ขณะมองคล้อยหลังเกาก้วนเดินจากไป ซ่างกวนชิงก็เงียบแล้ว กำลังครุ่นคิดว่าการที่ประมุขชิงเรียกคนมากำชับต่อเนื่องกันคงเป็นเพราะกังวลว่าหนิวโหย่วเต๋อจะไม่ชนะ อย่างไรเสียเบื้องล่างอ๋องสวรรค์คนหนึ่งก็มีโหวแค่สิบกว่าตำแหน่ง ตำแหน่งท่านโหวสี่ตำแหน่งไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
เป็นอย่างที่คาดไว้ ประมุขชิงเอยถามอย่างไม่รีบร้อน “ซ่างกวน เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะทำสำเร็จหรือเปล่า?”
ซ่างกวนชิงไม่สะดวกจะตอบคำถามนี้ ที่จริงทุกคนต่างก็รู้ชัดอยู่ในใจ ว่าไม่มีใครขัดขวางการรับสมัครโถงชุมนุมอัจฉริยะของหนิวโหย่วเต๋อ เพราะไม่มีใครเต็มใจไปสมัครเลย ขนาดนักพรตอิสระยังไม่กล้าไปด้วยซ้ำ สี่ทัพเกรียงไกรไม่มีใครอยากไปสถานที่เส็งเคร็งอย่างนั้น มิหนำซ้ำสี่ตระกูลก็จำกัดเงื่อนไขไว้แล้วด้วย
แต่เขาก็ไม่สะดวกจะพูดสิ่งที่ทำให้ประมุขชิงไม่สบายใจ ได้แต่ยิ้มอย่างอึดอัด “ในเมื่อเขากล้าเอาชีวิตตัวเองมาเดิมพันแล้ว คาดว่าคงมีความมั่นใจอยู่บ้าง”
ว่ากันตามจริง ประมุขชิงอยากจะเรียกเหมียวอี้มาถามต่อหน้ามาก แต่พอคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่จำเป็น ถ้ามีวิธีการดีก็ย่อมทำสำเร็จ แต่ถ้าวิธีการไม่ดี ต่อให้เข้าไปแทรกแซงก็ไม่มีความหมายอะไรนัก ราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผย ถ้าทำตัวจริงจังเกินไปก็จะทำให้คนหัวเราะเยาะ อีกทั้งสี่อ๋องสวรรค์ก็จำกัดเงื่อนไขไว้ ถ้าให้คนเที่ยวบอกไปทั่ว จะไม่ให้เกิดข่าวลือก็คงยาก สี่อ๋องสวรรค์ไม่ใช่คนหูหนวก
หลังจากเอามือไขว้หลังยืนเงียบๆ สักพัก ประมุขชิงก็กล่าวช้าๆ “ช่วยเขาสร้างกระแสสักหน่อยก็แล้วกัน ให้ทางสมาคมวีรชนเคลื่อนไหว ปล่อยข่าวเรื่องเดิมพันให้เร็วที่สุด”
“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงโค้งตัวเอ่ยรับ
ประมุขชิงประชุมอยู่ตรงนี้เงียบๆ คนของสี่ทัพก็ประชุมกันเงียบๆ เช่นกัน
ยอดเขาแห่งหนึ่งที่สามารถมองทิวทัศน์เทือกเขาสูงหลายแห่งไกลๆ ได้ เก้าจอมพลมาถึงก่อนแล้วรอได้ครู่หนึ่ง ไม่นานอิ๋งอู๋หม่าน ฮ่าวเจ๋อ ก่วงจวินอัน โค่วเจิงก็ทยอยกันมาถึง
โค่วเจิงมาถึงเป็นคนสุดท้าย พอเหยียบลงพื้น อิ๋งอู๋หม่านก็แสยะยิ้ม “ตระกูลโค่วของพวกเจ้าช่างหาลูกเขยได้ดีจริงๆ !”
โค่วเจิงเหน็บแนมกลับทันที “ถ้าไม่ใช่เพราะน้องชายแสนฉลาดของเจ้าไปหาเรื่องก่อน จะมีเรื่องแบบนี้เหรอ?”
“เฮ้อ!” เฉิงไท่เจ๋อจอมพลสายฉลูยืนขึ้นกดมือทั้งสองฝ่ายทันที “ทั้งสองท่าน ตอนนี้อย่าทะเลาะกันเรื่องนี้เลย ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อนั่นกล้าพูดอย่างนี้แล้ว คาดว่าคงจะมีความมั่นใจอยู่หลายส่วน ทางท่านอ๋องทั้งหลายมีความเห็นอะไรบ้าง?”
ก่วงจวินอันตอบว่า “ความเห็นของท่านพ่อเรียบง่ายมาก ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ฝ่าบาทสอดมือเข้ามาแทรกแล้ว จะให้พูดอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์ ควรจะคิดหาทางหลีกเลี่ยงความเสียหาย”
หวงฮ่าว จอมพลสายมะเมียสังกัดตระกูลโค่วถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเตรียมจะหลบเลี่ยงยังไง?”
ก่วงจวินอันตอบว่า “ท่านพ่อบอกว่า ถ้าดูจากภาพรวม ฝั่งพวกเรายังได้เปรียบ ตอนแรกยังไม่มีใครเต็มใจไปตลาดผีแน่นอน ถ้ามีคนไปก็แสดงว่าในนั้นมีการเล่นตุกติกแน่ ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องขู่ให้ตัวเองตกใจ ส่วนทางฝ่าบาทอาจจะไม่นิ่งดูดายปล่อยให้ตัวเองแพ้ ดังนั้นฝ่ายพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ถ้าภายนอกขัดขวางไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าจะแอบขัดขวางไม่ได้ กำลังพลล้วนอยู่ในมือของทุกคน คาดว่าทุกคนคงมีวิธีการเยอะ ทำเรื่องที่มองเห็นได้แต่กลับหาจุดอ่อนไม่ได้ คาดว่าคงไม่ยากสำหรับทุกคน”
ทุกคนพยักหน้า เฉิงไท่เจ๋อมองไปที่คนของตระกูลโค่ว ตระกูลอิ๋ง ตระกูลฮ่าวอีก “คาดว่าท่านอ๋องทั้งสามคงไม่นั่งอยู่เฉยๆ หรอกใช่มั้ย ไม่ทราบว่ามีความเห็นอันสูงส่งอะไร?”
โค่วเจิงบอกว่า “ท่านพ่อของข้าก็คิดอย่างนี้เช่นกัน ท่านพ่อเดาออกแล้วว่าฝ่าบาทจะช่วยเสริมอานุภาพให้หนิวโหย่วเต๋อ ถ้าข่าวเรื่องเดิมพันแพร่ออกไปทั้งใต้หล้า ก็แสดงว่าฝ่าบาทวางแผนอยู่เบื้องหลังแน่นอน คนทั่วไปไม่อาจกระจายข่าวได้เร็วขนาดนั้น เรื่องแบบนี้พวกเราเองก็ไม่มีจุดอ่อนอะไรไปกล่าวหาว่าฝ่าบาทช่วยหนิวโหย่วเต๋อ ถึงตอนนั้นพวกเราอาจจะทำเรื่องที่เฉียดฉิวแต่ก็หาจุดอ่อนไม่เจอเหมือนกันก็ได้ กำลังพลอยู่ในมือทุกคน คาดว่าคงไม่มีใครล่วงเกินพวกเราเพื่อจะไปแหล่งที่ไร้อนาคต ทุกคนล้วนต้องชั่งน้ำหนักผลที่ตามมา”
เถิงเฟย จอมพลสายชวดพึมพำอยู่ข้างๆ “คนของพวกเราควบคุมได้ง่าย กลัวก็แต่พวกกำลังพลที่ฝ่าบาทจับยัดเข้ามา อาจจะไม่เชื่อฟังพวกเรา”
โค่วเจิงแสยะยิ้ม “เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล ท่านพ่อบอกไว้แล้ว ถ้าคนของฝ่าบาทกล้าสั่งให้คนไปเข้าพวกกับหนิวโหย่วเต๋อ นั่นก็รับมือได้ง่ายมาก ขอเพียงคนทางนั้นกล้าไป พวกเราก็ไม่ได้มีไว้เฉยๆ อยู่แล้ว ใช่ว่าฝั่งนั้นจะไม่มีคนของพวกเรา ถึงตอนนั้นปลุกระดมคนให้ไปพึ่งพาทางนั้นมากๆ หน่อย เมื่อกำลังพลกลุ่มใหญ่ไปขอพึ่งพาที่ตลาดผี เฮ่อๆ! คิดว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไงล่ะ?”
เฉิงไท่เจ๋อยกนิ้วหัวแม่มือ “อ๋องสวรรค์โค่วความคิดเหนือชั้น พอเป็นแบบนี้ก็จะไม่ใช่ปัญหาเรื่องสัญญาเดิมพันแล้ว แต่เป็นเพราะคนบางคนที่ปกครองทัพมีปัญหาและทำหน้าที่ได้ไม่ดี ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้ฝ่าบาทปล่อยตำแหน่งออกมา พวกเราก็สามารถแก้ไขปัญหาได้อยู่ดี”
“อืม!” ทุกคนพยักหน้าเงียบๆ อีกครั้ง หลังจากมองหน้ากันแล้วพบว่ามีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ต่างคนต่างมีแผนสำรองไว้อุดช่องโหว่ ก็นับว่าวางใจแล้วไม่น้อย
มีเพียงเถิงเฟยที่ส่ายหน้า “อย่าไปมองนะว่าหนิวโหย่วเต๋อมีพลังไม่เท่าไร แต่ลักษณะการทำศึกของเขาควรค่าแก่การชื่นชมจริงๆ เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น ต่อไปทุกคนก็คิดมากๆ หน่อย ดูว่ามีช่องโหว่ตรงไหนหรือเปล่า”
“จอมพลเถิงเหมือนจะเอาใจช่วยหนิวโหย่วเต๋อนั่นมากเลยนะ?” อิ๋งอู๋หม่านถามพร้อมรอยยิ้ม
เถิงเฟยเดิมทีอยู่ในเครือข่ายตระกูลอิ๋ง ย่อมต้องเคารพนอบน้อมต่ออิ๋งจิ่วกวงสักหน่อย แต่อิ๋งอู๋หม่านอ่อนหัดไปหน่อยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ไม่มีบารมีอะไรมาข่มเขาได้ เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องลดศักดิ์ศรีมากเกินไป จึงยิ้มเรียบๆ พลางโบกมือ “ไม่เกี่ยวกับรู้สึกดีหรือไม่รู้สึกดีหรอก แต่ในปีนั้นตอนที่ข้าเฝ้าแดนอเวจี ข้าเห็นกับตาว่าหนิวโหย่วเต๋อพุ่งสังหารอยู่ท่ามกลางกำลังพลหนึ่งล้าน หัวใจเขาก็ไม่ธรรมดา เห้นได้ชัดว่ากล้าหาญไม่กลัวตาย พุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่นสิ่งใด ดูถูกไม่ได้จริงๆ ดูจากตอนที่เขาอยู่ในตำหนักใหญ่แล้วไม่ลนลานสักนิดก็รู้แล้ว ข้ายอมรังแกคนชราผมขาวดีกว่ารังแก่เด็กหนุ่มยากจน ทุกคนระวังตัวเอาไว้น่ะถูกแล้ว อย่าให้เรือคว่ำในคลองแคบก็แล้วกัน”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ในดวงตาอิ๋งอู๋หม่านฉายแววไม่สบอารมณ์ ถึงแม้เขาจะไม่แสดงออกชัดเจนเหมือนอิ๋งอู๋เชวีย แต่ความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกชายก็ยังอยู่ในใจ ไม่อยากฟังคนอื่นพูดถึงเหมียวอี้ในแง่ดี
เถิงเฟยสังเกตได้ถึงความไม่สบอารมณ์ที่แวบผ่านเข้ามาในดวงตาเขา ในใจยิ้มเย้ย เจ้าเด็กที่ขนยังขึ้นไม่ครบ ถ้าเก่งนักก็ชักสีหน้าให้ตาแก่คนนี้ดูสิ ถ้าขาดข้าสนับสนุนไปสักคน เจ้าก็ไม่ได้นั่งตำแหน่งหัวหน้าตระกูลอิ๋งหรอก เจ้ายังไม่พอใจอีกเหรอ ข้ายังสังเกตเจ้าอยู่นะว่าเหมาะสมจะเป็นผู้นำหรือเปล่า
สำหรับคำพูดของเถิงเฟย ในใจโค่วเจิงรู้สึกปลงที่สุด เพราะเขารู้ชัดที่สุดว่าเหมียวอี้ทำอะไรในตำหนักใหญ่ เพราะนั่นคือการดันทุรังยัดข้อหาตระกูลอิ๋งต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนัก แต่จนใจที่ตอนนั้นตระกูลโค่วก็ไม่สะดวกจะออกมาเป็นพยาน ตอนแรกไม่เป็นพยาน ตอนหลังก็ยิ่งเป็นพยานให้ไม่ได้แล้ว เท่ากับว่าเหมียวอี้หลอกใช้ตระกูลโค่วไปแล้วยกหนึ่ง จากนั้นก็ยังช่วยประมุขชิงแย่งประโยชน์จากตระกูลโค่วด้วย ตอนนั้นทำให้เขาโมโหแทบแย่
หลังจากส่งข่าวไปให้บิดารู้ บิดาก็ชมทันทีว่าช่างเป็นลูกเขยที่ดี บอกว่าในปีนั้นมองคนไม่ผิด มีความสามารถทำให้ตระกูลโค่วทุ่มหินใส่เท้าตัวเองได้ ก็ไม่นับว่าเสียหน้าเช่นกัน
โค่วเจิงแนะนำให้โค่วหลิงซวีโยนคำสั่งตำหนักนารีสวรรค์ที่ได้จากตระกูลเซี่ยโห้วออกไปก่อน แล้วสั่งถอนกำลังคนตระกูลโค่วที่อยู่ตลาดผีกลับมาให้หมด
ทว่าโค่วหลิงซวีไม่เห็นด้วย กลับตอบเขาอย่างหยาบคายว่า : ขนาดโสเภณียังอยากสร้างซุ้มประตูปกปิดความอับอายให้ตัวเองเลย ตระกูลโค่วจะสู้โสเภณีไม่ได้เชียวหรือ? ระดับตระกูลโค่วจะไม่ทำเรื่องจอมปลอมได้อย่างไร? ยิ่งยืนอยู่ในตำแหน่งสูง ก็ยิ่งต้องการดูดีในสายตาคนอื่น เพราะยิ่งเจ้าอยู่ในที่สูง คนที่มีเจ้าในสายตาก็ยิ่งเยอะ จะให้แก้ผ้าให้คนอื่นดูหรือไง? เก็บคนเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งให้ผ้าชิ้นสุดท้ายที่ปิดบังจุดน่าอับอายฉีกออก จะได้ดูด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่
ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ตามที่ได้รู้จักมากขึ้น โค่วเจิงก็เห็นความสามารถของหนิวโหย่วเต๋อมากขึ้นเช่นกัน ยิ่งนับถือสายตาของท่านพ่อ ถูกใจหนิวโหย่วเต๋อตั้งแต่ในปีนั้นแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะประมุขชิงเข้ามาแทรกแซง นี่จะเป็นเรื่องดีขนาดไหน รอให้ตัวเองอายุมากขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว เบื้องล่างมีคนอย่างนี้สนับสนุนจะดีขนาดไหน
ในขณะเดียวกัน ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เชิญท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วท่ามาพบเพื่อคุยเป็นการส่วนตัว
พอเห็นเซี่ยโห้วท่า เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็รีบก้าวขึ้นมาย่อเข่าคำนับ “หลานสาวขออวยพรให้ท่านปู่อายุยืน”
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้อง ลุกขึ้นเถอะ รีบลุกขึ้น เจ้ากำลังตั้งครรภ์” เซี่ยโห้วท่ายื่นมือประคองนางให้ลุกขึ้น แล้วก็มองท้องกลมกลึงของนางพลางพยักหน้าอย่างร่าเริง “เหนียงเหนียงเรียกบ่าวชรามาพบ ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยื่นมือเชิญ แล้วก็เดินเนิบนาบอยู่ข้างกายเขา ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “ท่านปู่ ท่านคิดว่าเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อรับสมัครคนมีความมั่นใจขนาดไหน?”
เซี่ยโห้วท่ายื่นมือไปประคองแขนนางเป็นระยะ แล้วถามอย่างร่าเริง “เหตุใดเหนียงเหนียงเริ่มสนใจเรื่องนี้แล้วล่ะ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มแห้ง “ถึงยังไงเขาก็เป็นแม่ทัพภาคตลาดผี เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์”
“อ้อ!” เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าอย่างแฝงความหมายล้ำลึก ชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง เป็นครั้งแรกที่เห็นนางให้ความสำคัญกับตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผี เขาส่ายหน้าเบาๆ “พูดยาก เรื่องนี้ข้าน้อยก็พูดได้ไม่แม่นยำ”
“ก็หมายความว่า อาจจะไม่สำเร็จใช่มั้ยคะ?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถามอย่างกังวลเล็กน้อย
“ดูท่าเหนียงเหนียงจะหวังให้เขาทำสำเร็จ” เซี่ยโห้วท่ากล่าว
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตอบว่า “ถึงยังไงเขาก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงของหลานค่ะ อำนาจของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่องๆ ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรสำหรับหลานใช่มั้ยล่ะ? ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วสามารถช่วยเขาได้ ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร ดังนั้น…”
“โถ่เหนียงเหนียง!” เซี่ยโห้วท่าพูดตัดบท แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “เรื่องที่เจ้าควรทำก็คือปรนนิบัติฝ่าบาทให้ดี อย่าให้เรื่องแย่งชิงผลประโยชน์มาเปื้อนมือจะดีกว่า เกรงว่าฝ่าบาทคงไม่หวังจะเห็นวังหลังมีการช่วงชิงอำนาจเกินไป”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอามือลูบท้อง “หลานไม่ได้อยากได้อำนาจอะไรหรอกค่ะ ถ้าหาลูกน้องคนสนิทให้ลูกในท้องได้ก็ดีเหมือนกัน”
เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะ “เหนียงเหนียงคิดมากไปแล้ว เหนียงเหนียงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ อนาคตของโอรสสวรรค์ ฝ่าบาทย่อมเตรียมไว้อย่างดีแล้ว ข้าน้อยยังยืนยันคำเดิม ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ล้ม ไม่ว่าใครก็สั่นคลอนตำแหน่งของท่านไม่ได้…นางหนูเอ๋ย อย่าใกล้เกลือกินด่าง เข้าใจมั้ย?”
สวนกลางเขียวขจี มีชีวิตชีวาทั้งยังเงียบสงบ เฟยหงเหาะออกมาเพียงลำพัง สุดท้ายก็มาถึงในหุบเขาแห่งหนึ่งที่ลับตาคน
เสียงน้ำในลำธารไหลจ๊อกๆ ขณะที่เดินเลียบฝั่งลำธารขึ้นไป เฟยหงสังเกตรอบๆ อย่างระมัดระวัง สุดท้ายก็เห็นเงาคนคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโขดหินก้อนหนึ่งภายใต้แสงแดด ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือทูตตรวจการซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียนนั่นเอง ทำให้นางตกใจจนต้องหยุดฝีเท้า
นางได้รับแจ้งจากผู้บังคับบัญชาให้มาที่นี่ ผลปรากฏว่าไม่เห็นผู้บังคับบัญชา แต่กลับเห็นหัวหน้าใหญ่ของหน่วยตรวจการซ้าย นางเคยเห็นซือหม่าเวิ่นเทียนไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่กลับไม่เคยคุยกับซือหม่าเวิ่นเทียนมาก่อน นางมีปมในใจกับหน่วยตรวจการซ้าย โดยเฉพาะการมาเจอกับตัวละครอย่างซือหม่าเวิ่นเทียนตามลำพัง นางก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน นางไม่ได้มีสภาพจิตใจที่จะกล้าโต้แย้งกับกลุ่มขุนนางใหญ่เต็มราชสำนักเหมือนเหมียวอี้
…………………………