น้ำพุวังเวงชั้นสิบเอ็ด แดนอัสนีบาต
บนท้องฟ้ามีเมฆครึ้มดำมืดตลอดเวลา ใต้ความมืดสลัวมีแสงสว่างกะพริบไม่หยุด แสงสายฟ้าไม่มีวันหยุดพักเลย วับวาบอยู่ท่ามกลางเมฆดำที่ม้วนกลิ้งอยู่เสมอ มีสายฟ้าฟาดโจมตีบนภูเขาแม่น้ำที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตสายแล้วสายเล่า บ้างก็เหมือนปืนใหญ่ที่ยิงต่อเนื่อง บ้างก็เหมือนมัดรวมกันลงมา ราวกับมังกรเจียวหลงทอดกายพาดผ่าน สั่นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้เทพผีตระหนกตกใจ
อานุภาพอันน่าหวาดกลัวของแดนอัสนีบาต แต่เมื่อเทียบกันแล้วกลับปลอดภัยที่สุด สัตว์ที่อยู่ในแดนปรภพ เมื่ออยู่ที่นี่ก็ไม่กล้าไปไหนเพ่นพ่านแล้ว ราวกับโดนฟันขาดครึ่งท่อนที่น้ำพุวังเวงชั้นสิบแปด ไม่ได้บอกว่าทั้งหมดถูกสกัดขวางไว้ อย่างน้อยก็ไม่ให้สัตว์น่ากลัวตรงจุดลึกของน้ำพุวังเวงพรั่งพรูออกมาข้างนอก มีบทบาทในการรักษาสมดุลของน้ำพุวังเวง
ระหว่างภูเขาสองลูก โซ่เหล็กถักทอหนาแน่นราวกับใยแมงมุม ด้านล่างเป็นกระโจมค่ายของตระกูลโค่ว สายฟ้าผ่าใส่บนโซ่เหล็กด้านบน แสงสายฟ้าถูกล่อไปแล้ว ไม่ส่งผลกระทบต่อค่ายด้านล่างแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าคนด้านล่างเตรียมตัวมา
ม่านค่ายดึงออกสองฝั่ง โค่วเหวินไป๋ยืนเอามือไขว้หลัง มองด้านนอกแสงสายฟ้าที่กระพริบไม่หยุด ขณะฟังเสียงฟ้าร้องครืนคราน ลำแสงก็กระพริบส่องบนใบหน้าเขา ทำให้ใบหน้าเขาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
มีเรื่องบางเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นเหตุใดต้องหลบอยู่ที่นี่ไม่ออกไปไหนเสียที เขาไม่ได้มาออกล่าที่น้ำพุวังเวงเป็นครั้งแรก จึงรู้ว่าครั้งนี้ผิดปกติมาก
เขาเอียงหน้าช้าๆ มองโค่วหู่ที่อยู่ข้างกัน เป็นข้ารับใช้ของตระกูลโค่ว เดิมทีแซ่อะไรเขาก็ไม่รู้ รู้เพียงว่าท่านปู่ประทานแซ่โค่วให้ ตอนนี้เจ้าตัวกำลังถือระฆังดาราติดต่อไปที่ไหนก็ไม่รู้
รอจนกระทั่งโค่วหู่ติดต่อเสร็จแล้ว โค่วเหวินไป๋ก็เดินเข้าไปหา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ท่านอาหู่ บอกเหตุผลข้าไม่ได้จริงๆ เหรอ?”
โค่วหู่เอามือขยี้เคราอย่างลังเล การปิดบังแบบนี้ก็ต้องดูด้วยว่าเป็นใคร ถ้าลูกหลานคนอื่นของตระกูลโค่วถามเขา ถ้าไม่บอกก็คือไม่บอก แต่เห็นได้ชัดว่าโค่วเจิงยืนได้อย่างมั่นคงที่ตระกูลโค่วแล้ว อ๋องสวรรค์โค่วตั้งใจให้โค่วเจิงกุมอำนาจไม่น้อยแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดคาด ตำแหน่งผู้สืบทอดหัวหน้าตระกูลก็เป็นใครไปไม่ได้แล้วนอกจากโค่วเจิง
“นายน้อย ที่ไม่บอกท่านก็เพราะไม่อยากให้ท่านวุ่นวายใจ ถ้าท่านอยากจะรู้ให้ได้ ก็สามารถติดต่อไปถามคุณชายใหญ่ได้โดยตรง” โค่วหู่ยอมให้ถามแล้ว
ในเมื่อถามแล้ว โค่วเจิงก็ไม่ได้ปิดบังเขา เพียงห้ามไม่ให้เขาปล่อยข่าวให้ภายนอกรับรู้ ไม่ให้บอกใคร รวมทั้งมารดาตัวเองด้วย
หลังจากได้รู้ความจริง ถึงแม้จะคุ้นชินกับเรื่องสกปรกโสมมบางอย่างของตระกูลตั้งนานแล้ว แต่โค่วเหวินไป๋ก็ยังตกใจอยู่บ้าง ถึงแม้จะได้ข่าวและสังเกตได้นานแล้วว่าตระกูลจะทิ้งหนิวโหย่วเต๋อ แต่ก็ยังนึกไม่ถึงว่าตระกูลจะแอบเข้าร่วมกับเรื่องเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อให้ถึงตายด้วย ถึงอย่างไรก็ยังได้ชื่อว่าเป็นลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วนะ
หลังจากเก็บระฆังดาราเงียบๆ โค่วเหวินไป๋ก็ถอนหายใจ “ไม่น่ามาเลย!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ โค่วหู่ก็เข้าใจว่าเขารู้ความจริงแล้ว “ทีแรกก็จะไม่มา แต่เป็นเพราะบังเอิญเกิดความเข้าใจผิด กลัวว่ากลับคำไปมาแล้วจะสะเทือนไปถึงท่านนั้นที่วังสวรรค์ ถึงได้แข็งใจมานี่ไง”
โค่วเหวินไป๋เหลือบตามองตรง “ที่แท้ตระกูลพวกนั้นก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อจะฆ่าอิ๋งหยาง ถ้าเกิดเรื่องกับหนิวโหย่วเต๋อขึ้นมา ตระกูลพวกนั้นจะไม่รู้หรอกเหรอว่าตัวเองกำลังแอบให้ความร่วมมือกับตระกูลโค่ว ปล่อยให้จุดอ่อนนี้ไปตกอยู่ในมืออีกฝ่ายจะเหมาะสมเหรอ?”
โค่วหู่จึงบอกว่า “นายน้อยคิดมากไปแล้ว เรื่องพรรค์นี้มีตระกูลไหนบ้างที่ไม่เคยทำ ไม่ว่าก้นใครก็ไม่สะอาดทั้งนั้น นับเป็นจุดอ่อนไม่ได้หรอก ตอนนี้สถานการณ์ของหนิวโหย่วเต๋อก็เห็นๆ กันอยู่ ท่านนั้นของวังสวรรค์ก็จงใจทำให้ตระกูลโค่วกลืนไม่ลง ตระกูลโค่วเองก็รับตัวถ่วงนี้ไว้ไม่ได้ ตระกูลอื่นก็ไม่ยอมให้ศิษย์อสุราอัคนีตกอยู่ในมือคนอื่นเช่นกัน ในเมื่อสี่ตระกูลไม่ได้ ก็ไม่ยอมให้วังสวรรค์ทำสำเร็จเช่นกัน ถึงได้เกิดการร่วมมือกันเล่นละครแบบนี้ จะได้ปิดบังวังสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้วได้สะดวก”
“ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?” โค่วเหวินไป๋ถาม
โค่วหู่ตอบว่า “ตามที่สายลับรายงานมา ตระกูลอิ๋งตั้งค่ายอยู่ที่น้ำพุวังเวงชั้นห้าแล้ว ส่วนตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วงตั้งค่ายที่น้ำพุวังเวงชั้นสิบ ตระกูลอื่นต่างก็รู้ว่ามาแสดงละคร ไม่ได้จริงจังกับการออกล่าครั้งนี้ มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่เลอะเลือนเหมือนถูกปิดบังอยู่ในกลอง เข้าไปออกล่าลึกในน้ำพุวังเวง”
“ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อรึงจะจบ?” โค่วเหวินไป๋ ถาม
“รอไปเถอะ หลายตระกูลให้ความร่วมมือกับตระกูลอิ๋งล้างความอัปยศ หลังจากจบเรื่องทางตระกูลอิ๋งจะส่งสัญญาณบอก” โค่วหู่ตอบ
โค่วเหวินไป๋หันตัวไปมองแสงสายฟ้าที่วับวาบอยู่ด้านนอก “แล้วอาหญิงเล็กจะทำยังไงล่ะ? ถ้าหนิวโหย่วเต๋อเกิดเรื่องที่น้ำพุวังเวง แต่พวกเราดันกลับไปอย่างปลอดภัย จะอธิบายยังไงล่ะ? คงไม่ถึงขั้นกำจัดอาหญิงเล็กไปด้วยกันหรอกใช่มั้ย แบบนั้นชัดเจนเกินไปแล้ว จะให้ทุกคนของทัพเหนือมองเรายังไงล่ะ?”
“พวกเราไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมาลงมือกับอิ๋งหยางที่น้ำพุวังเวง หลายบ้านไม่ได้อยู่ด้วยกัน จะเหนือบ่ากว่าแรงก็เป็นเรื่องปกติมาก”
“เหตุผลนี้ใช้ตบตาเพียงชั่วครู่ คนที่อยู่นอกสถานการณ์อาจจะเห็นแล้วไม่เข้าใจ แต่หลังจากจบเรื่อง วังสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้วย่อมเข้าใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะท่านนั้นของวังสวรรค์ ต่อให้ไม่มีหลักฐานอะไร แต่เกรงว่าจะไม่ถือสาที่จะเปิดโปงให้อาหญิงเล็กรู้”
“ถ้าคุณหนูเจ็ดฉลาด ก็น่าจะรู้ว่าต่อให้โวยวายยังไงก็แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว คนฉลาดถึงจะมีอายุยืนยาว ผู้หญิงที่แต่งงานเป็นครั้งที่สองไม่จำเป็นต้องยึดติดกับตัวเอง…”
น้ำพุวังเวงชั้นห้าคือที่พักของค้างคาวขาวรัตติกาล ป่าแท่งเหล็กถ้ำรังที่เหมาะสมแก่การอยู่อาศัยของพวกมันที่สุด และเป็นกำแพงป้องกันให้พวกมันโดยธรรมชาติเช่นกัน
มีค้างคาวขาวรัตติกาลบินฉวัดเฉวียนอยู่ในท้องฟ้ามืดสลัวเป็นระยะ ราวกับเป็นภูตผีสีขาวกำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า และมีเสียงดังสะเทือนจากการเข่นฆ่าระหว่างพวกมันและผู้ล่าเช่นกัน เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ก็แยกไม่ออกว่าใครกันแน่คือผู้ล่า เพราะค้างคาวขาวรัตติกาลชอบล่าสัตว์ชนิดอื่นเป็นอาหารที่สุด ขณะเดียวกันก็มองคนภายนอกเป็นเหยื่อ ถ้าถูกพวกมันพบเมื่อไร ก็จะเป็นฝ่ายรุกโจมตีทันที
เหมียวอี้ก็นับว่าโชคดีเพราะดวงตาเช่นกัน ขณะที่ตาทิพกวาดมองไปรอบๆ ก็เห็นกับตาว่าฝูงค้างคาวขาวรัตติกาลนับไม่ถ้วนกำลังล้อมโจมตีนักพรตบงกชกลายคนหนึ่ง ทะเลเพลิงสีเขียวเข้มที่พ่นออกมาทะลุเกราะลมแล้ว ถึงแม้นักพรตบงกชกลายนั่นจะถล่มฆ่าค้างคาวขาวรัตติกาลไปฝูงใหญ่จนฝืนฝ่าทะเลเพลิงออกมาแล้ว แต่ไฟผีที่ราวกับกัดกร่อนกระดูกก็ทำให้เขาแสบตาเป็นพิเศษ ไม่น่าเชื่อว่าฝูงค้างคาวขาวรัตติกาลจะเผานักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพคนหนึ่งให้ตายทั้งเป็นแล้ว เห็นแล้วรู้สึกตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว
มาออกล่าที่นี่ก็ได้ แต่อย่านึกว่าวรยุทธ์สูงแล้วจะสามารถทำตามอำเภอใจที่น้ำพุวังเวงได้
แต่ค้างคาวขาวรัตติกาลตายแล้วหมดมูลค่า ถ้าจะจับก็ต้องจับเป็น แต่ก็ไม่ได้จับกันง่ายๆ ขนาดนั้น ถ้าสัตว์ชนิดนี้ตกอยู่ในสภาพอับจนเมื่อไร ก็จะเผาตัวเองทันที แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ คนมักตายเพราะเงินทอง นกมักตายเพราะอาหาร ยังมีคนมาเสี่ยงโชคไม่หยุด ผลลัพธ์ก็มักจะเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เจ้าตายก็เป็นข้าที่รอด
ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว ในรังแท่งเหล็กที่เกิดจากธรรมชาติ เหมียวอี้กำลังนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ตาทิพย์ถี่ที่สุด
“ราชาปราชญ์ ปีศาจเฒ่าจ่างหงส่งข่าวมาแล้ว ว่าคนที่ทำลับๆ ล่อๆ พวกนั้นมีความเคลื่อนไหวแล้ว” อ๋าวเถี่ยถ่ายทอดเสียงเตือน
เหมียวอี้ได้ยินแล้วลุกขึ้น รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจ่างหง ไม่นานก็ใช้ตาทิพย์อีกครั้ง มองไปยังทิศทางที่จ่างหงบอก
ในสายตาทิพย์มองเห็นเม่ยจีเดินออกจากที่เดิมอย่างลับๆ ล่อๆ หลังจากเดินออกไปไกลแล้วถึงได้เหาะขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว ไปเจอกับชายคนหนึ่งที่รออยู่ตรงจุดไกลๆ นางมีท่าทีเคารพนอบน้อม
เห็นได้ชัดว่าชายคนนั้นกำลังปลอมตัว เหมียวอี้ใช้ตาทิพย์สำรวจโฉมหน้าที่แท้จริง ทำให้พบทันทีว่าเป็นสตรีวัยกลางคนที่งามหยดย้อยคนหนึ่ง ถึงแม้จะไม่รู้จัก แต่สัญลักษณ์พลังอิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วก็หลอกเขาไม่ได้ มีนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์โผล่มาอีกคนแล้ว
หลังจากคุยกับเม่ยจีไปสองสามประโยค ก็รีบตามเม่ยจีกลับมาอีก เขาไปที่รังก่อนหน้านี้แล้วสังเกตการณ์ภายนอกอีกครั้ง
สงสัยหยางชิ่งจะเดาไม่ผิดจริงๆ มีคนของสำนักหลัวช่ามาจริงๆ ด้วย! เหมียวอี้พึมพำในใจ
ไม่รู้ว่ามากันกี่คน แต่ในเมื่อมาแล้ว ต่อให้ยังมีคนอื่นอีก ถึงแม้จะไม่ได้อยู่บนตัวแต่ก็อยู่ข้างนอก ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจะต้องมาสนับสนุนทันแน่นอน
หลังจากเหมียวอี้มีข้อมูลในใจแล้ว ก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “แขกมาถึงแล้ว! ข้าสืบกำพืดตระกูลอิ๋งได้ชัดเจนพอดี ให้แขกไปทดสอบให้ก็ดีเหมือนกัน อ๋าวเถี่ย แจ้งลงไปว่าอย่าบุ่มบ่าม ทุกปฏิบัติการต้องรอฟังคำสั่งข้า…” เริ่มวางแผนในสถานที่จริงแล้ว
“รับทราบ!” อ๋าวเถี่ยได้ฟังแล้วเอ่ยรับ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที
ส่วนคนที่เม่ยจีรับมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเสวี่ยอวี้ อาจารย์ของนางนั่นเอง
หลังจากหลบอยู่ใน ‘กรง’ แล้วสังเกตการณ์สักพัก เสวี่ยอวี้ก็ขมวดคิ้วบอกว่า “เป็นธงของตระกูลอิ๋งจริงๆ! ข้าได้รับข่าวระหว่างทางที่มา ว่าลูกหลานของขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์มาออกล่าที่น้ำพุวังเวง แล้วหนิวโหย่วเต๋อมารวมอยู่กับตระกูลอิ๋งได้ยังไง?” ในใจนางมีความสงสัยอีกอย่างที่ไม่ได้พูดออกมา อย่าบอกนะว่าคนของตระกูลอิ๋งก็เกี่ยวข้องกับเรื่องสำนักหนานอู๋เหมือนกัน?
เม่ยจีตอบว่า “ไม่ทราบค่ะ หนิวโหย่วเต๋อน่าจะหลบอยู่ในในกระโจมค่ายของตระกูลอิ๋ง ในปีนั้นตอนที่ติดตามท่านอาจารย์ไปเป็นแขกที่จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ข้าเคยเห็นลูกชายของอิ๋งอู๋หม่านมาก่อน ก่อนหน้านี้ข้าเห็นกับตาว่าหนิวโหย่วเต๋อกับลูกชายของอิ๋งอู๋หม่านอยู่ด้วยกัน ท่านอาจารย์รีบดูสิ อิ๋งหยางออกมาแล้ว”
อิ๋งหยางยังคงออกมาเดินล่อเหยื่ออยู่ในกระโจมค่ายเป็นระยะ
เสวี่ยอวี้ที่จ้องจากซอกแท่งเหล็กพยักหน้าเบาๆ “เป็นหลานชายของอิ๋งจิ่วกวงจริงด้วย หรือว่าการออกล่าจะเป็นเรื่องหลอกลวง มีเจตนาอื่นต่างหากที่เป็นของจริง?” นางรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวี้หลัวช่า ถ้าพบของที่สำนักหนานอู๋ซ่อนไว้จริงๆ อย่าบอกนะว่าต้องปิดปากคนของตระกูลอิ๋งไปด้วย? เรื่องนี้นางตัดสินใจเองไม่ได้
ทว่าคำตอบของอวี้หลัวช่าก็เรียบง่ายมาก แม้แต่ลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วก็ยังฆ่าได้ มีหรือที่จะแยแสหลานชายของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ทำเหมือนเดิม!
ส่วนในตอนนี้ กุยอู๋ขุนพลใหญ่ลัทธิพุทธก็เข้ามาใกล้ทางนี้อย่างเงียบๆ แล้ว ที่บอกว่าเข้าใกล้ แต่ความจริงห่างกันไกลมาก หลังจากปรับระยะห่างจนไม่มีอุปสรรคขวางเป้าหมายแล้ว ก็หยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อันหนึ่งออกมาอย่างเงียบๆ ลูกธนูสามดอกตั้งอยู่บนสายแล้ว ลูกธนูเปล่งแสงสีรุ้ง เป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหก
อีกด้านหนึ่ง เมิ่งหรูขุนพลใหญ่ลัทธิเซียนก็ปรับทิศทางเช่นกัน ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องไปยังค่ายที่มองเห็นได้จากที่ไกลๆ แล้วหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมา ลูกธนูสามดอกตั้งบนสายพร้อมกัน เปล่งแสงสีรุ้ง เป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหก
เกิดเสียงระเบิดดังปั้งๆ กุยอู๋ปล่อยลูกธนู ลำแสงสามสายบินไปแล้ว ยิงไปยังจุดที่เม่ยจีและอาจารย์ซ่อนตัว
เม่ยจีและอาจารย์ที่ซ่อนอยู่ใน ‘กรง’ หันขวับ รอจนกระทั่งหันมามองสำรวจตรงซอกด้านหลัง ลำแสงสามสายก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์! ศิษย์และอาจารย์เบิกตากว้าง ตกใจมาก!
ปั้งๆๆ! มีเสียงดังสะเทือนสามครั้ง ฟ้าดินสั่นสะเทือน
ตอนนี้กุยอู๋ไม่ได้ฆ่าคน เพราะคนหลบอยู่ในรัง เป็นเรื่องยากที่จะเล็งให้แม่น เพียงยิงไปที่ ‘รัง’ นั้นเฉยๆ ส่วนโลหะเสาหน่อไม้นั่นก็ทนทานไร้ที่เปรียบ ไม่น่าเชื่อว่าลูกธนูดาวตกขั้นหกจะสร้างรอยไว้บนนั้นเพียงไม่กี่รอยเท่านั้น แล้วก็พลิกตัวกลับมาทันที
ถึงแม้จะยิ่งโจมตีแค่ ‘รัง’ นั้น ทว่าอาจารย์และศิษย์คู่นี้จะซ่อนตัวต่อไปได้อย่างไร แบบนี้ไม่เท่ากับถูกจับได้แล้วหรอกเหรอ สามคนที่หลบอยู่รีบหนีออกมาจากโพรงนั้น เหาะขึ้นฟ้าแล้วมองมาทางนี้
กุยอู๋ไม่สนใจ เก็บลูกธนูดาวตกแล้วไม่ได้เล็งออกไปอีก รีบมุดเข้าไปหลบในหลุมด้านข้างทันที
ส่วนเมิ่งหรูก็รอสัญญาณจากฝั่งนี้เพื่อลงมือ เขาปล่อยสายธนูที่ง้างไว้ ยิงลำแสงสามสายเข้าไปในค่ายหลักอย่างเกรี้ยวกราดแล้ว
อิ๋งหยางออกมาเดินเล่นรอบหนึ่งแล้วเพิ่งจะกลับเข้าไปนั่งในกระโจมค่าย เสียงสั่นสะเทือนด้านนอกทำให้เขาตกใจจนลุกขึ้นยืน เยี่ยนสุยก็หันกลับมาขมวดคิ้วเช่นกัน
อิ๋งหยางกำลังจะออกไปดูความเคลื่อนไหว จู่ๆ เยี่ยนสุยก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ถลันตัวเข้ามาดึงแขนอิ๋งหยางให้หมอบลง เกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นหลายครั้ง ค่ายหลักที่อยู่เหนือศีรษะทั้งสองถูกระเบิดออกแล้ว กระจายเป็นชิ้นส่วนพัดม้วนวุ่นวายตามพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาด
…………………………