เรียกได้ว่านางรู้สึกกลัวซือหม่าเวิ่นเทียนจนฝังลึกถึงกระดูก ปมความหวาดกลัวที่ยากจะลบเลือนนั้นมาจากในปีนั้นที่พวกนางสองแม่ลูกฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองถูกขังอยู่ในกรง และในช่องว่างใต้ดินอันมืดมิด ภายใต้แสงสลัวจากโคมไฟ ซือหม่าเวิ่นเทียนยืนจ้องพวกนางสองแม่ลูกอย่างเย็นเยียบอยู่บนแท่นบันไดสูง สีหน้าภายใต้แสงไฟที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างนั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ราวกับมองดูมดตัวเล็กๆ สองตัว
เมื่อเห็นซือหม่าเวิ่นเทียน สองแม่ลูกก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว พวกนางหวาดกลัวถึงขั้นตัวสั่น โผเข้าเกาะกรงขังพร้อมตะโกนอย่างเดือดดาลสุดชีวิตว่าขอพบฝ่าบาท จากนั้นก็ร้องไห้คร่ำครวญวิงวอนให้ปล่อยพวกนางสองแม่ลูกไป แต่ก็ไร้ประโยชน์ ตะโกนจนคอแตกก็ไม่ประโยชน์ ซือหม่าเวิ่นเทียนได้แต่ยืนมองลงมาที่สองแม่ลูกอย่างเย็นชา ไม่สะทกสะท้าน แล้วสุดท้ายก็หันตัวลอยจากไป สิ่งนั้นได้ตัดสินชะตากรรมของพวกนางสองคนแล้วเช่นนั้น ฉากนั้นกลายเป็นฝันร้ายที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกนางจริงๆ
ร่างของเฟยหงยืนทื่ออยู่กับที่ ไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปหรือจากไปเงียบๆ
“มาแล้วเหรอ” เสียงของซือหม่าเวิ่นเทียนทำลายความเงียบในหุบเขา สายตาย้ายออกจากม้วนหนังสือ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ “เป็นข้าเองที่สั่งให้ผู้บังคับบัญชาของเจ้าเรียกเจ้ามา”
เฟยหงรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้าทันที คุกเข่าอย่างค่อนข้างประหม่า ใช้มือข้างเดียวยันพื้น ใช้ธรรมเนียมการคารวะผู้บังคับบัญชาของหน่วยตรวจการซ้ายก้มหน้าทำความเคารพเขา “คารวะท่านทูตซ้าย!”
ตอนนี้ซือหม่าเวิ่นเทียนถึงได้ย้ายสายตาออกจากตัวนาง เก็บหนังสือในมือ ยืนขึ้นแล้วเดินเหยียบหินกลมเข้ามาตรงหน้าเฟยหงที่กำลังก้มหน้า ก้มมองต่ำลงมาที่นางพร้อมกล่าวว่า “ไม่ต้องมากพิธี ยืนขึ้นเถอะ”
เฟยหงยืนขึ้นช้าๆ ด้วยความกังวลใจสุดขีด ไม่กล้าเงยหน้ามองเขาตรงๆ
ซือหม่าเวิ่นเทียนยื่นมือจับคางของนาง เชิดใบหน้ารูปไข่ของนางขึ้นมาอย่างช้าๆ เขารู้สึกได้ว่านางตัวสั่นเล็กน้อยอย่างควบคุมได้ยากเพราะความหวาดกลัว ในดวงตาเขาจึงฉายรอยยิ้มอ่อนโยนใจเย็น “ไม่ต้องประหม่า ตอนเด็กข้าก็เคยอุ้มเจ้ามาก่อน เจ้าอาจจะจำไม่ได้แล้ว”
ถึงแม้บนใบหน้าจะเจือด้วยรอยยิ้ม พูดเรื่องอ่อนโยนในอดีต แต่สำหรับเฟยหงแล้ว นางกลับรู้สึกเหมือนมองเห็นมารร้ายตนหนึ่ง ราวกับได้เห็นสิ่งชั่วร้ายอัปมงคลอันไร้ที่สิ้นสุดซ่อนอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย
เมื่อปล่อยคางนางแล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เอามือไขว้หลังเดินวนรอบตัวนาง มองประเมินเรือนร่างอรชรอ่อนช้อยของนาง แล้วก็เดินวนกลับมาตรงหน้า จ้องใบหน้าสวยสะคราญของนางพร้อมเดาะลิ้นชม “ข้ามองออกตั้งแต่เจ้าเด็กๆ แล้วว่าจะเติบโตมาเป็นหญิงงามคนหนึ่ง คิดว่าเจ้าเป็นคนที่ทำงานใหญ่ได้ ข้าถึงช่วยชีวิตเจ้าไว้ตอนที่เจ้ากำลังจะหัวหลุดลงพื้น ตอนนี้ยิ่งโตยิ่งงดงามจริงๆ ใบหน้านี้ เรือนร่างนี้ ไม่มีตรงไหนที่ไม่งดงาม ยกประโยชน์ให้เจ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่นแล้วจริงๆ เดิมทีเจ้าควรจะได้แสดงบทบาทกับคนที่มีฐานะสูงกว่านี้ ตอนนี้กลับทำให้เจ้าได้รับความไม่ยุติธรรมแล้ว”
เฟยหงก้มหน้าเล็กน้อย ตั้งใจฟังเงียบๆ
“ข่าวที่เจ้ารายงานขึ้นมาก่อนหน้านี้ผิดพลาด ที่บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อหดหู่ท้อแท้ชีวิตแล้วมาตบเจ้าระบายอารมณ์อะไรนั่นน่าจะเป็นเรื่องหลอกลวง เขามาที่อุทยานหลวงน่าจะวางแผนมาเรียบร้อยแล้ว พุ่งเป้ามาที่งานเลี้ยงวันเกิดท่านปู่สวรรค์ เจ้าบอกมาซิ เรื่องเป็นยังไงกันแน่?” น้ำเสียงของซือหม่าเวิ่นเทียนยังคงสงบนิ่ง ลักษณะมืดครึ้มน่าสะพรึงที่แผ่ออกจากการกระทำและคำพูดของเขาเป็นสิ่งหาไม่เจอยามอยู่ข้างกายประมุขชิงและเกาก้วน
เฟยหงย่อมรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของเขาอยู่แล้ว นางเองก็รู้ว่าในสายตาของขุนนางตำหนักสวรรค์จำนวนไม่น้อย คนคนนี้ก็คือร่างจำแลงที่น่ากลัว น่ากลัวกว่าทูตตรวจการขวาเกาก้วนเสียอีก อย่างน้อยเกาก้วนก็น่ากลัวในที่แจ้ง เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างเปิดเผย แต่ท่านนี้กลับสามารถแต่งเรื่องใส่ร้ายยัดข้อหาอย่างเงียบๆ ทำให้คนบ้านแตกสาแหรกขาดได้อย่างง่ายดาย เหมือนงูพิษน่ากลัวที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มือตลอดเวลา ไม่รู้ว่าจะกัดเจ้าตอนไหน ทำให้คนป้องกันไม่ชนะ
เฟยหงกล่าวอย่างกังวล “ข้าน้อยก็ไม่รู้เช่นกันว่าเรื่องเป็นยังไง หลังจากมาถึงอุทยานหลวงแล้ว ข้าน้อยก็สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลบางอย่างเหมือนกัน”
“ในเมื่อสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลแล้ว ทำไมถึงไม่รีบรายงานตั้งแต่แรก?” ในดวงตาซือหม่าเวิ่นเทียนฉายแววเย็นเยียบ
เฟยหงตอบว่า “ไม่ใช่อย่างที่ท่านทูตซ้ายคิด ข้าน้อยไม่รู้ชัดจริงๆ ว่าเขามาที่อุทยานหลวงเพราะต้องการอะไร ก่อนหน้านี้เขาเมาหัวราน้ำและตบตีข้าน้อยมาตลอด ประกาศว่าจะหย่ากับข้าน้อย แต่พอมาถึงอุทยานหลวงเพื่อเจอแม่เฒ่าลวี่ หลังจากถูกแม่เฒ่าลวี่ตีสั่งสอนไปยกหนึ่ง จู่ๆ เข้ากลับเปลี่ยนท่าที บอกว่าต้องการคืนดีกับข้าน้อย ข้าน้อยเองก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง กำลังจับตาดูเขา แต่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะบุกเข้าไปก่อเรื่องที่พระตำหนักอุทยานกะทันหัน ท่านทูตซ้ายได้โปรดตรวจสอบให้ชัดเจน!” พูดจบก็รีบคุกเข่าก้มหน้า
ซือหม่าเวิ่นเทียนก้มหน้ามองนาง “เขารู้ถึงตัวตนของเจ้าแล้วหรือเปล่า?”
เฟยหงเงยหน้า “ทางฝั่งข้าน้อยไม่มีความเป็นไปได้นี้ นอกเสียจาก…นอกเสียจาก…”
“นอกเสียจากอะไร?” ซือหม่าเวิ่นเทียนตะคอกเบาๆ
เฟยหงรีบก้มหน้า “นอกเสียจากทางหน่วยตรวจการซ้ายจะมีคนเปิดเผยตัวตนของข้าน้อยค่ะ”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว คนของหน่วยตรวจการซ้ายที่รู้จักตัวตนเจ้ามีน้อยจนนับนิ้วได้” ซือหม่าเวิ่นเทียนเถียงกลับ ที่จริงเขาเองก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะรู้ถึงตัวตนของเฟยหง ต่อให้ก่อนหน้านี้จะไม่กล้าแตะต้องเฟยหงเพราะกลัวหน่วยตรวจการซ้าย แต่ตอนหลังก็สามารถยืมมือตระกูลโค่วเพื่อกำจัดเฟยหงได้เลย แถมตอนที่หนิวโหย่วเต๋อไปขอพึ่งพาตระกูลโค่ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาออกว่าตอนหลังจะได้ไปอยู่ตลาดผี ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาถึงสถานการณ์ตอนหลังแล้วเปลี่ยนมาหลอกใช้เฟยหงแทน คิดไปคิดมา สุดท้ายก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ก่อนหน้านี้คาดเดาได้ว่าฝ่าบาทจะจัดการเลี้ยงวันเกิดให้เซี่ยโห้วท่า ในจุดนี้เดาได้ไม่ยาก ดังนั้นจึงเริ่มรังแกเฟยหง เป็นเพราะอาศัยความสัมพันธ์ของเฟยหงกับแม่เฒ่าลวี่ล้วนๆ เขาถึงเข้ามาในอุทยานหลวงได้สะดวก ไม่ใช่เพราะรู้กำพืดของเฟยหง ไม่อย่างนั้นก็สามารถอาศัยโอกาสนี้หย่ากับเฟยหงได้เลย ไม่จำเป็นต้องเก็บสายลับไว้ข้างกายให้ตัวเองกินนอนไม่สงบอีก
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ยังจ้องเฟยหงอย่างเย็นเยียบ “แต่ทำไมข้าได้รับข่าวมา ว่าเจ้าถูกหนิวโหย่วเต๋อซื้อแล้ว?”
เฟยหงหัวใจกระตุกวูบ แต่ภายนอกกลับพูดเหมือนตกใจมาก “ท่านทูตซ้าย ข่าวผิดพลาดแน่นอนค่ะ หนิวโหย่วเต๋อเองยังอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม ข้าน้อยจะถูกเขาซื้อได้ยังไงคะ? ท่านทูตซ้ายโปรดตรวจสอบให้ชัดเจน!” นางรู้ว่าถ้าข่าวที่ตัวเองไปเข้ากับฝ่ายเหมียวอี้ถูกเปิดโปงเมื่อไร ก็จะไม่ใช่แค่นางเท่านั้นที่จะตายอย่างอนาถ
ซือหม่าเวิ่นเทียนสังเกตปฏิกิริยาของนาง แล้วเดินช้าๆ ออกจากข้างกายนางไป “เดินตรงไปเรื่อยๆ แม่เจ้ารออยู่ทางนั้น อย่าเสียเวลานานนัก จะได้ไม่ถูกหนิวโหย่วเต๋อสงสัย”
เฟยหงตกใจจนเหงื่อท่วมตัว จู่ๆ ได้ยินว่ามารดายังอยู่ นางก็ได้เดินออกมาจากความหวาดกลัวอีกครั้ง รู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก
“ขอบคุณท่านทูตซ้าย ขอบคุณท่านทูตซ้าย!” เฟยหงแทบจะร้องไห้ออกมา หันตัวยกกระโปรงวิ่งออกไปแล้ว นางไม่เจอมารดาตัวเองมาหลายปี อาศัยการส่งจดหมายเพื่อยืนยันว่าต่างฝ่ายต่างยังมีชีวิตอยู่มาตลอด
พอมาถึงปลายสุดของหุบเขา ด้านล่างของน้ำตกแห่งหนึ่งที่น้ำไหลดิ่งลงจากที่สูง สตรีวัยกลางคนชุดสีเทาที่ไม่ได้ใช้เครื่องประทินโฉมยืนอยู่ตรงนั้นลำพังอย่างกระวนกระวาย ดูจากใบหน้าก็รู้ว่าในอดีตเคยเป็นหญิงงามที่หาพบได้ยาก เพียงแต่บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกร้านโลก จอนผมสองข้างมีสีขาว ไม่เห็นความมีสง่าราศีเหมือนในปีนั้นแล้ว มีเพียงความกังวลในดวงตา นางเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกพาตัวมาที่นี่กะทันหันหมายความว่าอะไร
จู่ๆ ตรงทางเข้าหุบเขาก็มีสตรีผู้งดงามเลิศล้ำปรากฎตัว ยืนมองนางอย่างตะลึงงันอยู่ไกลๆ หน้าตาของทั้งสองคล้ายกันหลายส่วน ผู้ที่มาย่อมเป็นเฟยหง
สตรีวัยกลางคนสงสัยอยู่บ้าง ทว่าเมื่อเห็นเฟยหงยืนมองตนอย่างตะลึงแล้วเริ่มน้ำตาไหล สองมือของนางก็เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ พอจะตระหนักอะไรบางอย่างได้แล้ว
“ท่านแม่!” จู่ๆ เฟยหงก็ร้องเรียกด้วยเสียงเศร้ารันทดเพราะความคนึงหาไร้ที่สิ้นสุด แล้ววิ่งเข้าคุกเข่าตรงหน้านาง กอดขานางเอาไว้ ชั่วพริบตาเดียวก็ร้องไห้โหเหมือนจะขาดใจ
สตรีวัยกลางคนน้ำตาไหลพรากทันที สองมือที่สั้นเทิ้มสัมผัสศีรษะเฟยหง พร้อมถามเสียงสั่น “อ้าวเสวี่ย…อ้าวเสวี่ย…เป็นเจ้าจริงเหรอ?”
ในปีนั้นสองม่ลูกตกอับ หลังจากตกอยู่ในมือหน่วยตรวจการซ้ายแล้วถูกจับแยก ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย เด็กผู้หยิงในปีนั้นกลายเป็นสาวอย่างนี้แล้ว ต่อให้เป็นมารดาแต่มองปราดเดียวก็จำไม่ได้อยู่ดี…
ส่วนซือหม่าเวิ่นเทียนที่รออยู่ในหุบเขาก็ต้อนรับแขกอีกคน แม่เฒ่าลวี่
สีหน้าท่าทางซือหม่าเวิ่นเทียนตอนเห็นแม่เฒ่าลวี่กับตอนเห็นเฟยหงต่างกันโดยสิ้นเชิง เขากุมหมัดคารวะ “พี่หญิงลวี่ ไม่ได้ตั้งใจมารบกวน หวังว่าจะไม่ถือสา”
แม่เฒ่าลวี่เดินเลี้ยวเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ท่านทูตซ้ายเรียกพบ ยายแก่คนนี้จะกล้าไม่มาได้เหรอ”
ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มแห้งทันที แล้วโค้งตัวกุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ตอนอยู่ต่อหน้าคนแล้วข้าวางมาดใส่ ท่านอย่าถือสาเลย ทำแบบนั้นก็เพื่อปกป้องท่าน ตรงนี้ไม่มีคนนอก พี่หญิงลวี่จะเหน็บแนมข้าทำไม”
แม่เฒ่าลวี่ไม่ได้ปฏิเสธหรือรับปาก “บอกมาเถอะ มาหาข้ามีเรื่องอะไร คงไม่ใช่เพราะเรื่องหนิวโหย่วเต๋อหรอกใช่มั้ย?”
“พี่หญิงลวี่ช่างเหมือนกระจกที่ใสสะอาด ข้ามาเพราะเรื่องเขาจริงๆ” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว
“เจ้าเด็กนั่นก่อเรื่องอะไรที่พระตำหนักอุทยานกันแน่ นึกไม่ถึงว่าจะรบกวนให้ข้ามาด้วยตัวเอง?” แม่เฒ่าลวี่ถาม
“ฮึ! เจ้าเด็กนี่ใจกล้าไม่เบา ทะเลาะกับอิ๋งอู๋เชวียลูกชายอิ๋งจิ่วกวงในงาน…” ซือหม่าเวิ่นเทียนเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักตอนนั้นให้ฟังคร่าวๆ
แม่เฒ่าลวี่ฟังจบแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “เรื่องนี้เกี่ยวกับข้าด้วยเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนขมวดคิ้วเดินไปเดินมา “จากเบาะแสต่างๆ ที่แสดงออกมา เหมือนเจ้าเด็กนั่นจงใจก่อเรื่อง ทุกอย่างที่ทำเหมือนจะพุ่งเป้าไปที่ตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตั้งแต่เขาเริ่มทารุณเฟยหง ก็มีความเป็นไปได้สูงว่านั่นจะอยู่ในแผนการของเขา”
แม่เฒ่าลวี่จึงบอกว่า “ในเมื่อสงสัยว่าเขามีปัญหา เจ้าส่งคนไปจับเขาออกจากสวนกลางเขียวขจีเลยก็สิ้นเรื่อง กังวลว่ายายแก่คนนี้จะห้ามหรือไง?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนกระตุกมุมปากเล็กน้อย แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดาเลย วางแผนนี้ได้อย่างสง่าผ่าเผย ทำให้คนอยากจะหลบก็หลบไม่พ้น ใส่ฝ่าบาทเอาไว้ในแผนการเขาด้วย ฝ่าบาทรู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเขากำลังเล่นลูกไม้ แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ กลับต้องช่วยทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริงด้วยซ้ำ เจ้าจะให้ข้าจับเขายังไง?”
“งั้นเจ้ามาหาข้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร?” แม่เฒ่าลวี่ถาม
“เรื่องบางเรื่องนั้นแกล้งโง่ได้ แต่เรื่องบางเรื่องต้องมีข้อมูลในใจ ข้าคุมหน่วยตรวจการซ้าย ยากจะเลี่ยงความรับผิดชอบ เรื่องสถานการณ์โดยรวมย่อมมีฝ่าบาทควบคุมอยู่ แต่เรื่องจุกจิกปลีกย่อยข้าก็ต้องจัดการให้ดี หนิวโหย่วเต๋อเริ่มลงมือวางแผนนี้จากตัวเฟยหง หนิวโหย่วเต๋อปิดบังเฟยหง หรือว่าเฟยหงรู้เรื่องล่วงหน้าแล้วกันแน่ เรื่องนี้ข้าไม่มีมีทางยืนยันได้ พี่หญิงลวี่กับเฟยหงอยู่ด้วยกันมาหลายปี อาศัยดวงตาเฉียบแหลมของพี่หญิงลวี่ ไม่ทราบว่ามองเห็นอะไรบางหรือเปล่า?” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว
…………………………