่ฉบับสำเนา แยกออกเป็นทิศทางไปดาวดำเนินนภา เขาใช้นิ้วลากเส้นจากแผนที่ม้วนหนังไปบนแผนที่โลหะ พอลากลงมาเรื่อยๆ ผลก็คือตัดผ่านดาวเคราะห์ซ่อนสมบัติบนแผนที่โลหะพอดี
วินาทีที่ลากเส้นตัดผ่านอย่างแม่นยำ เหมียวอี้ก็มองดูภาพประกอบ แล้วเงยหน้ามองแผนที่บนฉากกั้นอีก เขาตกตะลึงเล็กน้อย ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ จริงหรือล้อเล่น? สถานที่ซ่อนสมบัติอยู่ที่ดาวดำเนินนภาเหรอ ทั้งยังอยู่บริเวณปราสาทดำเนินนภาด้วย!
…………………………