“ไปหอนางโลมเหรอ? เล่นลูกไม้อะไรอยู่?” เหมียวอี้ลงจากเตียงและลุกขึ้นยืน ไม่เข้าใจว่าหยางชิ่งกำลังเล่นอะไรกันแน่ ขมวดคิ้วมุ่นเดินไปเดินมา
หยางเจาชิงตอบ “เขายังกำชับรายละเอียดบางอย่างเอาไว้ด้วย เดี๋ยวข้าน้อยจะต้องไปรับของบางอย่างสักหน่อย บอกว่าเป็นยาที่จะให้สวีถังหรานกินก่อนไปหอนางโลม ดูว่าจะมีใครสามารถใช้วิชาระบำมอมเมาใจคนมายั่วยวนสวีถังหรานได้หรือไม่”
วิชาระบำขี้เมาใจคนเหรอ? เหมียวอี้ตกตะลึง อย่าบอกนะว่าเป็นระบำมารสวรรค์? หยางชิ่งรู้เรื่องระบำมารสวรรค์ได้อย่างไร? ตนไม่เคยบอกเขานี่นา!
ไม่นานก็เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ตัวเองเคยถามจินม่านเกี่ยวกับระบำมารสวรรค์
แต่หยางชิ่งสนใจระบำมารสวรรค์เพราะมีเจตนาอะไร? เกี่ยวอะไรกับการให้สวีถังหรานไปหอนางโลม? ไปหอนางโลมแล้วจะเจอระบำมารสวรรค์เหรอ? นี่หยางชิ่งกำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่? เหมียวอี้ไม่ค่อยเข้าใจ เป็นเพราะความคิดของหยางชิ่งล้ำลึกจนเขาตามทันได้ยาก เขาจึงหยิบระฆังดาราเตรียมจะติดต่อไปถามหยางชิ่งตรงๆ ขี้คร้านจะเดาไปเดามา
“นายท่าน ในเมื่อหยางชิ่งบอกข้าน้อยมาแล้ว ก็คงจะไม่ได้คิดปิดบังนายท่าน เพียงแต่ที่ไม่บอกนายท่านตอนนี้ ก็เพราะเขาอาจจะยังไม่แน่ใจ จะทดสอบก่อน เมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็คงจะบอกนายท่านเอง…” หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างลำบากใจ เดาออกแล้วว่าเหมียวอี้ต้องการจะติดต่อหยางชิ่ง
เหมียวอี้มองดูปฏิกิริยาของเขา ลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็อดทนไว้ เก็บระฆังดาราอย่างช้าๆ เพราะหยางชิ่งสั่งให้หยางเจาชิงเก็บเป็นความลับชั่วคราว ถ้าผ่านไปประเดี๋ยวเดียวแล้วขายหยางเจาชิง ก็จะทำให้หยางเจาชิงลำบากใจ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่หยางเจาชิงพูดก็มีเหตุผล หยางชิ่งไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังเขาเช่นกัน
หลังจากเงียบไปสักพัก เหมียวอี้ก็โบกมือบอกว่า “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว เจ้าไปจัดการตามที่เขาบอกก่อนเถอะ”
“ขอรับ!” ไม่ได้รับอนุญาตแล้ว หยางเจาชิงก็เอ่ยรับ ตอนนี้โล่งใจแล้วเช่นกัน นี่ก็คือจุดประสงค์พี่เขาบอกเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นการทำอะไรลับหลังเหมียวอี้แบบนี้ ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาก็จะอธิบายได้ไม่ชัดเจน
หลังจากออกไปแล้ว หยางเจาชิงก็ไปคุยเรื่องนี้กับสวีถังหรานทันที เขาย่อมไม่บอกว่านี่คือความคิดของหยางชิ่ง เพราะสำหรับสวีถังหราน หยางชิ่งประสบเหตุเสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีตัวตนอยู่แล้ว
“หา!” หลังจากได้ฟังเรื่องที่ตัวเองต้องทำ สวีถังหรานที่เดิมทีนั่งอย่างสง่าก็ผุดลุกขึ้น ถลึงตาโตถามว่า “ไปหาความสำราญที่หอนางโลมเหรอ? ข้าว่านะหยางเจาชิง จะล้อข้าเล่นหรือเปล่า? นี่มันใช่เรื่องงานที่ไหนกัน!”
หยางเจาชิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามรีบยกการินน้ำชาให้เขา “เจ้าจะร้อนใจอะไร? ข้าจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเจ้าเล่นได้ยังไง? ที่ให้เจ้าไปหาความสำราญในหอนางโลมก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดประสงค์ จุดประสงค์ก็คือต้องทำงาน นายท่านทำแบบนี้จะต้องมีจุดประสงค์แน่นอน” เขาไม่ได้บอกตรงๆ ว่าเป็นความคิดของเหมียวอี้ แต่ก็ยังอ้างชื่อเหมียวอี้อย่างอ้อมๆ เขารู้ว่าสวีถังหรานตกหลุมพรางเรื่องนี้ง่ายที่สุด
“เป็นความคิดของนายท่านหรอ?” สวีถังหรานสงบลงในชั่วพริบตาเดียว นั่งลงช้าๆ แล้วยืดคอถาม
“ก็ต้องสงสัยอีกเหรอ? ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ไปถามนายท่านได้เลย” หยางเจาชิงตอบอย่างคลุมเครือ
การรับมือกับสวีถังหราน ขอเพียงอ้างชื่อเหมียวอี้ ทุกอย่างก็จะคุยง่ายแล้ว
หลังจากจัดการสวีถังหรานเรียบร้อย หยางเจาชิงก็รีบติดต่อไปถามหยางชิ่ง ว่าขั้นต่อไปจะให้ทำอย่างไร เมื่อได้รับคำสั่งจากหยางชิ่งแล้ว ก็ไปยังทะเลสาบใต้ดินของตลาดผีผ่านทางลับทันที ดำลงไปในทะเลสาบเพื่อค้นหาแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งตรงจุดที่ระบุไว้ จากนั้นก็รีบกลับไปหาสวีถังหรานอีก
ขั้นตอนนี้เหมือนค่อนข้างซ้ำซากและเกินความจำเป็น แต่หยางชิ่งก็เป็นคนอย่างนี้ ทำงานอย่างระมัดระวังจนติดเป็นนิสัยแล้ว
“ข้าจะบอกจำไว้เลยนะ ห้ามให้เสวี่ยหลิงหลงรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด”
เมื่อเตรียมการทุกอย่างเหมาะสมแล้ว สวีถังหรานที่ปลอมตัวและเตรียมจะออกประตูก็ดึงหยางเจาชิงมาสั่งไว้
หยางเจาชิงรู้สึกแปลกใจ “เจ้าจะมาเสแสร้งทำตัวบริสุทธิ์ต่อหน้าข้าทำไม เจ้ากล้าพูดไหมว่าหลังจากแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลงแล้วไม่เคยไปหอนางโลมอีกเลย? ผู้หญิงที่ชอบถือพัดคนนั้นชื่อว่าอะไรนะ…”
“หุบปาก…” สวีถังหรานพูดตัดบท แล้วเหลียวซ้ายแลขวา ไม่เห็นว่าไม่มีใครได้ยิน ถึงได้ถลึงตาบอกว่า “นั่นเหมือนกันหรอ? เข้าไปส่วนตัวยังปิดบังเองได้ แต่ถ้าไปทำงานสุดท้ายเรื่องนี้ก็อาจจะเปิดโปงก็ได้ อยู่ดีๆ ข้าจะทำให้บ้านตัวเองไม่สงบทำไม? ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นมา เจ้าต้องช่วยเป็นพยานให้ข้า ช่วยยืนยันว่าข้าไปทำงาน”
“เอาล่ะ พอแล้ว รู้แล่้ว ข้าจะช่วยเป็นพยานให้เจ้า”
“ถึงแม้ผู้หญิงในสถานบันเทิงของตลาดผีจะมีเพียงพอ แต่ราคาก็สูงจนเหลวไหล ค่าใช้จ่ายนี้ใครเป็นคนออก?”
“เจ้าไปหาความสำราญ เดี๋ยวต้องให้ค่าช่วยควักเงินให้ด้วยหรอ?”
“เรียกว่าไปหาความสำราญได้ยังไงกัน ข้าไปทำงานนะ!”
“เจ้าอย่ามาพูดเลย เจ้าขาดเงินด้วยหรอ? ในบรรดาลูกน้องทุกคนของนายท่าน มีแค่เจ้าที่กอบโกยเงินโหดที่สุด! อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ เอาแค่ร้านค้าในตลาดสวรรค์ อย่างน้อยเจ้าก็มีสิบกว่าร้านแล้วไม่ใช่เหรอ? หลังจากลูกน้องเก่าของนายท่านที่ตลาดสวรรค์ในปีนั้นแยกย้ายกันไปตามตลาดสวรรค์ดาวต่างๆ เจ้าก็เหมือนจะไม่พลาดสักคน ไปติดต่อสร้างเส้นสายเอาไว้หมด ไหนเจ้าลองบอกมาซิว่าใช้เส้นสายนี้สร้างร้านค้าไว้กี่ร้านแล้ว? ทั้งเรื่องขาดคุณธรรมยิบย่อยที่บอกใครไม่ได้อีก เจ้าลองบอกมาซิว่าหลายปีมานี้เจ้ากอบโกยเงินได้เท่าไหร่แล้ว?”
“เหลวไหล! ข้าจะเอาเงินจากไหนมาซื้อร้านค้าเยอะขนาดนั้น? จะสาดโคลนกันก็ต้องมีเหตุผลบ้างสิ ไม่ใช่อ้าปากก็พูดเลย มีสมองหน่อยได้ไหม?”
“อย่ามาเสแสร้งกต่อหน้าข้าเลย! เจ้าแอบหาเส้นสายเพื่อเอาสิทธิ์ซื้อขายของร้านค้ามา แล้วก็ให้หวงเสี้ยวเทียนช่วยรวบรวมเงินให้เจ้า แล้วเงินนั่นรวบรวมมายังไงล่ะ? หลอกคนกลุ่มหนึ่งให้รวมเงินกันซื้อร้านค้า เพราะอีกฝ่ายจ่ายเงินแล้ว เจ้าก็ใส่ร้ายแล้วเรียกกำลังพลของทางการมาจับกุมคนพวกนี้ จากนั้นก็ฮุบร้านค้าพวกนั้นไว้คนเดียว จะคิดว่าข้าไม่รู้เหรอ?”
“หยางเจาชิง มารดาเจ้าเถอะ นี่เจ้ากำลังใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าพูดซี้ซั้ว!”
“หลักฐานหรอ? ขอเพียงเป็นร้านค้าที่มีเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับเจ้า กลุ่มคนที่เจ้าเรียกว่าผู้ร่วมหุ้นล้วนถูกจับข้อหาครอบครองสิ่งผิดกฎหมายไปหมดแล้ว มีเรื่องบังเอิญแบบนั้นเสียที่ไหนกัน? หรือไม่พวกเราไปหานายท่านไหมล่ะ ให้นายท่านสั่งลูกน้องเก่าพวกนั้นให้ตรวจสอบสักหน่อย? ข้าว่าน่ะสวีถังหราน เจ้านี่ดำมืดใช้ได้เลย โหดพอตัว คนอื่นเขารวบรวมเงินช่วยซื้อร้านค้าให้เจ้า เจ้าไม่ขอบคุณพวกเขาก็ว่าแย่แล้ว ทั้งยังจะเอาชีวิตพวกเขาอีก จำไม่ได้จ่ายเหรียญทผลึกเลยสักก้อน จะได้ธุรกิจมากมายขนาดนั้นมาด้วยมือเปล่า ข้าว่าทั้งจวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็มีเจ้านี่แหละที่รวยสุด!”
“พอๆๆ นี่เจ้ากำลังใส่ร้ายข้า เขาอยากจะถือสาเจ้าหรอกนะ” สวีถังหรานกินปูนร้อนท้อง น้ำเสียงอ่อนลงอย่างชัดเจน
“พูดมากอะไรอยู่ได้ รีบไป!” หยางเจาชิงผลักเขาอย่างทนรำคาญไม่ไหว
พอออกจากจวนแม่ทัพภาคแล้ว สวีถังหรานก็รู้สึกไม่ค่อยสงบใจ กลุ้มใจนิดหน่อย หยางเจาชิงมันรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน?
แต่พอคิดไปคิดมาก็เดาได้ไม่ยาก เส้นสายที่ตัวเองผูกไว้ล้วนเป็นลูกน้องเก่าของนายท่าน หลังจากนำรายงานสถานการณ์ของที่ต่างๆ รวมกันแล้ว ก็เดาได้ง่ายมากว่าในนั้นมีเงื่อนงำ แต่ก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าหยางเจาชิงจะพูดแรงขนาดนั้น ถ้าไม่ได้จ่ายเหรียญผลึกสักก้อนแล้วจะจัดการได้อย่างไร เขาเองก็จ่ายเงินใต้โต๊ะไปไม่น้อยเหมือนกัน
แต่สิ่งนี้ไม่ได้สำคัญเลย เพราะสิ่งที่สวีถังหรานกังวลก็คือ ขนาดหยางเจาชิงยังรู้หมดแล้ว คาดว่านายท่านก็ต้องรู้ตั้งแต่แรกแล้วแน่นอน เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่เคยเปิดโปงก็เท่านั้นเอง
เขาพอจะเข้าใจแล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้จึงต้องให้เขาไปหาร้านค้าที่ตลาดผี
“เฮ้อ!” สวีถังหรานแอบถอนหายใจ จากนั้นก็มองซ้ายมองขวา เขาคุ้นเคยกับหอนางโลมแต่ละแห่งในตลาดผีดีมาก ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขาคือแขกประจำของหอนางโลม แม่นางของหอไหนดี แม่นางของหอไหนเด็ดอย่างไร เขาก็รู้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน
อันที่จริงแล้ว เวลาเขาไปหอนางโลมก็ไม่ต้องจ่ายเงินเลย เมื่อก่อนเขายังไม่รู้ แต่หลังจากแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลงจนมีข่าวลือในทางที่ดีเกี่ยวกับเขาแล้ว เขาถึงได้รู้ว่าตัวเองชื่อเสียงโด่งดังมากที่หอนางโลม หอนางโลมในใต้หล้าลั่นวาจาแทบทุกแห่ง ว่าสวีถังหรานคือแขกผู้มีเกียรติหมายเลขหนึ่ง ขอเพียงเขายอมมาใช้บริการ ก็ไม่ต้องเก็บค่าใช้จ่ายเลย
สิ่งนี้ทำให้สวีถังหรานหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก มารดาเจ้าเถอะ ใครมันจะไปหอนางโลมแล้วประกาศฐานะของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยสถานการณ์ของตลาดผี เขาก็ยิ่งไม่สะดวกจะเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ขนาดมีโอกาสเอาเปรียบแล้วยังทำไม่ได้เลย ทำให้เขาว้าวุ่นใจจริงๆ
“หอสามจันทรา” เมื่อเห็นชื่อก็รู้ถึงความหมาย ฤดูกาลบุปผาแรกแย้ม ทิวทัศน์ข้างในหอจะต้องยั่วยวนใจคนแน่นอน
สวีถังหรานเดินมาถึงใต้ป้ายชื่อของหอนางโลมที่เขาชอบที่สุดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพียงแต่เมื่อก่อนดำน้ำมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ทว่าครั้งนี้เดินดุ่มๆ ออกมาจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีโดยตรง
ข้างในมีเสียงขลุ่ยไพเราะปนเสียงร้องเพลงดังมา ทำให้เขาทนเกรงใจไม่ไหว แม่นางหลายคนที่เต้นระบำเรียกแขกเป็นฝ่ายมากอดเขาเข้าไปข้างในแล้ว…
หยางเจาชิงที่เพิ่งเดินออกมาจากทางน้ำรู้สึกแปลกนิดหน่อย เขาหันกลับไปมองชายที่ขึ้นจากผิวน้ำและตามตัวเองมา นี่คือคนที่เหมียวอี้สั่งให้เขาออกจากทางลับมารับตัว เขารู้สึกว่าคุ้นตามาก พอถอดหนังหน้าปลอมออก ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็คล้ายกับเหยียนซิว
แต่ถ้าเป็นเหยียนซิวจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาออกมารับ เพราะเหยียนซิวรู้ว่าจะเข้าออกทางลับดีอย่างไร แต่ถ้าจะบอกว่าไม่ใช่เหยียนซิว แต่ทางลับนี้ก็เปิดเผยให้คนนอกรู้ไม่ได้
ตอนเดินออกจากทางลับจนใกล้จะเข้าจวนแม่ทัพภาค จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงดัง “แคว่ก”
หยางเจาชิงหันกลับไปมองอีกครั้ง ทำให้ตะลึงงันทันที เห็นอีกฝ่ายดึงหนังปลอมบนใบหน้าออกแล้ว เผยใบหน้าชราออกมา ถ้าไม่ใช่เหยียนซิวแล้วจะเป็นใครไปได้?
แต่ไม่นานก็พบความไม่ชอบมาพากล ใบหน้าน้ำนั้นปลอมแปลงกันได้ แต่ลักษณะเย็นเยียบพิศวงของเหยียนซิวกลับเลียนแบบกันไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น อย่างน้อยคนคนนี้ก็ไม่มีสิ่งนี้บนตัว
ตอนออกจากทางลับมาแล้ว ในใจเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัย เขาพา ‘เหยียนซิว’ เดินเข้าจวนแม่ทัพภาคอย่างโจ่งแจ้ง เดินตรงเข้าไปที่ห้องเหมียวอี้แล้ว
เคาะประตูห้องแล้วเข้าไป พอเจอเหมียวอี้ หยางเจาชิงก็ทำความเคารพ “นายท่าน พาตัวมาแล้วขอรับ…” เขาอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง อยากถามว่า ‘เหยียนซิว’ คนนี้เป็นอะไรไป
เหมียวอี้จ้องประเมิน ‘เหยียนซิว’ ศีรษะจดเท้า แล้วยกมือบอกใบ้ให้หยางเจาชิงออกไป
ตอนที่ออกไป หยางเจาชิงพบว่า ‘เหยียนซิว’ มองสำรวจไปทั่วห้องอย่างสบายใจ สิ่งนี้ทำให้เขายิ่งแน่ใจว่าคนคนนี้ไม่ใช่เหยียนซิว เพราะเหยียนซิวไม่มีทางทำอย่างนี้
พอปิดประตูแล้ว ในห้องก็ไม่มีคนนอก
เหมียวอี้เดินมานั่งด้านหลังโต๊ะยาว วางสองมือลงบนโต๊ะ ใช้นิ้วทั้งห้าเคาะที่ผิวโต๊ะเบาๆ พร้อมจ้องทุกความเคลื่อนไหวของ ‘เหยียนซิว’
‘เหยียนซิว’ เดินเพ่นพ่านทั่วห้องยังไม่เกรงกลัวอะไร เดี๋ยวลูบคลำสิ่งนั้น เดี๋ยวพลิกดูสิ่งนี้ แล้วสุดท้ายก็ยืนหันข้างหน้าโต๊ะยาว เอียงหน้ามองเหมียวอี้ พร้อมถามหาด้วยเสียงแหบพร่า “มีเรื่องอะไรทำไมคุยในระฆังดาราไม่ได้ จะต้องเรียกข้ามาให้ได้เชียวเหรอ? มีอะไรก็รีบพูดมา ข้ากำลังยุ่ง”
เหมียวอี้หยุดเคาะโต๊ะ แล้วถ่ายทอดเสียงกล่าวช้าๆ ว่า “ส่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคันกับเครื่องแบบตำหนักสวรรค์มาให้ข้า ข้าต้องใช้!”
เหยียนซิวหัวเราะหึหึ แล้วบอกว่า “เจ้าจะให้ข้านำออกมาเหรอ ข้าเอาออกมาได้เหรอ? ของพวกนี้ใช้เงินประเมินไม่ได้ แน่นอน ถ้าเจ้าจ่ายไหว ข้าก็ไม่ถือสาที่จะขายให้เจ้า”
“เงินน่ะ! ข้าให้เจ้าไม่ได้หรอก แต่ของน่ะ เจ้าต้องให้ข้า!” เหมียวอี้กล่าว
เหยียนซิวราวกับได้ฟังเรื่องตลกมาก แสยะยิ้มแล้วถามว่า “มีสิทธิ์อะไร?”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก สิทธิ์ที่ข้าเป็นเจ้านายของเจ้าไง!” เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็น
…………………………