เขากำลังถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
ผังก้วน : ลูกชายคนรองของข้านำกำลังพลไป หลังจากตามกำลังพลของตระกูลฮ่าวไปน้ำพุวังเวง จนกระทั่งตอนนี้ทุกคนก็ขาดการติดต่อไปแล้ว เบื้องบนไม่ได้ให้คำอธิบายอะไรด้วย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงได้ถามเจ้า ฟังจากน้ำเสียงเจ้าแล้ว เหมือนเจ้าจะรู้อะไรมาบ้างใช่มั้ย?
เหมียวอี้ : ข้ารู้อะไรมาบ้างจริงๆ แต่เหมือนจะเหนือความคาดหมายของข้า ตอนนี้ข้าก็เลอะเลือนเช่นกัน ไม่มีทางบอกสิ่งที่ถูกต้องกับเทพประจำดาวได้
ผังก้วน : เจ้ายังมีอะไรที่ไม่สะดวกจะพูดอีกเหรอ?
เหมียวอี้ : ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้กับเทพประจำดาวยังไง เทพประจำดาวลองไปสืบจากขุนนางใหญ่คนอื่นๆ ของตำหนักสวรรค์ดูก็ได้
ผังก้วน : ไม่ต้องให้เจ้าบอกหรอก ข้าไปหามาแล้ว ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มาถามเจ้าหรอก…
หลังจากสื่อสารกันได้สักพัก เหมียวอี้ก็ตกตะลึง มองไปรอบห้องด้วยความงุนงง เขาไม่ค่อยกล้าเชื่อเท่าไร ในที่เกิดเหตุต่อสู้กันนานขนาดนั้น ต่อสู้กันดุเดือดขนาดนั้น กำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ไม่รู้เลยเหรอว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เด็กดีเอ๋ย สงสัยเล่นกันตั้งนานขนาดนั้น แต่สี่อ๋องสวรรค์ปิดข่าวไม่ให้กำลังพลเบื้องล่างสินะ คนเบื้องล่างไม่รู้เรื่องนี้!
ลองคิดไปคิดมาก็กระจ่างในฉับพลัน เหมือนจะเข้าใจอะไรแล้วนิดหน่อย
“หึหึ…” เหมียวอี้อดขำไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าจะปิดบังเรื่องนี้กับลูกน้องทุกคนแล้ว แต่ทุกคนล้วนไม่ธรรมดา เพราะเกี่ยวโยงถึงกำลังพลและลูกหลานของเทพประจำดาว เทพประจำดาวจำนวนมาก เขาเริ่มระบายความโกรธกับสี่อ๋องสวรรค์แล้ว ควรจะอธิบายกับเบื้องล่างอย่างไรดีล่ะ! ต่อให้สืบชัดเจนแล้ว แต่ก็คงไม่สะดวกจะพูดออกมาอยู่ดี!
ผังก้วนยังซักไซ้ : เจ้ารู้มากแค่ไหน?
เหมียวอี้ : เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้า ไม่รู้จะอธิบายกับเจ้ายังไงดี
ผังก้วน : เกี่ยวกับเจ้าเหรอ? เจ้ารู้มากแค่ไหนกันแน่?
เหมียวอี้ : เทพประจำดาว ก็อย่างที่ข้าบอก เรื่องนี้เหนือความคาดหมายข้าไกลมาก ตอนนี้ข้าก็กำลังเลอะเลือนเหมือนกัน ให้ข้าสืบให้ชัดเจนก่อนว่าเรื่องอะไรกันแน่ ถ้าข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะให้คำอธิบายกับเจ้า
พูดมาขั้นนี้แล้ว ผังก้วนก็ไม่กระจ่างเช่นกันว่าเรื่องอะไรกันแน่ ไม่อย่างนั้นจะต้องกดดันถามแน่นอน ตอนนี้ทำได้เพียงพุดด้วยดีๆ มีคำอธิบายก็ยังดีกว่าไม่มีคำอธิบาย กล่าวคำไหนคำนั้นว่า : ได้! ข้าจะรอฟังข่าวจากเจ้า
ในที่สุดก็รับมือกับผังก้วนได้แล้ว เหมียวอี้ที่รู้สึกผ่อนคลายเก็บระฆังดารา แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะหึหึ เลิกคิ้วเหล่ตาด้วยสีหน้าชั่วร้าย ปากพึมพำว่า : “เหนือความคาดหมาย เรื่องนี้ยิ่งนับวันยิ่งน่าสนใจ…”
หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาก็ออกจากห้องของตัวเอง เรียกสวีถังหรานออกจากประตูด้วยกัน ก่อนก้าวออกจากประตูยังถ่ายทอดเสียงชมสวีถังหรานด้วยว่า “ทำงานได้ไม่เลว!”
สวีถังหรานหรี่ตายิ้มทันที แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม “ทั้งหมดล้วนเป็นแผนอันชาญฉลาดของนายท่าน หากนายท่านไม่ได้คาดเดาไว้ล่วงหน้า ข้าน้อยคงตกหลุมพรางผู้หญิงคนนั้นไปนานแล้ว จะได้สร้างผลงานเสียที่ไหนกัน”
“ข้าบอกเจ้าได้เลย ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสำนักหลัวช่าเข้ามาแทรกแซงในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ เจ้าเองก็คงรู้ว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ยอมกลืนเรื่องนี้ให้ย่อยลงท้อง ดีกว่าหลุดปากพูดแม้แต่คำเดียว ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยชีวิตเจ้าไม่ได้หรอกนะ” เหมียวอี้กล่าว
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว” สวีถังหรานเอ่ยรับซ้ำๆ
ทว่าตอนออกประตูมากลับเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด มีแม่ทัพเกราะม่วงสี่คนตามมาแล้ว ตามหลังทั้งสองอย่างเงียบๆ
“ไม่ต้องตามแล้ว” เหมียวอี้โบกมือ คนของตึกศาลาสัตยพรตรออยู่ข้างนอก มีคนของตึกศาลาสัตยพรตปกป้อง ก็น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรที่ตลาดผี
ทว่าคำพูดของเขาในวันนี้เหมือนจะไม่ได้ผลเหมือนวันก่อนๆ แล้ว สี่คนนั้นยังตามอยู่เงียบๆ ทำให้เหมียวอี้ต้องหยุดเดินแล้วหันมามองช้าๆ มองสี่คนนี้เงียบๆ
สวีถังหรานเหล่ตามอง แล้วชี้หน้าตะคอกทั้งสี่ทันที “พวกเจ้าทำอะไรกัน? ไม่ได้ยินที่นายท่านบอกเหรอ?”
แม่ทัพหนึ่งในนั้นกุมหมัดคารวะ “เบื้องบนบอกว่าช่วงนี้เหตุการณ์ไม่ค่อยสงบ ให้พวกเราติดตามนายท่าน คอยปกป้องนายท่านทุกเมื่อ”
แม้แต่สวีถังหรานเองก็รู้ว่า ‘เบื้องบน’ ที่พวกเขาบอกไม่ได้หมายถึงตำหนักนารีสวรรค์แน่นอน แต่หมายถึงตระกูลโค่ว พอได้ยินว่าเป็นประสงค์ของตระกูลโค่ว เขาก็หุบปากทันที ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร
เหมียวอี้ฟังแล้วเข้าใจเช่นกัน เกรงว่าปกป้องตนคงเป็นเรื่องโกหก จับตาดูตนอย่างเป็นทางการต่างหากที่เป็นความจริง
ไม่น่าเชื่อว่าลูกน้องตัวเองจะจับตาดูตัวเองอย่างใจกล้าเปิดเผย เหมียวอี้เริ่มฉายแววดุร้าย จ้องทั้งสี่อย่างเย็นเยียบ
ส่วนทั้งสี่ก็ก้มหน้าเล็กน้อย รู้ว่าทำอย่างนี้ไม่เหมาะสม แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะตระกูลโค่วออกคำสั่งแล้ว
“ไปกันเถอะ!” สุดท้ายเหมียวอี้ก็ไม่ได้ทำให้สี่คนนี้ลำบากใจ หันตัวเดินต่อไป
เขารู้ว่าทำให้สี่คนนี้ลำบากใจก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตัวเองไม่กล้าต่อต้านตระกูลโค่วอย่างโจ่งแจ้งเช่นกัน นับประสากับพวกเขา ถ้าจะพูดชัดก็คือรากฐานของเขาที่พิภพใหญ่ยังตื้นเขินเกินไป ไม่มีกำลังพลของตัวเองให้ใช้งาน เลยต้องอาศัยกำลังคนของตระกูลโค่ว กำลังพลของหกลัทธิแดนอเวจีก็นำออกมาใช้งานอย่างเปิดเผยไม่ได้
ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ตราบใดที่ถูกควบคุมอยู่ภายใต้ตำหนักสวรรค์ของพิภพใหญ่ ไม่ว่าจะย้ายไปทางไหนก็ไม่มีทางรอดจากการควบคุมของอำนาจแต่ละใหญ่ฝ่ายได้เลย ตัวเองผงาดขึ้นเร็วเกินไป ทั้งยังย้ายไปทั่ว ไม่มีเวลาฝึกเลี้ยงกำลังพลของตัวเองเลย มีแค่ลูกน้องคนสนิทข้างกายไม่กี่คนเท่านั้น
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?”
ขณะเดินอยู่บนถนนในตลาดผี จู่ๆ เหมียวอี้ก็พบว่าตลาดผีวันนี้เหมือนแปลกไป ถนนของตลาดผีที่เคยมีกลุ่มคนสัญจรไปมาอย่างเงียบเงียบมาตลอด นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะดูค่อนข้างจ้อกแจ้กจอแจ มีคนไม่น้อยเหมือนกำลังเร่งเดินหนีไป เขาสงสัยนิดหน่อยว่าเกี่ยวข้องกับน้ำพุวังเวงหรือเปล่า จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ข้าน้อยมิทราบ” สวีถังหรานมองไปรอบด้านอย่างงุนงง ต่อให้เป็นคนของตึกศาลาสัตยพรตที่ตั้งใจมาต้อนรับก็มองไปรอบๆ อย่างแปลกใจเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าไม่รู้เรื่องรู้ราว
เหมียวอี้รีบเดินไปข้างหน้าด้วยความสงสัย กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิด กลัวมีคนโผล่มาสู้กับตน
ราบรื่นปลอดภัยตลอดทาง มาถึงตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ชีเจวี๋ยมาต้อนรับด้วยตัวเอง แล้วนำทางขึ้นไปบนตึกอย่างสุภาพ
ข้างหลังมีคนตามมาด้วยห้าคนรวมทั้งสวีถังหราน ต่อให้อยากจะตามอีกแต่ก็ทำไม่ได้แล้ว ถูกคนของตึกศาลาสัตยพรตกันไว้ไม่ให้เข้าไป ปล่อยเหมียวอี้เข้าไปคนเดียวเท่านั้น
ยังคงเป็นห้องส่วนตัวที่ใช้รับแขก เฉาหม่านยังคงจิบน้ำชาอย่างสบายใจ เมื่อเห็นเหมียวอี้เข้ามาข้างใน ก็ยิ้มบางๆ พร้อมยื่นมือเชิญให้นั่ง
ยังคงไม่ยืมมือใครอื่น เฉาหม่านรินน้ำชาให้แขกด้วยตัวเอง
หลังจากยกถ้วยน้ำชาจิบให้ชุ่มปาก เหมียวอี้ก็วางถ้วยน้ำชาลงแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าเถ้าแก่เชิญมาด้วยธุระอะไร?”
เฉาหม่านเป่าน้ำชา เหลือบตาขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “ได้ยินว่าการออกล่าที่น้ำพุวังเวงเกิดเรื่องนิดหน่อย ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพภาคเคยได้ยินมาบ้างหรือเปล่า?”
“เกิดเรื่องขึ้นเหรอ? จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้?” เหมียวอี้ถามเหมือนแปลกใจ
“เหอะๆ!” เฉาหม่านเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ออกล่าที่น้ำพุวังเวง ตระกูลอิ๋งมีจุดประสงค์อีกอย่าง วางกับดักหมายจะเชิญท่านลงโอ่ง[1] ผลปรากฏว่าขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ มีคนเชิญยอดฝีมือของสำนักพุทธมาลอบโจมตี เกิดศึกดุเดือด เรื่องเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของตำหนักสวรรค์และแดนพุทธ กำลังพลออกล่าของสี่อ๋องสวรรค์ก็เหมือนพี่น้องท้องเดียวกัน พากันไปช่วยเหลือ แต่ใครจะคิดว่าตั๊กแตนไล่จับตั๊กแตน นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง ตอนหลังมีกำลังพลกลุ่มใหญ่โผล่มาล้อมปราบ ฆ่ากำลังพลออกล่าหมดเกลี้ยง แม่ทัพภาคเป็นขุนนางระดับสูงสุดบริเวณแดนรัตติกาล ไม่ทราบว่านายท่านรู้มั้ยว่ากำลังพลกลุ่มสุดท้ายที่ปรากฏตัวคือใคร?”
นึกว่าตระกูลเซี่ยโห้วรู้ทุกอย่างจริงๆ เสียอีก พอเหมียวอี้ได้ยินว่า ‘เชิญยอดฝีมือของสำนักพุทธมาลอบโจมตี’ ก็รู้แล้วว่าเจ้าหมอนี่กำลังหยั่งเชิงตน ตัวเอง ‘เชิญ’ กำลังพลของสำนักพุทธเสียที่ไหนกันล่ะ เกรงว่าต่อให้อยากเชิญก็คงเชิญไม่ไหว ไม่มีทางที่อีกฝ่ายยอมรับปากช่วยตนลอบโจมตี
เขาเดาะลิ้นเหมือนตกตะลึง “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?”
“นายท่านไม่รู้จริงเหรอ?” เฉาหม่านเหล่ตา
“ไม่รู้จริงๆ” เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง
ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมรับ เฉาหม่านก็ไม่ได้กดดันเขาเช่นกัน ต่อมาทั้งสองก็พูดคุยสัพเพเหระ จากนั้นเหมียวอี้ก็เอ่ยขอตัวลา เฉาหม่านเองก็ไม่ได้รั้งไว้
เพียงแต่ตอนที่ลุกขึ้นเดินออกไป เหมียวอี้ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ หยุดเดินแล้วขมวดคิ้วถาม “เถ้าแก่ ข้าเห็นตลาดผีเหมือนจะวุ่นวายนิดหน่อยนะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า?”
เฉาหม่านลุกขึ้นยืนเช่นกัน เดินมาทอดสายตามองตรงหน้าต่าง หันหลังให้เขาพลางกล่าวอย่างเนิบนาบผ่อนคลาย “ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีกล่ะ ไม่พ้นเกี่ยวกับเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงอยู่แล้ว คนที่กล้าล้อมโจมตีกำลังพลออกล่าของสี่อ๋องสวรรค์มีไม่เยอะหรอก คนที่กล้าลงมือกับสี่ตระกูลนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ ทำให้คนอดคาดเดาไม่ได้ สี่อ๋องสวรรค์กลัวว่าท่านนั้นของวังสวรรค์จะลงมือกับพวกเขา กำลังเตรียมโจมตีกลับล่วงหน้า พอสี่อ๋องออกคำสั่ง ทัพใหญ่ในใต้หล้าก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน มีแนวโน้มน่าตกใจ ไม่ใช่แค่ตลาดผี เกรงว่าเกิดปฏิกิริยาทางตลาดสวรรค์เยอะมากเหมือนกัน…”
เขาไม่ได้ปิดบังเหมียวอี้ กลับเปิดเผยทุกอย่าง ทำให้เหมียวอี้ได้รู้ท่าทีและทิศทางการเคลื่อนไหวของบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์
ก็เป็นอย่างที่เขาบอก พอสี่อ๋องสวรรค์ออกคำสั่ง ทัพตะวันออก ทัพใต้ ทัพตะวันตก ทัพเหนือก็เริ่มเคลื่อนไหวเร็วมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มีประสิทธิภาพกว่าบัญชาจากวังสวรรค์เสียอีก จะเห็นได้ว่ายามปกติเวลาทำงานไม่ราบรื่นเป็นอย่างไร ชั่วขณะนั้นทำให้ทั้งใต้หล้าเหมือนเกิดกระแสคลื่นซัดสาด คนกลัวแม้กระทั่งเสียงลมเสียงนกร้อง!
ความเคลื่อนไหวนี้เป็นเค้าลางที่ไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทุกคนตกอยู่ในอันตราย แต่ลำนักรีบเรียกลูกศิษย์ตัวเองกลับสำนัก ต่อให้เป็นนักพรตอิสระที่ได้ยินข่าวก็รีบกลับรังเช่นกัน หรือไม่ก็ข้าที่ซ่อนตัว
สถานที่ที่เกิดปฏิกิริยาตรงไปตรงมาที่สุดก็คือตลาดสวรรค์ ลูกค้าที่สัญจรไปมาหายไปเร็วมาก ร้านค้ามากมายที่ไม่รู้สถานการณ์ปิดร้านแล้ว ใช้เวลาไม่นานก็ทำให้ตลาดสวรรค์ที่เจริญรุ่งเรืองกลายเป็นตลาดเงียบเหงาซบเซา
สิ่งนี้ล้วนเกิดขึ้นทีหลัง
ส่วนที่วังสวรรค์ตอนนี้ ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงกำลังนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะยาวด้วยสีหน้าดำมืด สองมือวางจับข้างโต๊ะยาวไม่ขยับไปไหน จ้องไปนอกตำหนักด้วยสายตาเย็นเยียบ
ซ่างกวนชิงรอฟังคำสั่งอยู่ข้างกายด้วยสีหน้าตึงเครียด โดยซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนยืนอยู่เบื้องล่าง
สภาพของทั้งสามไม่ค่อยดีสักเท่าไร ซ่างกวนชิงเสื้อผ้ายับไม่เรียบร้อย ซือหม่าเวิ่นเทียนยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่หน้าผากเป็นระยะ ส่วนเกาก้วนยังดีหน่อย แต่ก็เม้มปากแน่นด้วยสีหน้าเครียดขรึม
ในตำหนักเงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพื้น บางครั้งก็ได้ยินเสียงประมุขชิงสูดหายใจลึก สายตาของประมุขชิงเหมือนต้องการจะกินคนได้
สี่อ๋องสวรรค์เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ จะไม่ให้วังสวรรค์รู้ก็คงยาก กำลังพลกลุ่มใหญ่ขนาดนี้เคลื่อนไหวเองโดยไม่ผ่านคำสั่งวังสวรรค์ ทั้งยังเฝ้าหรือรักษาการณ์จุดยุทธศาสตร์เตรียมโจมตีไม่หยุด ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ทั้งวังสวรรค์ตึงเครียดแล้ว
นี่คิดจะทำอะไรกัน? คิดจะก่อกบฏเหรอ?
ฝั่งวังสวรรค์ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สี่อ๋องสวรรค์ล้วนตอบเหมือนกัน กำลังฝึกกำลังพล!
ฝึกกำลังพลบ้าบออะไรล่ะ ประมุขชิงเชื่อได้ก็แปลกแล้ว ดูแล้วเหมือนทหารก่อกบฏมากกว่า!
ผ่านไปไม่นาน ความเงียบในตำหนักดาราจักรก็ถูกทำลาย ด้านนอกมีเสียงเกราะรบเคลื่อนไหว
ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายโพ่จวิน ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวาอู๋ฉวี่มาพร้อมก้น ก้าวเข้ามาในตำหนักด้วยกัน
ทั้งสองมีสีหน้าจริงจัง เปลี่ยนใส่เกราะรบสีสว่างสดใสอย่างที่พบเห็นได้ยาก ผ้าคลุมบ่าปลิวตามแรงลม
ข้างหลังทั้งสองมีคนเดินตามเข้ามาสองแถว ผู้ตรวจการใหญ่สิบแปดคนจากยี่สิบคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา นอกจากอีกสองคนที่ติดเฝ้าเวรยามอยู่ ที่เหลือก็มากันหมดแล้ว ก้าวตามหลังผู้บัญชาการองครักษ์ทั้งสองเข้ามาเยี่ยงมังกรราชสีห์ แต่ละคนมีท่าทางดุร้ายน่ากลัว!
…………………………
[1] เชิญท่านลงโอ่ง 请君入瓮 หมายถึงติดกับดักตัวเอง