และการล้อมกวาดล้างในตอนนี้ก็เข้าใกล้ตอนจบแล้ว ในป่าเหล็กเหลือเพียงพื้นที่เล็กๆ ตรงกลางเท่านั้น
“ชายหนุ่มที่ควงค้อนกล้าสู้ตายตัวต่อตัวกับข้ามั้ย!” เสียงตะโกนแหลมเล็กดังขึ้น
ขณะเผชิญหน้ากับกลุ่มธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่กำลังจะยิงโจมตี เสวี่ยอวี้ที่หลบจนถึงตอนสุดท้ายก็เปล่งเสียงแล้ว รู้แล้วเช่นกันว่าหลบต่อไปไม่ไหว
“หยุดมือ!” ตานฉิงที่อยู่บนฟ้าเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วตะโกนหยุดด้านล่าง ก่อนจะถือค้อนใหญ่ถลันตัวลงไป
เสวี่ยอวี้โผล่ออกมาจากดงเสาเหล็กแล้ว เผชิญหน้ากับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โดยรอบด้วยมือเปล่า แสดงออกว่าไม่ขัดขืน ถ้าจะฆ่าก็ฆ่าเลย
พอเดินมาตรงหน้าตานฉิง นางก็เงยหน้ายืดอก จงใจกล่าวยั่วยุ “เป็นผู้ชายก็ไม่ต้องอาศัยคนเยอะกว่า ถ้าเก่งนักก็มาสู้กับข้าตัวต่อตัว ถ้าเจ้าชนะก็ปล่อยข้าไป ถ้าข้าแพ้ก็จะยอมให้เจ้าฆ่าแกงตามอำเภอใจ?” นี่ก็คือข้อได้เปรียบของผู้หญิง และเป็นโอกาสสุดท้ายของนางเช่นกัน ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ต้องลองดูสักหน่อย
ที่สำคัญคือเมื่อครู่นางเพิ่งเห็นการต่อสู้บนท้องฟ้า พบว่าผู้ชายคนนี้สมกับเป็นลูกผู้ชายเกินไปแล้ว นางผ่านผู้ชายมาเยอะเกินไป รู้จักผู้ชายประเภทนี้อย่างลึกซึ้งและจับจุดอ่อนได้ว่าทักจะทนการการท้าทายไม่ไหว ทั้งยังมองออกด้วยว่าผู้ชายคนนี้มีตำแหน่งสูงในทัพใหญ่ เป็นคนที่พูดจำคำไหนคำนั้น
“เหอะๆ! ทำไมจะไม่กล้าล่ะ?” ตานฉิงเงยหน้าหัวเราะลั่น
เหมียวอี้ที่มองดูการต่อสู้สีหน้าดำมืดลงทันที
เสวี่ยอวี้ดีใจมาก รีบถามว่า “เจ้าพูดคำไหนคำนั้นนะ?”
“แน่นอน…” ตานฉิงยังพูดไม่ทันจบ ก็กวาดค้อนเข้าแล้วหนึ่งที เกิดเสียงดังปั้ง ทุบให้เสวี่ยอวี้กระเด็นออกไป
แกร๊ง! เสวี่ยอวี้ที่กระแทกกับเสาเหล็กออกแรงเยอะมากกว่าจะยืนให้มั่นคงได้ ในปากกระอักเลือดไม่หยุด เบิกตากว้างมองตานฉิงอย่างทำใจเชื่อได้ยาก นึกไม่ถึงว่าไอ้สารเลวนี่จะปากพูดดีแต่กลับลอบโจมตี นางพึมพำอย่างยากลำบากพร้อมฟองเลือดในปาก “เจ้าไม่ใช่ลูกผู้ชาย…”
เหมียวอี้ที่กำลังจ้องทางนี้พูดไม่ออกอีกครั้ง หักมุมพอสมควร
“นางหนูเอ๊ย ถ้าจะเล่นลูกไม้นี้กับพ่อ เจ้ายังอ่อนหัดไปหน่อย” ตานฉิงหัวเราะลั่น แล้วถลันตัวมาข้างหน้า ปักค้อนคู่ลงบนพื้น บีบคอเสวี่ยอวี้เอาไว้ แล้วสะบัดใบหน้าเล็กน้อย หนังปลอมบนใบหน้ากระเด็นออกไป เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา อ้าปากเผยฟันขาว หัวเราะหึหึอย่างด้วยน้ำเสียงพึลึก “ในปีนั้นตอนนี้ข้าสนุกกับอาจารย์เจ้า เจ้าก็เหมือนจะคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ นะ เพียงแต่อาจารย์เจ้ามีผู้ชายเยอะเกินไป ไม่รู้ว่าเจ้าจะยังจำข้าได้หรือเปล่า?”
“เจ้า…เจ้า…” เสวี่ยอวี้เบิกตากว้าง ใบดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ตกตะลึงพรึงเพริด ตกตะลึงไร้ที่เปรียบ “ตาน…ตานฉิง…”
“เจ้าสงสัยหรือเปล่าว่าข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ง่ายมากเลย ข้าจะตอบเจ้า! ฮ่าๆๆ…” หลังจากตานฉิงเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นก็ประกบริมฝีปากเสวี่ยอวี้ ดูดดื่มอย่างป่าเถื่อน แล้วจู่ๆ ก็เห็นไอมารจากปากกรอกเข้าปากเสวี่ยอวี้อีก ไอมารสีดำที่อบอวลออกมาจากร่างกายกรอกเข้าทวารทั้งเจ็ดของเสวี่ยอวี้ ร่างเสวี่ยอวี้ชักกระตุก ในขณะที่บาดเจ็บสาหัส นางอยากจะผลักเขาอย่างไรก็ผลักไม่พ้น
หลังจากดูดเป็นเวลานาน ปากสองปากก็แยกออกจากกัน ตานฉิงสูดหายใจลึก ไอหมอกสีดำแดงที่ปนกลิ่นคาวเลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเสวี่ยอวี้ จากนั้นถูกตานฉิงดูดลงท้อง ทำให้บาดแผลตรงท้องของตานฉิงสมานตัวอย่างรวดเร็วอย่างที่ตาเปล่าสังเกตเห็นได้
เสวี่ยอวี้ที่ตัวสั่นอย่างรุนแรงกลับเหี่ยวแห้งลงเร็วมากจนสังเกตเห็นได้ ใบหน้าและดวงตาเป็นหลุมลึก เมื่อครู่ยังเป็นผู้หญิงที่สวยหยดย้อยอยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวกลับกลายเป็นศพแห้งกรังร่างหนึ่ง สุดท้ายก็แน่นิ่งไม่ขยับตัวแล้ว
คนที่ได้เห็นฉากนี้ขนลุกขนชัน!
ตานฉิงแลบลิ้นเลียปากราวกับกินดื่มอิ่มแล้ว จากนั้นปล่อยร่างแห้งทิ้ง หัวเราะหึหึ มองมือถือค้อนใหญ่หมุนตัว
ศพแห้งของเสวี่ยอวี้ที่พิงบนเสาเอียงล้มอย่างช้าๆ ใครจะคิดว่าตานฉิงจะไม่ชายตามองเลยสักนิด ควงมือทุบค้อนใหญ่ไปข้างหลัง แกร๊ง! เป็นเกราะรบบนร่างเสวี่ยอวี้ที่โดนทุบ แต่กลับทำให้ศพแห้งในเกราะสะเทือนจนกลายเป็นผงปลิวออกมา เกราะรบอ่อนยวบตกลงกองบนพื้น คนเป็นคนหนึ่งเมื่อครู่นี้กลายเป็นควันสลายหายไปหมดสิ้นแล้ว
“วิปริต!” ไป๋เฟิ่งหวงกลอกตามองบน อดไม่ได้ที่จะพึมพำด่า
ศึกใหญ่จบแล้ว!
สำหรับกำลังพลของหกลัทธิ ศึกนี้ไม่ได้น่าหวาดเสียวเท่าไรนัก ไม่ได้ตระหนกตกใจอะไร ถึงขั้นไม่ได้บาดเจ็บอะไรด้วย
แน่นอน บาดแผลเล็กน้อยของตานฉิงก็ถูกเยียวยารักษาเองโดยการกระทำที่วิปริตของเขาแล้ว จะโทษคนอื่นไม่ได้ ยังมีตอนที่โดนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ครั้งสุดท้ายของเยี่ยนฉงโจมตี มีคนตายไปหลายสิบคน แต่สำหรับทัพใหญ่ทัพใหญ่หนึ่งล้าน ความเสียหายเล็กน้อยแค่นี้แทบจะสามารถมองข้ามไปได้เลย
ที่จริงนี่ก็คือผลลัพธ์ที่เหมียวอี้ต้องการ ต้องรีบแก้ไขปัญหา ถ้าลงมือแล้ว ก็ไม่อาจอยู่ที่นี่นานได้ นี่ก็คือความมั่นใจตั้งแต่ก่อนจะลงใอ
ที่จริงทัพใหญ่ทัพนี้ ไม่ว่าจะสู้กับกำลังพลกลุ่มไหนของตำหนักสวรรค์และแดนพุทธะก็ล้วนมีศักยภาพที่จะตัดสินแพ้ชนะได้ รับมือกับคนพวกนี้ง่ายราวกับหั่นผัก จะบอกว่าใช้มีดฆ่าวัวมาฆ่าไก่ก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป
ศึกใหญ่ถูกแก้ไขปัญหาไปอย่างนี้แล้ว อาศัยประโยชน์จากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เรียกได้ว่าควบคุมสถาการณ์ได้ทุกด้านจริงๆ โจมตีขณะยับยั้ง โจมตีจนอีกหลายฝ่ายไม่มีกำลังโต้ตอบ
แทบจะไม่ต้องเก็บกวาดอะไรบนสนามรบ เพราะกวาดล้างมาแล้วตลอดทาง แม้แต่ศพก็ไม่ให้เหลือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงของอย่างอื่นเลย
แต่พอตรวจค้นแล้วก็ยังพบอะไรนิดหน่อย ยังมีคนที่ยังไม่ตาย อิ๋งหยาง ฮ่าวอวิ๋นเทียน ก่วงเซิ่ง โค่วเหวินไป๋ พอถึงด่านสุดท้ายพวกเขาล้วนถูกปกป้องโดยลูกน้องคนสนิทของบรรดาอ๋องสวรรค์ คนพวกนั้นทำตัวสมกับเป็นลูกน้องคนสนิทของสี่อ๋องสวรรค์จริงๆ
เหมียวอี้ต้องการอิ๋งหยาง คนของหกลัทธิไม่รู้ว่าอิ๋งหยางเป็นใคร หลังจากสี่คนนี้ถูกหาพบจึงถูกควบคุมตัวเข้ามา
“ข้าเคยบอกแล้ว ถ้าไม่หมดหนทางจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยฝีมือของตัวเอง ใครใช้ให้เจ้าโอ้อวด? ต่อสู้เก่งนักใช่มั้ย? เก่งนักทำไมเสียใต้หล้าไปล่ะ? แล้วอีกอย่าง เมื่อครู่นี้เจ้าเพิ่งเผยโฉมหน้าที่แท้จริงไป ถ้าคนอื่นเห็นขึ้นมาจะทำยังไง?” เหมียวอี้เผชิญหน้ากับตานฉิง เอ่ยถามเสียงเย็น “คำสั่งข้าใช้ไม่ได้ผลแล้วใช่มั้ย?”
กุยอู๋ เหลิ่งจัวฉุน จ่างหง เมิ่งหรู อ๋าวเถี่ย ห้าคนนี้ดูเอาสนุกด้วยสีหน้าล้อเลียน
“สนใจแต่ความสะใจชั่วครู่ ขัดคำสั่งทหาร คนประเภทนี้จะทิ้งปัญหาให้ตามมาไม่รู้จักจบจักสิ้น ไปสู้ประหารไปเสียเลย” จ่างหงกล่าวอะไรแปลกๆ
“ใช่แล้วๆ”
“ประหารก็ดี”
“อื้ม ตบรางวัลและลงโทษให้ชัดเจนสิ”
“อามิตตาพุทธ เพื่อให้ถูกต้องตามกฎทหาร!”
อีกสี่คนได้ทีขี่แพะไล่ เหมือนกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวาย
ตานฉิงถลึงตามองพวกเขา แล้วสุดท้ายก็กุมหมัดขออภัยเหมียวอี้ “มีคนเป็นฝ่ายท้าทายก่อน ข้าน้อยหัวร้อนไปชั่วขระ รอบข้างถูกเก็บกวาดหมดแล้ว ไม่มีใครเห็นข้าด้วย…เอาเป็นว่าข้าน้อยผิดไปแล้ว ราชาปราชญ์ได้โปรดระงับโทสะ ต่อไปไม่บังอาจผิดกฎแน่นอน!” ที่เขาเผยโฉมหน้าแท้จริงให้เสวี่ยอวี้เห็น ก็เป็นการระบายอารมณ์อย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งหลังจากเก็บกดมานาน อยากจะให้คนรู้ว่าเขากลับมาแล้ว แดนอเวจีขังให้เขาตายไม่ได้หรอก
ราชาปราชญ์? เยี่ยนเป่ยหงกับไป๋เฟิ่งหวงที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก ราชาปราชญ์อะไรกัน? นี่มันเรื่องอะไร?
เหมียวอี้อยากจะประหารตานฉิงทิ้งจริงๆ แต่ก็รู้ว่าการประหารขุนพลใหญ่ในตอนนี้ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง จึงกัดฟันบอกว่า “จะปล่อยเจ้าไปครึ่งหนึ่ง ถ้ามีครั้งหน้านี้ ข้าไม่ให้อภัยแน่นอน!”
“ขอรับ! ขอบพระคุณราชาปราชญ์!” ตานฉิงค้อมกายขอบคุณซ้ำๆ อย่างว่านอนสอนง่าย
เหมียวอี้รู้ว่าเจ้าหมอนี่กำลังเสแสร้ง เมื่อครู่นี้ตอนหลอกเสวี่ยอวี้เขาก็เห็นชัดเจนแล้ว
“หึหึ…” ขุนพลใหญ่ที่เหลือแสยะหัวเราะ
“ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดล่ะ?” จู่ๆ เหมียวอี้ก็ยื่นมือไปหาพวกเขา
พวกเขาหัวเราะหัวเราะไม่ออกทันที ไม่ค่อยอยากจะเอาออกมาให้สักเท่าไร เดิมทีเตรียมจะกลับไปแล้วปรึกษากันอีกทีว่าจะแบ่งกันอย่างไร
ตานฉิงพึมพำ “ที่จริงก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แล้ว พลังงานที่ใช้ได้ก็ถูกสองพี่น้องแซ่เยี่ยนใช้ไปหมดแล้ว ถ้าจะใช้อีกยังต้องเติมพลังงานใหม่ นั่นยังต้องใช้เงินอีกไม่ใช่น้อยๆ ถึงจะเติมพลังงานได้”
เหมียวอี้ไม่ได้กังวลเรื่องนี้เลย ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ใช้ไม่ได้อยู่แล้ว รอให้ในภายหลังเขานำไข่มุกวิญญาณจำนวนมากออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ยังกลัวจะเติมพลังงานไม่ไหวอีกเหรอ ถึงตอนนั้นเมื่อบวกอานุภาพของไข่มุกวิญญาณไปด้วย มันถึงจะดุร้ายอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้นในมือเขาก็ยังมียาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดอยู่เม็ดหนึ่ง ถึงแม้ไม่อาจเติมพลังงานจนเต็มได้ แต่อานุภาพยามยิงลูกธนูไม่กี่ดอกก็ยังมีอยู่
“ราชาปราชญ์ ท่านบอกว่าของที่ได้จากการรบครั้งนี้จะให้หกลัทธิแบ่งกันไม่ใช่เหรอ?” เมิ่งหรูก็สงสัยเช่นกัน
“นอกจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์” เหมียวอี้ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาไม่มีทางเลือก สุดท้ายก็นำของออกมาแต่โดยดี บางคนนำลูกธนูออกมา บางคนนำคันธนูออกมา
เหลิ่งจัวฉุนที่ยื่นคันธนูถอนหายใจแล้วบอกว่า “ที่จริงศึกนี้ถ้าได้จับเป็นจะดีขนาดไหน สามารถหลอมยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดได้ไม่น้อยเลย น่าเสียดายแล้ว”
“ถ้าข่าวหลุดออกไป ถ้าปกป้องชีวิตตัวเองไม่ได้ แล้วจะเอาของมากกว่านี้ไปใช้ทำประโยชน์บ้าอะไรได้? ตราบใดที่ยังรักษาพลังไว้ได้ ในภายหลังยังจะไม่มีโอกาสรวยเชียวเหรอ?” เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด เขาย่อมรู้ว่าจับเป็นดีกว่า แต่การจับเป็นเปลืองแรงเกินไป แบบนั้นต้องสู้ไปจนถึงเมื่อไรกัน
ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาในเมื่อก่อน เป็นพวกที่มีวรยุทธ์บงกชขาวขั้นสามแต่กล้าไปแสวงหาความร่ำรวยที่ทะเลดาวนักษัตร แต่เขาในตอนนี้มีความคิดที่ต่างออกไปแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือสถานภาพไม่เหมือนกันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาก็ไม่ขาดแคลนเงินทอง ตราบใดที่ไม่ฟุ่มเฟือย ช่องทางรายได้ของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกก็เลี้ยงเขาได้อย่างไม่มีปัญหา
ในตอนนี้ อิ๋งหยาง ฮ่าวอวิ๋นเทียน ก่วงเซิ่ง โค่วเหวินไป๋ที่โดนค้นตัวจนเกลี้ยงถูกคุมตัวเข้ามาแล้ว ถูกกดให้นั่งคุกเข่าโดยมีดาบจ่อคอ
“พวกตานฉิงยืนแยกกัน หลีกทางให้เหมียวอี้”
อิ๋งหยางถามอย่างตกใจ “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่? พวกเจ้ารู้มั้ยว่าพวกเราเป็นใคร? ฝ่าบาททำกับพวกเราแบบนี้ได้ยังไง!”
เหมียวอี้ยืนอยู่ตรงหน้าคนพวกนี้ ไม่สนใจอิ๋งหยาง สายตาจ้องไปที่โค่วเหวินไป๋
โค่วเหวินไป๋ก็เป็นเหมือนชื่อ ใบหน้าซีดขาว ไม่เคยนึกมาก่อนว่าตัวเองจะตกต่ำถึงขั้นนี้
หลังจากสบตากับเหมียวอี้พักหนึ่ง ถึงแม้เหมียวอี้จะสวมหนังปลอมบนใบหน้า แต่เมื่อมองไปเรื่อยๆ โค่วเหวินไป๋ก็รู้สึกได้รางๆ ว่าคุ้นเคยกับดวงตาของเหมียวอี้มาก พอมองรูปร่างของเหมียวอี้อีกครั้ง แล้วนึกเชื่อมโยงกับใครบางคนที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางครั้งนี้ จู่ๆ เขาก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ ดวงตาสองข้างพลันเบิกกว้าง ดิ้นรนร่างกายพร้อมอุทานว่า “เป็นเจ้าเหรอ หนิว…”
ผลปรากฏว่าถูกคนข้างหลังกดไว้ ภายใต้การควบคุมของพลังอิทธิฤทธิ์ เขาเปล่งเสียงไม่ออกสักคำแล้ว แต่สายตาที่มองเหมียวอี้กับเต็มไปด้วยไฟโกรธ ขณะเดียวกันก็มีความเคลือบแคลงสงสัยมากมาย สรุปก็คือสีหน้าเหมือนคนใกล้จะเป็นบ้าประสาทเสีย
เหลิ่งจัวฉุนชี้อิ๋งหยาง “คนนี้เก็บไว้ ที่เหลือประหารให้หมด” ตอนที่จับตาดูอยู่ก่อนหน้านี้ เขาก็เคยเห็นอิ๋งหยางมาแล้ว รู้เช่นกันว่าเหมียวอี้ต้องการตัวคนนี้
ขณะอีกสามคนกำลังจะลากอีกสามคนไปประหาร ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับยกมือห้าม “ช่างเถอะ! เก็บไว้ก่อน บางทีตอนหลังอาจจะใช้ประโยชน์ได้” ยังไม่ต้องพูดถึงประโยชน์อย่างอื่น อย่างไรเสียอวิ๋นจือชิวก็ยังอยู่ที่จวนตระกูลโค่ว ถ้าตระกูลโค่วสังเกตได้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วเอาอวิ๋นจือชิวมาบีบ อย่างน้อยในมือเขาก็ยังมีไพ่อยู่ใบหนึ่ง
เป็นเพราะมีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นเหนือแผนการ เขานึกไม่ถึงว่าการใช้สำนักหลัวช่าล่อไพ่ลับของตระกูลอิ๋งจะทำให้อีกสามบ้านมาช่วยตระกูลอิ๋งด้วย จึงฆ่ากำลังพลของตระกูลโค่วไปแล้วโดยไรทางเลือก ทว่าการปะทะกับตระกูลโค่วอาจจะคุกคามความปลอดภัยของอวิ๋นจือชิว
ทั้งสี่คนถูกเก็บเอาไว้อย่างนี้แล้ว ทัพใหญ่หกลัทธิก็เริ่มรวมตัวกลับที่เดิมเช่นกัน
สำหรับกำลังพลทัพใหญ่หกลัทธิที่ได้ออกมา ภารกิจครั้งนี้นับว่าเสร็จสิ้นแล้ว แต่สำหรับเหมียวอี้ที่ยังถือระฆังดาราติดต่อกับฝั่งตลาดผีตลอด เขารู้อย่างลึกซึ้งว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้น การใช้กำลังพลของหกลัทธิจำนวนมากมาทำเรื่องในครั้งนี้ ที่จริงก็ไม่ได้อันตรายเท่าไรนัก เพราะอันตรายกับละครเด็ดที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้น
…………………………