พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 962 ทหารเลวของตำหนักสวรรค์

บทที่ 962 ทหารเลวของตำหนักสวรรค์

สมเหตุสมผล ท่าทีแบบนี้ทำให้โค่วเหวินหลานพอใจมาก จึงพยักหน้าเบาๆ พร้อมถามว่า “สองเรื่องนี้เดี๋ยวข้าจะลองจัดการดู แล้วเรื่องสุดท้ายล่ะ?”

“เรื่องสุดท้ายผู้น้อยโดนกดดันจนหมดหนทางจริงๆ สมาคมวีรชนมีอำนาจมาก หวังว่าผู้บัญชาการโค่วจะบอกกล่าวสมาคมวีรชนสักหน่อย ไม่ให้พวกเขากลั่นแกล้งผู้น้อยอีก!” เหมียวอี้ตอบด้วยรอยยิ้มขื่นขม

“บอกกล่าว? บอกกล่าวอะไร? เป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างพวกเจ้า พวกเขาไม่ได้ทำเรื่องอะไรผิดกฎสวรรค์ จะให้ข้าไปบอกกล่าวอะไร?” โค่วเหวินหลานยืนขึ้นพูด “รออีกไม่กี่วันหรอก รอให้เจ้าได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์ สมาคมวีรชนย่อมไม่กล้าแตะต้องเจ้าแล้ว”

“แต่ข้าได้ยินมาว่าสมาคมวีรชนมีความสามารถไม่น้อย” เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง

โค่วเหวินหลานทำสีหน้าดูถูกทันที “ต่อให้มีความสามารถกว่านี้ก็เป็นแค่พวกพวกหัวมังกุท้ายมังกร ตำหนักสวรรค์คือที่ที่พวกพวกหัวมังกุท้ายมังกรอย่างพวกเขาจะยื่นมือเข้ามาได้เหรอ? ถ้าทำผิดกฎจนฝูงชนไม่พอใจ ไม่ว่าใครก็ปกป้องพวกเขาไม่ได้ทั้งนั้น เจ้าให้พวกเขาลองยื่นมือเข้ามาสิ!”

ในเมื่ออีกฝ่ายกล่าวแบบนี้แล้ว เหมียวอี้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตรงไปตรงมามาก เขียนสัญญาโอนหุ้นให้ตรงนั้นเลย แล้วใช้สองมือยื่นให้พร้อมสัญญาที่สำนักลมปราณลงนามให้ “ท่านผู้บัญชาการ นี่คือหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรง ท่านผู้บัญชาการได้โปรดรับไว้!” ภายนอกดูใจกว้างซื่อสัตย์ แต่ในใจเหมือนมีเลือดไหล

ตรงไปตรงมาขนาดนี้เชียวเหรอ? โค่วเหวินหลานเหล่ตามองเขา รับแผ่นหยกมาอ่านดูรายละเอียด หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็แกว่งไกวแผ่นหยกในมือพร้อมถามว่า “ให้ข้าตอนนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะเบี้ยวสัญญาทีหลังเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบตรงๆ ว่า “ผู้บัญชาการโค่วไม่เหมือนผู้บัญชาการเซี่ยโห้วเสียหน่อย!”

โค่วเหวินหลานอึ้งทันที หลังจากเข้าใจความหมายแล้ว เขาก็ชอบการเปรียบเทียบนี้ ถือผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาป้องปากหัวเราะทันที “ช่างเถอะ รออีกไม่กี่วันหรอก อีกไม่นานเรื่องของเจ้าจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว”

เหมียวอี้กุมหมัดถามหยั่งเชิงอีกว่า “ไม่ทราบว่าว่าจะให้ข้าพักอยู่ในจวนของผู้บัญชาการโค่วสักสองสามวันได้หรือไม่ ผู้บัญชาการเซี่ยโห้วนั่นเชื่อฟังผู้จัดการร้านหวงฝู่มาก ผู้น้อยกังวลนิดหน่อย” ขณะที่พูด เขาก็สังเกตสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายไปด้วย

ก็ช่วยไม่ได้ เพราะท่านที่อยู่ตรงหน้าก็ตามจีบหวงฝู่จวินโหรวเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้กำเริบเสิบสานเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิง ถ้าเทียบเรื่องวางอำนาจบาตรใหญ่ ท่านนี้ถือว่าสงบเสงี่ยมมาก ทำให้คนเดาท่าทีไม่ค่อยถูก มองไม่ออกเลยว่าเขาคือคนที่ตามจีบหวงฝู่จวินโหรว ถึงขั้นเห็นเขาใกล้ชิดติดต่อกับหวงฝู่จวินโหรวน้อยมาก ชอบหวงฝู่จวินโหรวมากขนาดไหนกันแน่ เขาต้องใช้คำพูดหยั่งเชิงสักหน่อย ถ้าพบความไม่ชอบมาพากล จะได้ถือโอกาสเตรียมแผนการอีกอย่างไว้ ถือว่าใช้คำพูดยั่วโมโหโค่วเหวินหลาน หวังว่าท่านนี้จะไม่ตกอับเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิง

ที่พิภพใหญ่ เหมียวอี้เป็นแค่ตัวละครเล็กๆ ที่ไร้ค่า แถมกำลังอยู่ในอันตรายด้วย ถ้าอยากจะลงหลักปักฐาน แต่ไม่ขยันไปมาหาสู่อย่างระมัดระวังก็คงไม่ได้!

เมื่อได้ยินแบบนั้น โค่วเหวินหลานก็เรียกได้ว่ายิ้มอย่างเริงร่า พยักหน้าบอกว่า “สงสัยเจ้าจะได้ประสบการณ์เรื่องความร้ายกาจของหมีควายเซี่ยโห้วมาแล้ว ก็ได้ เจ้าพักอยู่กับข้าก่อนก็ได้ รอให้ได้คำสั่งแต่งตั้งแล้วค่อยว่ากัน”

เมื่อเห็นเขามีท่าทีแบบนี้ เหมียวอี้ก็วางใจลงไม่น้อย แต่ในใจกลับยังสงสัยนิดหน่อย

ตรงนี้เพิ่งจะคุยจบ ทหารยามที่เฝ้าอยู่ข้างนอกก็วิ่งเข้ามารายงานแล้ว “รายงานผู้บัญชาการ ผู้จัดการหวงฝู่ของร้านค้าสมาคมวีรชนมาขอพบขอรับ”

“เชิญเข้ามา!” โค่วเหวินหลานพยักหน้า แล้วบอกเหมียวอี้ทันทีว่า “พี่หนิว คู่แค้นของเจ้ามาแล้ว พวกเรามานั่งคุยพร้อมกันเลยเถอะ”

ทั้งสองออกไปข้างนอกทันที เพิ่งจะเดินมาถึงลานบ้านด้านนอก เกี้ยวหลังหนึ่งก็ถูกหามเข้ามาแล้ว

ทั้งสองหยุดฝีเท้า เกี้ยววางลงพื้นแล้วเช่นกัน หวงฝู่จวินโหรวเรือนร่างอ้อนแอ้นแหวกม่านก้าวออกมา ยังคงสวยสดใส ทวงท่าสง่างาม ย่อมดึงดูดสายตาทหารยามรอบๆ ให้แอบมองมา

สายตาของหวงฝู่จวินโหรวหยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้ครู่หนึ่ง เหมียวอี้สบตากับนาง ในดวงตาฉายแววสับสนนิดหน่อย

โค่วเหวินหลานรีบก้าวเข้ามา ถามด้วยท่าทางดีใจมากว่า “จวินโหรว เจ้ามาได้อย่างไร!”

“ผู้บัญชาการโค่ว!” หวงฝู่จวินโหรวคำนับเล็กน้อย แล้วก็ยิ้มให้เหมียวอี้ “ที่แท้ฆราวาสก็อยู่ด้วยเหมือนกัน”

รู้อยู่แก่ใจแต่แกล้งโง่ชัดๆ เหมียวอี้พยักหน้าอย่างเย็นชา “ผู้จัดการหวงฝู่!” แล้วหันตัวไปทางโค่วเหวินหลาน แสดงท่าทีเหมือนจะหลบเลี่ยง

ใครจะคิดว่าหวงฝู่จวินโหรวจะยื่นมือเข้ามาขวาง “สหายเก่าพบหน้ากัน มานั่งคุยกันสักหน่อยสิ!”

โค่วเหวินหลานกระตุกคิ้วเล็กน้อย ถือผ้าเช็ดหน้าป้องปากหัวเราะ แล้วยื่นมือเชิญ ทั้งสามกลับเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้ง ย่อมมีคนนำน้ำชามาวางให้

แต่เห็นได้ชัดว่าหวงฝู่จวินโหรวกับเหมียวอี้ไม่อยากแตะต้องอาหารและเครื่องดื่มของที่นี่ จึงพุ่งเข้าประเด็นหลักทันที โค่วเหวินหลานยิ้มพร้อมถามว่า “จวินโหรว ปกติเจ้าไม่ค่อยมาหา ครั้งนี้เจ้ามาด้วยธุระอะไรเหรอ?”

หวงฝู่จวินโหรวชำเลืองสายตาไปทางเหมียวอี้ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ที่นี่ก็ไม่มีคนนอก คนสง่าผ่าเผยไม่พูดอะไรคลุมเครือ หนิวโหย่วเต๋อ สมาคมวีรชนก็ไม่ได้อยากจะกดดันมากเกินไปหรอก ถ้าเจ้ามอบส่งหุ้นสองส่วนนั้นมาเสียตอนนี้ ข้ารับรองว่าสมาคมวีรชนจะไม่ไปหาเรื่องเจ้าอีก ทางปีศาจโลหิตก็จะวางมือเช่นกัน ต่อไปเจ้าจะไม่พบปัญหาอะไรอีก สมาคมวีรชนจะช่วยสงเคราะห์ให้ ทำแบบนี้ดีสำหรับทุกคน!”

เหมียวอี้ไม่พูดอะไรทั้งนั้น โค่วเหวินหลานหัวเราะเบาๆ แล้วตอบแทนว่า “ข้าก็นึกว่าเจ้ามาหาข้า ที่แท้ก็มาเพราะเรื่องหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำ! จวินโหรว เจ้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำอยู่ในมือข้าแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่หนิวแล้ว ถ้าอยากจะได้ก็บอกข้ามาตรงๆ ขอแค่เจ้าเต็มใจ ข้าย่อมมอบให้ด้วยความเคารพ!” ขณะที่พูดก็นำแผ่นหยกสองแผ่นให้นางอ่าน

หลังจากหวงฝู่จวินโหรวรับมาอ่าน นางก็แอบกัดฟันเงียบๆ พอได้ยินว่าเหมียวอี้มาที่นี่ นางก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว แต่ใครจะคิดว่ามาช้าไปก้าวหนึ่ง นางมองเหมียวอี้ด้วยแววตาคับแค้น ผู้ชายคนนี้ยอมให้คนอื่นเอาเปรียบ แต่ไม่ยอมให้นางเอาเปรียบ!

“โค่วเหวินหลาน เจ้าจะให้ข้าเปล่าๆ เชียวเหรอ?” นางฝืนยิ้มเล็กน้อย

“เจ้าก็รู้ว่าข้าต้องการอะไร แต่งงานกับข้าสิ!” โค่วเหวินหลานยิ้มตอบ

ต่ำช้า! เหมียวอี้แอบดูถูกในใจ

ใครจะคิดว่าหวงฝู่จวินโหรวจะส่งสายตามาหาเขา แล้วยิ้มอย่างสนิทสนม “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าคิดว่าข้าแต่งงานกับผู้บัญชาการโค่วเพื่อแลกกับหุ้นสองส่วนนั่นดีไหม?”

คนนอกฟังไม่ออกถึงคำพูดที่ซ้อนอยู่ในคำพูด คงมีเพียงสุนัขตัวผู้และสุนัขตัวเมียคู่นี้ที่เข้าใจความหมายแฝงดีที่สุด เหมียวอี้เริ่มระวังตัวสุดๆ ปั่นป่วนใจมาก กลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา จึงหัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “เรื่องแบบนี้ ความเห็นของข้าไม่สำคัญหรอก”

“เฮ้อ!” หวงฝู่จวินโหรวถอนหายใจ แล้วหันไปหาโค่วเหวินหลาน คืนแผ่นหยกสองแผ่นกลับไป “นี่เจ้ากำลังกลั่นแล้งข้ารึเปล่า? โค่วเหวินหลาน เจ้าคงจะเข้าใจนะ ว่าสมาคมวีรชนไม่ได้ต้องการของสิ่งนี้ คนจากเบื้องบนต่างหากที่ต้องการ เจ้ามาเป็นก้างขวางคอแบบนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง?”

โค่วเหวินหลานตอบกลั้วหัวเราะว่า “คนไม่เอาไหนอย่างเซี่ยโห้วได้มาไว้ในมือแล้วสองส่วน ตระกูลเซี่ยโห้วน่าจะพอใจแล้วล่ะ เบื้องบนได้กินเนื้อ ก็ต้องเหลือน้ำไว้ให้คนข้างล่างกินบ้างสิ? จะให้ฮุบคนเดียวจนคนข้างล่างอดกินเหรอ หลักการนี้ฟังขึ้นที่ไหนกัน ต่อให้เป็นราชันสวรรค์ก็ทำเรื่องพรรค์นั้นไม่ได้หรอก ดังนั้นเจ้าไม่ต้องอ้างท่านนั้นมากดดันข้า ข้าตำแหน่งต่ำต้อย ไม่พอให้เจรจาเรื่องพวกนี้หรอก เจ้าลองให้ท่านนั้นไปเจรจากับท่านผู้เฒ่าบ้านข้าดูสิ หากท่านนั้นไม่กระดากใจที่จะเอ่ยปาก ข้าว่าท่านผู้เฒ่าบ้านข้าก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธเหมือนกัน”

อีกฝ่ายพูดถึงขั้นนี้แล้ว หวงฝู่จวินโหรวเองก็รู้ว่าตัวเองพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ โค่วเหวินหลานบอกเป็นนัยอย่างชัดเจนมากแล้ว เจ้าตัวไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องแบบนี้ ที่บอกว่าถ้านางแต่งงานกับเขาแล้วเขาจะให้หุ้นนาง ล้วนเป็นคำพูดที่เลื่อนลอยทั้งนั้น

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว” หวงฝู่จวินโหรวยืนขึ้น แล้วพูดกับเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้มว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวหน่อย!”

โค่วเหวินหลานลุกขึ้นแล้วยื่นมือเชิญ “ทั้งสองเชิญตามสะดวก!” พูดจบก็ยิ้มพร้อมหันตัวเดินออกไป ของมาตกอยู่ในมือเขาแล้ว เขาไม่กลัวว่าหวงฝู่จวินโหรวจะเปลี่ยนแปลงอะไร

ในห้องโถงไม่มีคนอื่น ดวงตาหวงฝู่จวินโหรวแฝงความคับแค้น ก้าวช้าๆ เข้าไปประชิดเหมียวอี้ เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ ถามว่า “ผู้จัดการหวงฝู่มีอะไรจะชี้แนะ?”

หวงฝู่จวินโหรวยืนอยู่ตรงหน้าเขาในระยะที่ใกล้มาก ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว คืนนี้จะไปนอนค้างกับข้ามั้ย?”

คิดถึงข้าเหรอ? เจ้าคิดจะฆ่าข้าน่ะสิไม่ว่า? เหมียวอี้ทำสีหน้าไม่ถูก เดินถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “เรื่องระหว่างเรา… ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไปเถอะ”

“เจ้าก็พูดได้สบายปากนี่ เจ้าทำลายความบริสุทธิ์ของข้าไปแล้ว เจ้าย่อมปล่อยผ่านไปได้ แต่ต่อจากนี้เจ้าจะให้ข้าใช้ชีวิตอย่างไร?” หวงฝู่จวินโหรวค่อยๆ ก้าวเข้ามาประชิด ยอดเขาที่อิ่มเอิบทั้งคู่ประชิดเข้ามา

ถ้าให้คนอื่นเห็นภาพนี้คงแย่แน่ เหมียวอี้รีบมองซ้ายมองขวาแล้วถอยหลัง พลางตอบอย่างกินปูนร้อนท้องว่า “เจ้าก็รู้ดีว่าที่นี่คือที่ไหน นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเจ้านะ”

“ไร้มโนธรรม!” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวอย่างคับแค้นใจ แต่ไม่สะทกสะท้าน ประชิดเข้าหาเขาจนติดมุมผนัง ประชิดจนเขาหมดทางถอย ยอดเขาสองข้างกดอยู่ที่หน้าอกของเขาแล้ว นุ่มเด้งจนน่าทึ่ง

ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว! เหมียวอี้ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังเสพสุขกับวาสนาทางความรักเลยสักนิด กลับทำสีหน้าตกใจกลัว เพราะมันผิดที่ผิดเวลาจริงๆ

ผู้ชายกลัวอะไรที่สุดรู้มั้ย? กลัวจะเจอผู้หญิงที่อยากจะสลัดทิ้งแต่สลัดไม่หลุดไง!

ตอนที่เพิ่งคิดจะถลันตัวหนีไป ก็โดนแขนสองข้างของหวงฝู่จวินโหรวคล้องคอไว้แล้ว กอดไว้เต็มอก เรือนร่างอ่อนนุ่มหอมกรุ่น กลิ่นกายหอมโชยเข้าจมูก ริมฝีปากแดงสวยเข้ามาประกบโดยตรง ลิ้นหอมสอดแทรกเข้ามาในปาก

เหมียวอี้พยายามผลักนางออก แต่กลับรู้สึกเจ็บที่ริมฝีปาก

พอกัดจนริมฝีปากเขามีเลือดสดไหลออกมา หวงฝู่จวินโหรวถึงได้ผลักออก ใช้ลิ้นเลียรอยเลือดที่ริมฝีปากตัวเอง จากนั้นก็ไม่รอให้เหมียวอี้ด่า หันตัวเดินออกไปทันที

“เจ้า…” เหมียวอี้พูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง รีบนำสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมารักษาแผล

แผลเล็กนิดเดียว สมุนไพรเซียนย่อมรักษาได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่กลับไม่อาจปิดบังรอยเลือดบนริมฝีปากได้ ตอนที่โค่วเหวินหลานโผล่มาอีกครั้ง ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “พี่หนิว ทำไมที่ปากมีรอยเลือด?”

เหมียวอี้ทำหน้านิ่งพลางบุ้ยปากตอบ “โดนผู้หญิงคนนั้นชกหมัดหนึ่ง!”

“กล้าลงมือที่จวนข้า ผู้หญิงคนนี้ช่างไม่รู้จักแยะแยะความสำคัญ!” โค่วเหวินหลานขมวดคิ้ว แล้วบอกอีกว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ จัดการเรื่องตำแหน่งขุนนางที่เจ้าขอก่อนดีกว่า ตอนนี้วรยุทธ์เจ้าสูงเท่าไร?”

เหมียวอี้ยกมือเช็ดโคลนซ่อนจิตตรงกว่างคิ้ว เผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง…

โค่วเหวินหลานมีอำนาจมากจริงๆ หลังจากนั้นสองวัน ยังไม่ทันมีการตรวจสอบอะไรเพิ่มเติม เบื้องบนก็อนุมัติเรื่องรับเหมียวอี้เข้ากับตำหนักสวรรค์แล้ว เหมียวอี้ไม่ได้เรียกร้องตำแหน่งใหญ่ แต่โค่วเหวินหลานก็ไม่ได้เอาเปรียบเขา แต่งตั้งให้เป็นทหารเลวสามแถบโดยตรง มอบเกราะรบสีทองขั้นสี่ให้ชุดหนึ่ง แต่ตอนนี้ยังไม่มีตำแหน่งว่าง ตอนนี้ทำงานเป็นลูกน้องโค่วเหวินหลานไปก่อน

โค่วเหวินหลานก็บอกแล้วเช่นกัน ว่ารอให้มีตำแหน่งที่เหมาะสม แล้วจะจัดให้อีกที

เหมียวอี้ที่ยังไม่ได้ตำแหน่งอย่างเป็นทางการก็ไม่ว่าอะไร สิ่งที่เขาต้องการก็คือคลุมหนังเสือบนร่างเพื่อให้สมาคมวีรชนหวั่นเกรง ตอนนี้นอกจากฝ่ายตำหนักสวรรค์ ข้างนอกก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเขาอย่างโจ่งแจ้งอีกแล้ว เพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้หนังเสือมาคลุมนั้นสูงเกินไปหน่อย

เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบสีทองเดินออกจากจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอย่างสง่าผ่าเผย เดินไปดูร้านค้าของตัวเอง ตำแหน่งของร้านค้าอยู่ไม่ไกลจากจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ไม่รู้เหมือนกันว่าโค่วเหวินหลานใช้วิธีการอะไร สรุปก็คือทำให้เจ้าของร้านคนเดิมขายร้านให้โค่วเหวินหลานอย่างเคารพนบนอบ

ส่วนโค่วเหวินหลานจะจ่ายเงินซื้อไปเท่าไร เหมียวอี้ก็ขี้คร้านจะไปถาม ไม่สะดวกจะถามเรื่องการใช้อำนาจอย่างลับๆ ด้วย ถึงอย่างไรโค่วเหวินหลานก็ส่งร้านต่อให้เขาแล้ว

เช่นเดียวกัน ถึงแม้เหมียวอี้จะไม่เรียกร้องเรื่องขนาดของร้านค้า แต่โค่วเหวินหลานเป็นคนรักศักดิ์ศรีหน้าตา จะควักอะไรให้ทั้งทีก็ต้องเล่นใหญ่ ร้านค้ามีพื้นที่สี่หมู่[1] ไม่ใหญ่ไม่เล็ก เหมียวอี้ที่เดินดูทั้งข้างนอกข้างในไปหลายรอบพอใจมาก

…………………………

[1] หมู่(亩) คือหน่วยวัดของจีน มีขนาดประมาณ 666.667 ตารางเมตร

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset