ในตอนนี้เอง จู่ๆ เหมียวอี้ก็นึกถึงคำพูดของผู้อาวุโสมู่เซิน
ผู้อาวุโสมู่เซินบอกว่าเขาคือคนเฝ้ารักษากุญแจ ตอนนี้เหมียวอี้เพิ่งรู้สึกได้จริงๆ ว่าตัวเองได้กุญแจมาแล้ว และกุญแจดอกนั้นก็ทำให้เขาได้เข้าไปที่ก้นทะเลสาบของดาวแมกไม้ ตอนนี้ก็ชี้นำเขาเห็นภูเขาลูกที่อยู่ตรงหน้าอีก ถ้าไม่มีกุญแจที่ผู้อาวุโสมู่เซินมอบให้ เขาก็คงไม่รู้ว่าจะเชื่อมโยงจุดซ่อนสมบัติกับภูเขาลูกที่อยู่ไกลๆ นั่นได้อย่างไร
เพียงแต่ไม่รู้ว่าในภูเขาลูกนั้นจะมีของที่เขาตามหาหรือเปล่า ถ้าหากมีอยู่จริง แบบนั้นเขาก็คิดไม่ตกแล้ว วางไว้ที่ก้นทะเลสาบในดาวแมกไม้เพื่อรอให้เขาหาพบก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้ วางไว้สองฝั่งแบบนี้ อย่าว่าแต่คนหาสมบัติที่ลำบาก อย่างน้อยในปีนั้นคนที่ซ่อนสมบัติก็ยุ่งยากเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
ปัญหาที่คิดไม่ตกพวกนี้ ราวกับเป็นเมฆหนาในสมองที่ปัดโบกเท่าไรก็ไม่สลายไป เขาเลิกคิดชั่วคราว กลัวว่าอยู่บนฟ้านานแล้วจะทำให้คนสงสัย จึงเหาะจากฟ้าลงมาเสียเลย แฉลบผ่านท้องฟ้าเป็นวิถีโค้งกลับไปยังที่พักของตัวเอง
ผ่านไปไม่นาน ‘นักสืบ’ อย่างจงหลีค่วยก็มาอีกแล้ว ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ชัดเจนมาก อีกฝ่ายไม่สนใจข้า ไม่มีการตอบกลับเลย”
“ก็ไม่แน่นะ รีบบอกมาว่าคนไหน ข้าจะไปช่วยพูดให้ ไม่แน่อาจจะสำเร็จก็ได้” จงหลีค่วยรู้สึกคันยิบๆ ในใจ
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ต้องยุ่งยากแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าคิดได้แล้ว ข้าปกป้องตัวเองยังลำบากเลย อนาคตไม่แน่นอน ไม่จำเป็นต้องทำให้อีกฝ่ายลำบากไปด้วย ตอนหลังค่อยว่ากันใหม่ ถ้าข้าผ่านด่านยากที่อยู่ตรงหน้าไปได้ ถึงตอนนั้นข้าค่อยบอกท่าน ให้ท่านช่วยเป็นคนกลางประสานให้”
“อย่างนี้เองเหรอ!” จงหลีค่วยคิดไปคิดมาก็พบว่าคงทำได้แค่นี้ ก่อนหน้านี้หมิงจ้าวและพวกอาจารย์อาก็กำลังพูดคุยปรึกษาเรื่องนี้อยู่พอดี บอกว่าอนาคตเหมียวอี้ไม่แน่นอน ถ้าปล่อยให้ศิษย์หญิงของปราสาทดำเนินนภาไปกับเหมียวอี้ จะเหมือนเป็นการไม่แสดงความรับผิดชอบต่อลูกศิษย์ในสำนักหรือเปล่า
เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำท่าเหมือนอารมณ์หดหู่นิดหน่อย จงหลีค่วยก็ย่อมพูดปลอบใจไปยกหนึ่ง แล้วกลับไปรายงานอีก
ตอนหลังเหมียวอี้ไม่ได้เคลื่อนไหวติดต่อกันอีก กลัวจะทำให้คนสงสัย ระงับอารมณ์และอยู่นิ่งๆ ชั่วคราวสองวัน ทำท่าเหมือนหมดอาลัยตายอยากเพราะถูกความรักโจมตี
หลังจากนั้นสองวัน เหมียวอี้ถึงได้ออกจากเรือนพัก อ้างว่าจะออกไปเดินเล่นให้สบายใจ จงหลีค่วยบอกว่าจะไปเป็นเพื่อน แต่เหมียวอี้ปฏิเสธ จงหลีค่วยจึงทำได้เพียงบอกว่าเขาว่ามีที่ไหนในปราสาทดำเนินนภาที่ห้ามล่วงล้ำเข้าไปส่งเดช อย่างเช่นสถานที่ที่ประมุขปราสาทและบรรดาผู้อาวุโสเก็บตัวฝึกตน
เหมียวอี้ตอบว่ารู้แล้ว จะจำไว้ แล้วก็ออกไปคนเดียว
เขาเดินวนไปวนมาอยู่คนเดียว ปล่อยตั๊กแตนห้าตัวออกมาเป็นหูเป็นตาให้ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครสะกดรอยตาม เขาก็คลำทางไปตรงจุดที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ตรงภูเขาลูกนั้นที่เขาเห็นตอนเหาะอยู่บนฟ้าสูงหกพันจั้ง
ยืนอยู่บนยอดเขา ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ตอนที่รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปที่เขาเพลิงนภา เหมียวอี้ถึงพบว่าที่นี่คือภูเขาไฟ
แต่อุณหภูมิของที่นี่ยังไม่สูงเท่าที่หุบเขาเพลิงนภา อย่างน้อยตั้งแต่ไหล่เขาลงไปก็ยังมีต้นไม้งอกเขียวชอุ่ม บนยอดเขายังมีหิมะทับถมอยู่บ้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าภูเขาไฟลูกนี้ไม่ได้ปะทุมากี่ปีแล้ว ในเมื่อเป็นภูเขาไฟ ตามหลักการแล้วคงไม่ซ่อนของไว้ข้างนอก ควรจะซ่อนไว้ข้างในตรงจุดที่คนพบเห็นไม่ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะของที่เตรียมจะซ่อนไว้หลายปี เห็นได้ชัดว่าคงไม่ขุดหลุมฝังซ่อนเอาไว้มั่วๆ แน่ หรือพูดได้อีกอย่างว่า เป็นไปได้สูงที่ของจะซ่อนอยู่ในกลางภูเขาไฟ
สำหรับมนุษย์ธรรมดา การซ่อนของไว้กลางภูเขาไฟคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับนักพรตคือเรื่องที่เป็นไปได้ มิหนำซ้ำ เหมียวอี้ก็เป็นคนที่ผ่านประสบการณ์ที่เขาเพลิงนภามาแล้วด้วย ขนาดเลี่ยหวนยังสร้างตำหนักไว้ในภูเขาไฟได้ นับประสาอะไรกับการซ่อนของไว้ในภูเขาไฟล่ะ
เหมียวอี้มองดูถ้ำภูเขาไฟที่กลวงและมืดมิดแวบหนึ่ง แล้วมองไปรอบๆ อย่างระวังตัวอีกครั้ง จนกระทั่งพวกตั๊กแตนส่งข้อมูลมายืนยันว่าไม่มีใครสะกดร้อยตาม ถึงได้เก็บตั๊กแตนห้าตัวนั้น แล้วลอยลงไปตรงกลางภูเขา
เขาลอยลงมาอย่าไม่รีบร้อน ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองสำรวจรอบๆ ไม่หยุด กลัวว่าจะพลาดอะไรไป
แต่ไม่พบอะไรเลยตลอดทาง กลับเป็นอุณหภูมิตรงกลางภูเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากลงมาได้ประมาณสามร้อยจั้ง ก็เห็นหินหนืดสีแดงสดไหลปุดๆ ออกมา
ตลอดทางที่ลอยลงมาก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไรเลย แม้แต่พวกโพรงถ้ำก็ไม่เห็นเลยสักโพรง อย่าบอกนะว่าของซ่อนอยู่ใต้หินหนืด
สำหรับนักพรตทั่วไป การเข้าไปอยู่ใต้หินหนืดเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก แต่สำหรับเหมียวอี้ อาศัยวรยุทธ์ที่เขามีในตอนนี้ อุณหภูมิสูงนิดหน่อยทำอะไรเขาไม่ได้
พอเขากดฝ่ามือลงไปข้างล่าง ในหินหลอมเหลวที่ไหลทะลักก็จมลงกลายเป็นหลุมลึกทันที เหมียวอี้ที่กำลังร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดาราจมดิ่งลงไปในหินหนืดราวกับมีฟองกาศห่อหุ้มตัว
ยิ่งลงไปข้างล่าง อุณหภูมิก็ยิ่งสูง สำหรับนักพรตทั่วไป การอยู่ในอุณหภูมิที่สูงขนาดนี้จะสิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์รุนแรงมาก จะทนรับไม่ไหว แต่เหมียวอี้กลับพอทนไหว
แต่พอยิ่งลงมาข้างล่าง ขอบเขตของหินหลอมเหลวก็ยิ่งกว้างขึ้น เหมียวอี้ที่กำลังร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจหาไปทั่วรู้สึกลำบากนิดหน่อย เมื่อลอยลงมาจนถึงจุดที่ลึกหนึ่งพันจั้ง จู่ๆ เหมียวอี้ที่วนหาตามผนังถ้ำหินหนืดก็ตาเป็นประกาย พบว่าบนผนังถ้ำที่ดำเกรียมมีบันไดหินที่คนขุดเจาะให้กลวงเข้าไป มีภาพสลักรูปประตูบานหนึ่งเป็นแอ่งเว้าอยู่บนผนังถ้ำ
เหมียวอี้ยืนอยู่หน้าประตู ร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจบนประตูหินครู่หนึ่ง พอพบว่าข้างในเป็นโพรง เขาก็ดีใจมาก หรือว่าสมบัติจะอยู่ที่นี่?
ปั้ง! ชกเข้าไปหนึ่งหมัด ประตูหินที่หนาเกือบสองจั้งพังเข้าไป เหมียวอี้ถลันตัวเข้าไป หินหนืดที่แดงฉายที่อยู่ข้างหลังก็ทะลักตามเข้าไปด้วยเช่นกัน ส่องแสงสว่างจนเห็นทางข้างในชัดเจน
เหมียวอี้ขึ้นไปตามบันไดหินที่ขุดขึ้นมาอย่างง่ายๆ หินหนืดที่ไหลกลิ้งเข้ามาค่อยๆ หยุดอยู่ข้างหลัง เนื่องจากแรงกดดันและลักษณะพื้นภูมิภายใน ทำให้หินหนืดทะลักตามขึ้นมาไม่ได้อีก เหมียวอี้ที่เดินขึ้นมาหลายสิบจั้งก้าวขึ้นมาบนแท่นหิน กิ้งก่ายักษ์ตัวหนึ่งดึงดูดความสนใจเขาแล้ว ขนาดคลานอยู่บนพื้นยังสูงกว่าเขาอีก มันหน้าตาดุร้าย ขนาดหลับตาอยู่ก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความดุร้าย
เป็นกิ้งก่าสีแดงเพลิง เหมือนกับตะขาบสีเขียวที่เจอตรงก้นทะเลสาบในดาวแมกไม้ กิ้งก่าตัวนี้มีเกล็ดสีแดงหนาทนทานทั้งตัว ถูกโซ่สีทับทิมล่ามเอาไว้เช่นกัน บนร่างกายตะปูยาวสีแดงหนาเท่าแขนเสียบอยู่หลายตัว หลับตาสนิทสองข้างไม่เคลื่อนไหว ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เหมียวอี้ลองร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู อยากจะรู้ว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้เป็นหรือตาย ปรากฏว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาเหมือนจะไปกระตุ้นมันเข้าแล้ว ปากใหญ่ที่มีฟันแหลมน่ากลัวพลันอ้าออก พ่นเปลวเพลิงที่ร้อนแรงกลุ่มหนึ่งออกมา เพียงแต่ดูอ่อนแรงมาก พอเหมียวอี้ตั้งฝ่ามือรับข้างเดียว เปลวเพลิงก็แยกเป็นสองฝั่งอ้อมตัวเขาไปทันที
แต่ก็พ่นไฟแค่คำเดียว ปากใหญ่ที่มีฟันน่าเกลียดน่ากลัวของกิ้งก่าสีแดงเพลิงหุบปิดเหมือนเดิม แล้วนอนนิ่งไม่กระดิกตัวต่อไป แต่อย่างน้อยก็พิสูจน์ให้เหมียวอี้เห็นแล้วว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่
เหมียวอี้ตกใจอีกครั้ง ไม่เข้าใจว่าผู้ซ่อนสมบัติจะนำสัตว์แบบนี้มาไว้ที่นี่ทำไม ที่ก้นทะเลสาบครั้งก่อนก็เป็นตะขาบยักษ์ ครั้งนี้ก็เป็นกิ้งก่าสีแดงเพลิง ล้วนเป็นปีศาจเฒ่าที่แค่เห็นก็ทำให้กลัวแล้ว แต่ตะขาบครั้งก่อนยังดีกว่าหน่อย มันพ่นพิษเพราะมีเจตนาจะเฝ้าสมบัติ แต่อานุภาพของไฟที่กิ้งก่าไฟตัวนี้พ่นออกมา เหมือนจะไม่มีภัยคุกคามต่อนักพรตประเภทที่สามารถมาถึงสถานที่แบบนี้เท่าไรเลย ไม่รู้ว่าจับมันมามัดไว้แบบนี้หมายความว่าอะไร?
ยังไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ เหมียวอี้กวาดตามองไปรอบๆ เห็นในโพรงถ้ำบนผนังหินที่อยู่ตรงหน้ามีแสงขมุกขมัวเปล่งออกมา เขาถลันตัวข้ามร่างมหึมาของกิ้งก่าเพลิง เข้าไปในโพรงถ้ำและตกลงในห้องหินห้องหนึ่ง
บนเพดานของห้องหินฝังไข่มุกราตรีไว้เม็ดหนึ่ง บนผนังหินที่อยู่ตรงข้ามมีภาพสลักสตรีทะยานฟ้าอีกแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้บนฝ่ามือนางถือกล่องโลหะที่เหมือนมณีแดงใบหนึ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าทำมาจากผลึกแดงที่มีความริสุทธิ์สูง
เมื่อมีประสบการณ์ครั้งแรกไปแล้ว เหมียวอี้ก็พุ่งเข้าหาเป้าหมายทันที พอกางนิ้วทั้งห้า กล่องใบนั้นก็หลุดฝ่ากำแพงออกมาตกอยู่ในมือของเขา
เมื่อได้ของมาไว้ในมือ ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะไม่กล้าเปิดกล่อง เขาถูกปั่นหัวจนกลัวแล้ว ภาวนาว่าอย่าให้เปิดมาเจอไอ้แผนที่บ้าๆ นั่นอีกเลย ถ้าเป็นแบบนั้นตนก็ไม่เล่นด้วยแล้ว โดนปั่นหัวเล่นถึงขั้นนี้ ถ้าเล่นต่อไปคงจะตายแน่
จะไม่เปิดก็ไม่ได้ เหมียวอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ดึงสลักออก เปิดฝาช้าๆ อย่างระมัดระวัง พอมองเข้าไปก็มึนหัวนิดหน่อย เป็นก้อนโลหะกลมสีดำอีกแล้ว! เหมียวอี้อยากจะทุ่มของที่อยู่ในมือเสียตรงนี้ แต่หลังจากเปิดฝาครอบออกจนสุด ก็พบว่าในกล่องมีของอย่างอื่นด้วย เป็นแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง
มันคืออะไร? เหมียวอี้รีบหยิบแผ่นหยกมาไว้ในมือ กรอกพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปอ่าน ทำให้ตาเป็นประกายลุกวาวทันที
ในแผ่นหยกเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ไว้หนึ่งแถว : เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน ดิน!
พออ่านเนื้อหาที่อยู่ข้างล่าง ก็พบว่าเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนจริงๆ เหมียวอี้เรียกได้ว่าน่าชื่นตาบาน ได้สมบัติมาไว้ในมือแล้ว!
แต่เขาก็ดีใจได้แค่ประเดี๋ยวเดียว สายตาไปหยุดอยู่บนก้อนโลหะกลมสีดำ พึมพำในใจว่า นี่มันแผนที่อะไรอีก? เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินคงไม่ได้แบ่งเป็นหลายส่วนหรอกใช่มั้ย? ท่านปู่ที่ซ่อนสมบัติ ท่านอย่าแกล้งข้าเล่นเชียวนะ!
เหมียวอี้หยิบก้อนโลหะกลมมาไว้ในมือ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจดู มันก็กางออกในฝ่ามือทันที เขากวาดสายตามองแวบหนึ่ง พบว่าเป็นแผนที่จริงๆ ยังเป็นภาพสตรีทะยานฟ้าที่นิ่มนวลอ่อนช้อย ตัวอักษร ‘ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด’ ก็ยังอยู่ แผนที่ดาวรวมทั้งแผนที่ซ่อนสมบัติที่แนบมาก็ยังอยู่เช่นกัน
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้เบิกตากว้างก็คือ ตัวอักษรสองตัวที่อยู่ด้านบนแผนที่ ‘อู๋’ กับ ‘ดิน’
เมื่อนำมารวมกับเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินที่อยู่ในมือ ก็เดาได้ไม่ยากว่าแผนที่ที่อยู่ในมือคืออะไร อย่าบอกนะว่าเป็นที่ซ่อนมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดิน?
การเชื่อมต่อของข้างหน้าและข้างหลังชัดเจนเกินไป จะไม่ให้สงสัยว่าเป็นมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินก็คงยาก
เหมียวอี้รู้สึกเร่าร้อนในใจ รีบนำแผนที่ฉบับสำเนาที่หมิงจ้าวให้ออกมา รวมทั้งกางแผนที่โลหะที่ทำให้หาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินพบ นำแผนที่ทั้งสามฉบับมาดูเปรียบเทียบด้วยกัน ยังคงทำตามวิธีการที่หมิงจ้าวสอน ค้นหาดาวหลักบนแผนที่ที่เพิ่งได้มา แล้วเทียบกันแผนที่อีกสองแผ่น แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรเหมือนกันเลย
ตอนนี้เหมียวอี้ปวดประสาทแล้ว เขาไม่มีทางแน่ใจได้ว่ามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่
“มารดาเจ้าเถอะ…” ท่านขุนนางเหมียวด่าแม่เสียเลย ไม่รู้ว่าคนซ่อนสมบัติสมองมีปัญหารึเปล่า ซ่อนไว้ที่เดียวกันก็สิ้นเรื่องแล้วมั้ย เปลืองแรงเอาไปซ่อนตรงนั้นที่ตรงนี้ที จักรวาลกว้างใหญ่ขนาดนี้จะให้ไปหาเจอได้อย่างไร
ตอนนี้เขาทั้งกังวลทั้งตั้งตาคอย ตั้งตาคอยเพราะอยากรู้ว่าภาคดินของหกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่ในมือคนซ่อนสมบัติหมดเลยหรือไม่ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เขาคงไม่กังวลไม่ได้แล้ว ถ้าเจ้าบ้าที่กินยาผิดนั่นมันซ่อนของทุกชิ้นแยกกัน จะไม่เหมือนเป็นการบังคับให้ตนต้องเที่ยวไขปริศนาไปทั่วพิภพใหญ่หรอกเหรอ
เขาไม่เข้าใจว่าผู้ซ่อนสมบัติทำเรื่องเปลืองแรงแบบนี้เพราะมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าจงใจทรมานคนหาสมบัติ? หรือว่ามีเจตนาอะไรอย่างอื่น?
อารมณ์ดีใจที่หาสมบัติเจอถูกแผนที่ฉบับใหม่ก่อกวนแล้ว หลังจากเก็บของ เขาถึงนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ สมบัติอย่างอื่นที่ราชันลัทธิมารซ่อนไว้ล่ะ? สิ้นเปลืองความพยายามไปมากขนาดนี้ คงไม่ได้ซ่อนของไว้อย่างเดียวหรอกใช่มั้ย?
ในห้องหินที่เล็กจนมองปราดเดียวก็เห็นทุกอย่าง มีตรงไหนบ้างที่สามารถซ่อนสมบัติอย่างอื่นไว้ได้ เหมียวอี้รีบร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจจนทั่ว ตรวจสอบทั้งข้างในข้างนอก รวมทั้งจุดที่กิ้งก่าเพลิงโดนล่ามด้วย ปรากฏว่าทุกที่มีแต่ผนังหินที่อัดแน่นทนทาน ไม่มีสมบัติอะไรอย่างอื่นซ่อนไว้เลย ไม่มีแม้แต่เงาทรัพย์สมบัติมหาศาลของราชันลัทธิมารที่เขาเฝ้าคอย
…………………………