พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1687 แปลกเกินไปแล้ว

ถึงแม้จะกล่าวอย่างนี้ โค่วหลิงซวีก็พยักหน้าเห็นด้วยแล้ว แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เหมียวอี้หลอกตบตาจนเลอะเลือน เขาหันกลับมากำชับโค่วเจิง “เจ้าไปที่ตลาดผีด้วยตัวเองสักรอบ ไปถามเขาต่อหน้าให้รู้เรื่อง ต้องทำให้เขาคายความจริงออกมาให้ได้”

“ขอรับ!” โค่วเจิงกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหันตัวเดินออกไป

เมื่อออกจากสวนมาแล้ว เขากลับไม่ได้รีบจากไปทันที แต่มารออยู่ในตึกศาลาที่อยู่ไม่ไกลนอกเรือนอวิ๋นเซวียน

หลังจากรอได้ครู่หนึ่ง สุยฉูฉู่กับอวิ๋นจือชิวพูดคุยยิ้มแย้มพลางเดินออกมาจากเรือนอวิ๋นเซวียน เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นจือชิวเดินออกนอกประตูมาส่งแขก

หลังจากแยกกัน สุยฉูฉู่ก็เดินกลับไป แต่ถูกคนดักไว้กลางทาง เชิญให้เข้าไปในศาลาหลังนั้น

พอสองสามีภรรยาเจอหน้ากัน ยังไม่ทันได้ทักทาย โค่วเจิงก็ถามทันทีว่า “สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรจากเจ้าเจ็ดมั้ย?”

สุยฉูฉู่ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับลูกชายตัวเองแล้ว เดิมทีก็มีเรื่องมากมายที่ตระกูลโค่วปิดบังผู้หญิง นางเองก็ได้รับข่าวจากโค่วเจิง ถึงได้มาหยั่งเชิงอวิ๋นจือชิว นางส่ายหน้า แล้วขมวดคิ้วตอบว่า “เป็นเรื่องปกติมาก ไม่ต่างอะไรจากปกติเลย ทั้งยังมอบเครื่องประดับชุดใหม่ให้ข้าด้วย ทำไมเหรอ เจ้าเจ็ดมีปัญหาอะไรเหรอ?”

“ไม่มีอะไร ข้ามีธุระต้องออกไปข้างนอก อยู่เป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว” โค่วเจิงยิ้มกลบเกลื่อน ยังคงปิดบังเรื่องลูกชาย

สุยฉูฉู่ก็กล่าวอำลาเช่นกัน ปกตินางไม่เข้ามาแทรกแซงงานในตระกูลโค่วอยู่แล้ว

รอจนกระทั่งนางเดินออกไปไกล โค่วเจิงก็จ้องเรือนอวิ๋นเซวียนครู่พักหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ตั้งแต่นี้ไป ไม่ว่าใครจะออกจากเรือนอวิ๋นเซวียนก็ต้องรายงานให้พ่อบ้านถังรู้ จับตาดูไว้ให้ดี!”

“ขอรับ!”ลูกน้องข้างหลังเอ่ยรับคำสั่ง

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางที่อยู่ระหว่างตึกศาลามีสีหน้าจริงจัง กำลังยืนพิงรั้วอยู่คนเดียว

ซูอวิ้นกำลังสั่งงานด่วนกับกลุ่มลูกน้องอยู่ชั้นล่าง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ขึ้นมา นางเดินมาข้างหลังฮ่าวเต๋อฟางแล้วรายงานว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันค่ะ แต่กำลังพลออกล่าที่ได้ข่าวรีบไปตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว”

เพี้ยะ! ฮ่าวเต๋อฟางใช้ฝ่ามือตีระเบียง แล้วกล่าวอย่างแข็งกร้าว “ข้าไม่เชื่อหรอกว่ารอบๆ สถานที่เกิดเหตุจะไม่มีพยานเลยสักคน ส่งคนไปหา”

“ส่งคนไปแล้วค่ะ” ซูอวิ้นตอบ

ฮ่าวเต๋อฟางบอกว่า “สำนักหลัวช่ามีเจตนาอะไรกับตระกูลอิ๋งกันแน่? ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่าว่าการลงมือครั้งนี้หนิวโหย่วเต๋อกับสำนักหลัวช่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่? ถ้าเกี่ยวข้อง ทำไมไปรวมกันอยู่ได้? รวมกันเละเทะเป็นก้อนกาก กลายเป็นอย่างนี้โดยไม่รู้สาเหตุ เล่นบ้าอะไรกันอยู่?” ในคำพูดเจือด้วยไฟโกรธหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจเป็นอย่างมากต่อเรื่องในครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคนตรงหน้าเป็นซูอวิ้น คาดว่าเขาคงตำหนิไปแล้วว่าเจ้าทำงานอย่างไร

ซูอวิ้นเข้าใจความรู้สึกเขา แดนพุทธเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว แต่กลับไม่รู้ชัดว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ แปลกประหลาดจริงๆ นางพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ส่งคนไปตรวจสอบแล้วค่ะ จะให้ติดต่อไปถามสำนักหลัวช่าโดยตรงเลยมั้ย?”

ฮ่าวเต๋อฟางเหมือนจะตระหนักได้ว่าตัวเองเสียอาการ จึงหันตัวมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ตอนนี้เรื่องราวเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ จะให้ถามอะไรล่ะ? ถามสำนักหลัวช่าเหรอว่าสู้กับตระกูลอิ๋งทำไม? หรือจะบอกอีกฝ่ายว่าพวกเรากับตระกูลอิ๋งร่วมมือกันสู้กับสำนักหลัวช่า? มิหนำซ้ำถ้าจะพาพวกไปเอาเรื่อง ก็ต้องให้สี่ตระกูลทำร่วมกัน ถ้ายังปรึกษากันไม่เรียบร้อย การให้ตระกูลฮ่าวของข้าออกหน้าสำรวจทางฝ่ายเดียวนั้นไม่เหมาะสม!”

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ในป่าภูเขาที่งดงามมีระดับ ก่วงลิ่งกงกันหวังเฟยเม่ยเหนียงไว้ชั่วคราว แล้วคุยกับพวกโกวเยว่ด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

เม่ยเหนียงหลบไปยืนอยู่ไม่ไกล ก่อนหน้านี้นางได้ยินสถานการณ์คร่าวๆ แล้ว ส่วนขั้นต่อไปจะแก้ไขปัญหาและดำเนินการอย่างไร ก่วงลิ่งกงกลับให้นางหลบไปก่อน

แต่สิ่งที่ได้ยินก่อนหน้านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เม่ยเหนียงชื่นมื่นในความทุกข์ของคนอื่นแล้ว นางพอจะฟังเข้าใจความหมายคร่าวๆ ว่ากำลังพลที่ออกล่าสัตว์จบเห่แล้ว ตอนนี้ติดต่อไม่ได้แล้ว แม้แต่ก่วงเซิ่งก็ยังไม่รู้ชัดว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน เป็นไปได้ก้าวในสิบว่าจะมีเคราะห์มากกว่ามีโชค

ผู้ชายกลุ่มนี้กำลังปรึกษาอะไรกันอยู่ นางไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซง นางสะบัดแขนเสื้อเบาๆ เดินลากกระโปรงยาวเนิบนาบ เรือนนางอ่อนช้อยเย้ายวน เดินมาถึงไหล่เขาแล้วชื่นชมทิวทัศน์งดงามที่อยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย แต่ในใจกลับยิ้มเย้ย นางเหม็นขี้หน้าเจ้าก่วงเซิ่งนั่นมาตั้งนานแล้ว อาศัยว่าตัวเองเป็นลูกชายคนโต จึงไม่เห็นหัวนางกับลูกสาวเลยสักนิด ถึงแม้การกระทำภายนอกจะไม่มีเจตนาร้าย แต่สายตาเหยียดหยามที่มองพวกนางสองแม่ลูกกลับปิดบังไม่ได้เลยสักนิด

ถ้าให้ก่วงเซิ่งรับตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลก่วงจริงๆ ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้เลยว่าในอนาคตพวกนางสองแม่ลูกจะมีสภาพเป็นอย่างไร คิดไปคิดมาก็รู้สึกกระวนกระวายใจ

ตอนนี้ดีแล้ว ดีไม่ดีอาจจะเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ! เม่ยเหนียงเงยหน้ามองเมฆขาวบนท้องฟ้า มุมปากโค้งยิ้มเล็กน้อย วันนี้อากาศดีจริงๆ!

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในตำหนักหลักของสวนด้านหลัง อิงอู๋หม่านได้แต่มองอิ๋งจิ่วกวงที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา

ตรงตีนบันไดนอกตำหนัก หลังจากจั่วเอ๋อร์คุยกับคนกลุ่มหนึ่งได้สักพัก ก็รีบกลับเข้ามาในตำหนัก รายงานว่า “ท่านอ๋อง ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่รู้สถานการณ์แน่ชัดเหมือนกัน กำลังพลออกล่าของเขากำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุ คนของพวกเรารีบตามไปแล้วค่ะ”

อิ๋งจิ่วกวงหยุดเดิน แล้วมองมาด้วยสายตาคมกริบ “ตระกูลอื่นก็ติดต่อไม่ได้สักคนเลยเหรอ?”

จั่วเอ๋อร์พยักหน้า “ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้ทุกคนของอีกสามตระกูลไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง มีเพียงนายน้อยหยางฝั่งพวกเราที่ติดต่อได้ แต่ยังไม่มีการตอบกลับ”

อิงอู๋หม่านกัลบแอบรู้สึกโชคดี พูดสอดว่า “ท่านพ่อ ถ้าเป็นแบบนี้ ลูกหยางโชคดีพ้นเคราะห์ ยังไม่ตาย ขอเพียงนำตัวลูกหยางกลับมาได้ ก็น่าจะรู้ความจริงในที่เกิดเหตุแล้ว” เขาหวังจะอาศัยอำนาจมหาศาลของตระกูลอิ๋งช่วยชีวิตลูกชายกลับมา

“พ้นเคราะห์บ้าอะไรล่ะ! ยอดฝีมือเยอะขนาดนั้นยังหนีไม่พ้น อย่าลูกชายเจ้าน่ะเหรอจะหนีพ้น?” อิ๋งจิ่วกวงกล่าวอย่างหยาบคาย เห็นได้ชัดว่าระบายไฟโกรธในใจ “เดิมทีข้าก็ยังสงสัยว่าหนิวโหย่วเต๋อดึงคนของสำนักหลัวช่าให้ลงมือได้ยังไง สงสัยว่าเข้าใจผิดไปหรือเปล่า ตอนนี้พอเห็นว่าเหลืออิ๋งหยางคนเดียวที่ไม่เป็นอะไร แสดงว่าเป้าหมายชัดเจนแล้ว ไม่ใช่ว่าพุ่งเป้ามาที่อิ๋งหยางหรอกเหรอ เรื่องนี้ไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อนั่นจริงๆ ถ้าอิ๋งหยางตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะปล่อยเขาไปได้เหรอ?”

บนใบหน้าอิงอู๋หม่านฉายแววดุร้าย กัดฟันบอกว่า “ข้าจะไปเอาตัวลูกกับหนิวโหย่วเต๋อที่ตลาดผีด้วยตัวเอง!”

“ช้าก่อน!” จั่วเอ๋อร์ยื่นมือขวาง บอกใบ้ว่าอย่ามะทะลุ แล้วถามกลับว่า “จะเป็นไปได้ยังไงที่สำนักหลัวช่าจะช่วยหนิวโหย่วเต๋อกำจัดอิ๋งหยาง? แล้วอีกอย่าง ถ้าหนิวโหย่วเต๋อต้องการจะฆ่าอิ๋งหยาง ทำไมถึงเก็บอิ๋งหยางไว้คนเดียวล่ะ? ไร้เหตุผลเกินไปจริงๆ! คุณชายใหญ่ไม่รู้สึกว่ามีเงื่อนงำหรือคะ?”

อิงอู๋หม่านทำสีหน้าไม่เข้าใจทันที เรื่องที่คนมากมายขนาดนั้นยังไม่เข้าใจ แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร

อิ๋งจิ่วกวงก็ปวดหัวเช่นกัน คิดจนหัวจะแตกแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรกันแน่ เรื่องที่เกิดขึ้นในการออกล่าที่น้ำพุวังเวงแปลกประหลาดจริงๆ วางกับดักไว้แล้วหนิวโหย่วเต๋อติดกับดักหรือไม่ก็ไม่รู้ ถึงอย่างไรก็ทำให้ตระกูลอิ๋งติดกับดักเองแล้ว ตอนนี้พวกจอมพล เทพประจำดาวที่อยู่ใต้สังกัดเขาล้วนรอฟังคำอธิบายจากเขา แต่ตอนนี้เขากำลังเลอะเลือน จะเอาอะไรไปอธิบายล่ะ?

เขาอยากจะส่งคนไปจับตัวหนิวโหย่วเต๋อที่ตลาดผีเสียเลย แต่นึกไม่ถึงว่าสำนักหลัวช่าจะใจกล้าคับฟ้าลงมือกับตระกูลอิ๋งในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีเค้าลางเลยแม้แต่น้อย ผิดปกติจริงๆ ไม่มีใครรู้ชัดถึงความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง กอปรกับคนมากมายขนาดนั้นขาดการติดต่อไป ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่รู้ว่าได้รับอนุญาตอย่างลับๆ จากท่านนั้นของวังสวรรค์หรือเปล่า ถ้าหากใช่ แล้วท่านนั้นของวังสวรรค์คิดจะทำอะไรล่ะ? เมื่อตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ดวงตาดำมืดตัดสินอะไรไม่ได้ เขาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามจริงๆ เพราะดีไม่ดีอาจจะกำลังสู้กับท่านนั้นของวังสวรรค์อยู่ก็ได้ ประมาทไม่ได้เด็ดขาด!

ถ้ากำลังสู้อยู่กับท่านนั้นของวังสวรรค์จริงๆ ถ้าแพ้ขึ้นมาก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ต้นไม้ล้มลิงกระเจิงได้[1] เกียรติยศความร่ำรวยทุกอย่างก็จะหายไปหมดสิ้น ถ้าเปรียบเทียบกับสิ่งนี้ ชีวิตของอิ๋งหยางหรือชีวิตของกำลังพลพวกนั้น หรือแม้กระทั่งหนิวโหย่วเต๋อ ก็ล้วนไม่สำคัญเลย

ไม่ใช่แค่เขา ตระกูลอื่นๆ ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ล้วนกำลังกดดันไปที่ตระกูลโค่ว หวังจะอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลโค่วกับหนิวโหย่วเต๋อ ดูว่าจะสืบได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่

ตระกูลโค่วย่อมส่งโค่วเจิงไปทำความเข้าใจสถานการณ์ด้วยตัวเองแล้ว เรื่องนี้หนิวโหย่วเต๋อไม่มีสิทธิ์อธิบายอย่างไม่ซื่อสัตย์

ถึงแม้จะเป็นเช่นกัน แต่สี่อ๋องก็ไม่กล้าหย่อนยาน รีบสั่งให้กำลังพลแต่ละกลุ่มของตัวเองเตรียมพร้อมเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ชั่วขณะนั้นทุกที่ของใต้หล้าล้วนเคลื่อนไหวกำลังพล กำลังพลจำนวนมากกำลังรวมตัวกัน หรือไม่ก็ยึดครองจุดยุทธศาสตร์ เตรียมพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ!

แดนสุขาวดี วัดพุทธะหยก ในตำหนักใหญ่บนยอดเขา ศิษย์สำนักหลัวช่ากลุ่มหนึ่งกำลังถือระฆังดาราติดต่อกับภายนอกอย่างเร่งด่วน

อวี้หลัวช่า พุทธะหน้าหยกที่สวมชุดขาวดุจหิมะและดูบริสุทธิ์เหมือนสาวน้อย นากำลังยืนอยู่ต่อหน้าบรรดาศิษย์ด้วยสีหน้ามืดครึ้ม นิ่งเงียบไม่พูดจา

นางได้รับรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นที่น้ำพุวังเวงชั้นห้าแล้ว รู้แล้วว่าถูกตระกูลอิ๋งโจมตี แล้วตอนหลังก็ถูกกำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ร่วมมือกันโจมตีด้วย ฝั่งนางกำลังครุ่นคิดที่จะผลักความผิดไปให้ฝั่งตำหนักสวรรค์ แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ พวกเสวี่ยอวี้กลับขาดการติดต่อไป ตัดขาดอย่างกะทันหันมาก เรียกได้ว่าทำให้ฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก

นางเดาว่ากำลังคนของตัวเองตายหมดแล้ว นางเตรียมตัวที่จะตีฝีปากกับฝั่งตำหนักสวรรค์แล้ว

หลังจากบรรดาศิษย์ทยอยกันหยุดใช้ระฆังดาราในมือ อวี้หลัวช่าก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ติดต่อไม่ได้สักคนเลยเหรอ?”

ศิษย์ทุกคนล้วนส่ายหน้า พวกนางต่างรู้สึกประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

หลังจากอวี้หลัวช่าเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ถามว่า “เม่ยจีศิษย์ของเสวี่ยอวี้นำลูกศิษย์ใหม่ระดับบงกชรุ้งติดตามข้างกายคนหนึ่ง นางชื่อว่าชางหง ถามข้างล่างดูหน่อยว่าใครสามารถติดต่อนางได้บ้าง?”

บรรดาศิษย์ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงเอ่ยถามถึงลูกศิษย์บงกชรุ้งคนหนึ่งได้ แต่ก็ยังปฏิบัติตาม ใช้ระฆังดาราถามลูกศิษย์ระดับล่างทันที

มีชื่อมีแซ่แล้ว เวลาจะสืบขึ้นมาก็ไม่ยาก ผ่านไปไม่นาน ลูกศิษย์คนหนึ่งก็ให้คำตอบแล้วว่า “พุทธะหยก ข้างล่างติดต่อกับอาจารย์ของชางหงแล้ว หลังจากอาจารย์นางติดต่อไป ก็พบว่าติดต่อนางไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ขาดการติดต่อเหรอ?” อวี้หลัวช่าถามซักไซ้อย่างตระหนก

ศิษย์คนนั้นไม่รู้ว่าทำไมนางถึงมีปฏิกิริยามากขนาดนี้ พยักหน้าบอกว่า “ใช่ค่ะ ตอบมาแบบนี้”

บหน้างดงามสุภาพที่เดิมทียังไม่สะทกสะท้านของอวี้หลัวช่า ในตอนนี้บิดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าจำไม่ผิด ชางหงแอบไปเกลือกกลั้วกับลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อเพื่อสืบข่าวแล้ว เรื่องที่น้ำพุวังเวงครั้งนี้ ชางหงก็เป็นคนให้ข่าวมา แต่ชางหงไม่ได้ไปน้ำพุวังเวงเลย ทำไมถึงขาดการติดต่อตามไปด้วยล่ะ?

ชั่วพริบตานี้ ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเสวี่ยอวี้ถึงโดนโจมตีกะทันหัน นี่เป็นกับดัก! นางรู้ตัวแล้วว่ามีคนขุดหลุมให้นางกระโดดลงไปในนั้น!

“เจ้านั่งเฝ้าอยู่ที่นี่ก่อน” อวี้หลัวช่าชี้ไปยังลูกศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ “คนที่เหลือตามข้ามา!”

ผ่านไปไม่นาน ในวัดพุทธะหยก คนกลุ่มหนึ่งก็เร่งเหาะขึ้นฟ้าไปแล้ว หายไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่

…………………………

[1] ต้นไม้ล้มลิงกระเจิง 树倒猢狲散 หมายถึง เมื่อฐานะตกต่ำ บรรดาลูกน้องก็จะตีจากและซ้ำเติม

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset