จวนอ๋องสวรรค์กวง ในตำหนักหลักด้านใน ก่วงลิ่งกง โกวเยว่กำลังคุยงานกัน เรื่องที่คุยก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใด เป็นเรื่องตั้งป้ายรับสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีนั่นเอง เมหือนกับบ้านอื่นๆ ก่วงจวินอันก็อยู่ตรงนี้ด้วยเช่นกัน หลังจากคุยกันสักพักก็เหลือเพียงเสียงทอดถอนใจที่ไร้ประโยชน์เอาไว้
“ท่านอ๋อง หวังเฟยขอพบขอรับ” จู่ๆ ก็มีคนมารายงานจากนอกตำหนัก
“อืม” เสียงนี้ก่วงลิ่งกงนับว่าอนุญาตแล้ว หันกลับมามองก่วงจวินอันว่า “เจ้าออกไปก่อน”
ก่วงจวินอันกุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป พอเดินมาถึงประตูก็เจอกับเม่ยเหนียงที่แต่งกายงดงามหรูหราอีก จึงทำความเคารพอีกครั้ง “คำนับหมู่เฟย!”
คำทักทายนี้แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกเลี่ยน ผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าเขาไม่รู้ตั้งเท่าไร แต่เขายังต้องเรียกว่าหมู่เฟย มารดาที่ให้กำเนิดเขากลับไม่ได้ถูกเรียกว่า ‘หมู่เฟย’ ความรู้สึกนี้เหมือนมีหนามแหลมติดอยู่ที่คอ แต่ภายนอกกลับยังต้องแสดงออกว่าเคารพ
เม่ยเหนียงพยักหน้ายิ้มบางๆ หลังจากนางเข้ามา ก่วงจวินอันก็ออกไปแล้ว
พอเข้ามาในตำหนัก เม่ยเหนียงก็คำนับ “ท่านอ๋อง” ส่วนโกวเยว่ก็คำนับนาง
ก่วงลิ่งกงชี้เม่ยเหนียง แล้วกล่าวกับโกวเยว่ด้วยรอยยิ้มเจื่อน “จะว่าไปแล้ว ยังคงเป็นหวังเฟยที่ตามีแวว เหนือกว่าเจ้ากับข้าเสียอีก”
โกวเยว่งงไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่าระหว่างเม่ยเหนียงกับก่วงลิ่งกงเคยคุยอะไรกันไว้กันแน่
เม่ยเหนียงก็งงเช่นกัน ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร นางยังไม่รู้เรื่องตั้งป้ายรับสมัครคนที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ “ท่านอ๋องกำลังหัวเราะเยาะข้าหรือคะ?”
เมื่อเห็นทั้งสองมีท่าทีฉงน ก่วงลิ่งกงก็เอียงหน้าบอกโกวเยว่ “เรื่องที่ตลาดผี เจ้าบอกให้วังเฟยฟังสักหน่อยเถอะ”
“ขอรับ!” หลังจากโกวเยว่เข้าใจแล้ว ก็เล่ารายละเอียดเรื่องตั้งป้ายรับสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีให้ฟังทันที
หลังจากฟังจบ เม่ยเหนียงก็ยังงุนงงเหมือนหมอกลงสมอง หลังจากครุ่นคิดนิดหน่อย ก็ถามอย่างสงสัยว่า “รับแค่พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินเหรอคะ? เดิมพันไว้ว่าจะรับสมัครทหารเกรียงไกรของสี่ทัพไม่ใช่เหรอ?”
“ข้าเพิ่งจะชมไปเอง ตอนนี้เลอะเลือนอีกแล้วเหรอ?” ก่วงลิ่งกงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ในบรรดาเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินไม่ขาดพวกที่วรยุทธ์พอไหวหรอก”
“อ้อ!” เม่ยเหนียงเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน “ข้าเข้าใจแล้ว หมายถึงพวกนักพรตที่โดนอำนาจบีบคั้นจนทำตามอุดมการณ์ไม่ได้”
ในจุดนี้ พอชี้แนะนิดหน่อย นางกลับหัวไวยิ่งกว่าพวกฮ่าวเจ๋อเสียอีก สิ่งนี้ทำให้ก่วงลิ่งกงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าทอดถอนใจ เขาบอกโกวเยว่ว่า “ถ้าเจ้ามีเวลาว่าง ก็เร่งรัดให้ลูกหลานตระกูลก่วงลดตัวลงไปคลุกคลีกับคนระดับล่างมากๆ หน่อย”
โกวเยว่เข้าใจความลำบากของเขา ไม่ใช่ว่าพวกฮ่าวเจ๋อฉลาดน้อยกว่าเม่ยเหนียง พวกเขาฉลาดกว่าเม่ยเหนียง ทว่าประสบการณ์ความรู้บางอย่างกลับสู้ผู้หญิงอย่างเม่ยเหนียงไม่ได้ เขาพยักหน้าตอบ “ขอรับ!”
เม่ยเหนียงไม่รู้ว่าคำพูดนี้ของก่วงลิ่งกงสื่อถึงด้านไหนอีก เพียงแต่นางไม่สะดวกจะถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลูกหลานตระกูลโค่วมากเกินไป นี่ก็คือจุดที่ลำบากสำหรับ ‘หมู่เฟย’ อย่างนาง แล้วนางก็สนใจเรื่องหนิวโหย่วเต๋อมากกว่า จึงถามหยั่งเชิง “อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องจะนั่งดูตัวเองแพ้เดิมพันเฉยๆ ไม่คิดหาทางห้ามหรือคะ?”
“ข้าก็อยากจะห้ามเหมือนกัน แต่กลับไม่มีทางห้ามได้…” เหมือนกับที่ฮ่าวเต๋อฟางบอกฮ่าวเจ๋อ ก่วงลิ่งกงพูดถึงอุปสรรคให้ฟัง
ถึงแม้เม่ยเหนียงจะชื่นชมหนิวโหย่วเต๋อมาก แต่ตอนนี้ก็ยังครุ่นคิดโดยยืนอยู่ฝั่งก่วงลิ่งกง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านอ๋องไม่ใช้งานคนเก่งที่อยู่ท่ามกลางเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินในตำแหน่งสำคัญให้มากขึ้นหน่อยล่ะ คิดเสียว่าหยุดยั้งไม่ให้พวกเขาไปพึ่งพาที่ตลาดผี”
ก่วงลิ่งกงถอนหายใจเบาๆ “ยากแล้ว! ยังไม่ต้องพูดถึงว่าทำแบบนี้จะโดนข้อหา ‘ขัดขวางการรับสมัคร’ แล้วจุดอ่อนตกอยู่ในมือประมุขชิง ถ้าทำอย่างนี้จริง ก็จะกระทบกับโครงสร้างปัจจุบันของสี่ทัพแน่นอน”
เม่ยเหนียงแปลกใจ “จะเป็นไปได้ยังไงคะ ตัวละครระดับล่างที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักจะสร้างผลกระทบกับโครงสร้างสี่ทัพได้ยังไง?”
ก่วงลิ่งกงส่ายหน้า “สิ่งที่เรียกว่าพรรคพวกคืออะไรล่ะ? ก็หมายถึงคนทั้งระดับล่างระดับบนล้วนเป็นพวกเดียวกันไง ยกตัวอย่างเช่นผู้บัญชาการข้างล่าง ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ควบคุมพวกเขาโดยตรง แต่พวกเขาล้วนถูกควบคุมโดยผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าอีกที สี่ทัพมีผู้ใต้บังคับบัญชามากขนาดนั้น จะให้ข้าไปควบคุมเองทีละคนก็ไม่ไหวหรอก ดังนั้นจึงต้องให้ผู้ใต้บังคับบัญชาควบคุมต่อเนื่องลงไปทีละขั้น แล้วแต่ละขั้นก็ล้วนมีผลประโยชน์ที่ตัวเองต้องการ ผลประโยชน์ที่คนระดับล่างร้องขอ ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา ก็จะต้องปกป้องผลประโยชน์ไว้ในระดับหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของจอมพลใต้สังกัด ข้าเองก็ต้องพยายามกับเรื่องนั้นเพื่อพวกเขาเหมือนกัน ถ้าข้าปกป้องผลประโยชน์ของจอมพลใต้สังกัดไม่ได้ เมื่อเวลานานไป เจ้าคิดว่าจอมพลพวกนั้นยังจะฟังคำสั่งข้าอยู่หรือเปล่าล่ะ? ระดับที่ต่ำลงกว่านั้นก็ใช้หลักการเดียวกัน คนพวกนั้นที่โดนอำนาจบีบบังคับก็อยู่ในกลุ่มผลประโยชน์เหมือนกัน นี่ก็คือสิ่งที่พรรคพวกทนไม่ได้ ถ้าข้าบุ่มบ่ามเริ่มใช้งาน นั่นก็จะไม่ใช่การใช้งานคนจำนวนน้อยๆ แล้ว จะต้องหาตำแหน่งจำนวนมากมารองรับคนพวกนั้นด้วย หมายความว่าเบื้องล่างจะต้องมีคนจำนวนมากต้องหลีกทางให้พวกเขา คนเบื้องล่างจะยอมตกลงเหรอ? ถ้าคนจำนวนน้อยก็ยังจัดการง่ายหน่อย คนเบื้องล่างไม่กล้าไม่ไว้หน้าข้าหรอก แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับสมาชิกในวงกว้างเกินไป เบื้องล่างไม่มีทางให้ความร่วมมือ หรือจะให้พวกเขานิ่งดูดายปล่อยให้พวกที่โดนอำนาจบีบบังคับขึ้นสู่ตำแหน่งแล้วมาล้างแค้นพวกเขาทีหลังเหรอ? แถมข้ายังต้องยืนยันอีกว่ามีพวกไหนบ้างที่อาจจะไปพึ่งพาตลาดผี ต้องให้เบื้องล่างต่างคนต่างตรวจสอบในพื้นที่ตัวเองด้วย อ๋องผู้นี้จะตรวจสอบเองทีละคนไหวเหรอ? เรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ตัวเอง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและครอบครัวตัวเอง คนเบื้องล่างจะให้ความร่วมมือไหม? พวกเขามีแต่จะหลอกลวงเบื้องบน ระรานเบื้องล่าง ไม่มีทางส่งรายชื่อของจริงขึ้นมา ถึงขั้นอยากจะเตะคนพวกนั้นไปพึ่งพาที่ตลาดผีไวๆ ด้วยซ้ำ
สำหรับเบื้องล่าง พวกเขารู้สึกว่าไม่ว่าคนพวกนั้นจะไปพึ่งพาตลาดผีหรือไม่ ก็ไม่มีผลกระทบต่อพวกเขาเลยสักนิด ในสายตาพวกเขา การเดิมพันของเบื้องบนเกี่ยวอะไรกับพวกเขาล่ะ? และผู้บังคับบัญชาก็ทำได้เพียงปิดตาข้างเดียวกับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าทำให้ทหารเสียกำลังใจ ก็จะสั่นคลอนการควบคุมเบื้องล่าง หวังเฟยที่รัก เจ้าคิดว่าข้าตำแหน่งสูงอำนาจเยอะพลังอิทธิฤทธิ์สูงแล้วจะทำอะไรตามใจได้เหรอ? การปกครองใต้หล้าไม่ได้ง่ายเหมือนที่เจ้าคิดหรอก เมื่อทุกคนเคยลิ้มรสหวานแล้วก็ย่อมมีผลประโยชน์ของตัวเอง จะยอมคายสิ่งที่ได้เข้าปากมาอย่างง่ายๆ ได้ยังไง อีกทั้งยังไม่ใช่ตอนที่ใต้หล้ายังไม่ถูกำหนดที่ทุกคนล้วนไม่มีอะไร นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า บุกยึดใต้หล้านั้นง่าย แต่ปกครองใต้หล้านั้นยาก!”
เม่ยเหนียงเงียบไป วันนี้นับว่าได้รับการสั่งสอนแล้ว นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามอีกว่า “เช่นนั้นจะสัญญากับคนพวกนั้นก่อนได้หรือเปล่า คุมไม่ให้พวกเขาไปตลาดผี รอให้การเดิมพันจบแล้วค่อยจัดการอีกที?”
ก่วงลิ่งกงชี้นาง “ความคิดของผู้หญิง เจ้าคิดว่าคนพวกนั้นโง่กันหมดเลยเหรอ? ขนาดการทดสอบที่แดนอเวจียังกำจัดพวกเขาได้ไม่หมดเลย เป็นคนที่พอจะมีสมองทั้งนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาจะเชื่อคำสัญญาของอ๋องผู้นี้หรือเปล่า ถูกกดขี่มานานหลายปีขนาดนี้ พวกเขาจะไม่รู้ชัดได้ยังไงว่าอำนาจที่กดอยู่เหนือหัวพวกเขาน่าเอียนขนาดไหน? พวกนั้นล้วนเป็นคนที่เกาะกลุ่มกัน ต่อให้จบเรื่องแล้วเลื่อนตำแหน่งให้ได้ ทั้งข้างล่างข้างบนสมคบกัน พวกเขาก็ต้องพิจารณาเหมือนกันว่าจะนั่งในตำแหน่งได้อย่างมั่นคงหรือเปล่า อย่าว่าแต่สี่ทัพเลย ต่อให้เป็นกองทัพองครักษ์ เจ้าค่อนข้างสนใจหนิวโหย่วเต๋อ ไม่เคยได้ยินเชียวเหรอว่าตอนแรกที่หนิวโหย่วเต๋อไปรับตำแหน่งที่กองทัพองครักษ์แล้วเข้าประตูไม่ได้ด้วยซ้ำ? จ้านหรูอี้ไปกองทัพองครักษ์แล้วโดนเล่นงานยับเยินขนาดไหน? ไม่ใช่ทุกคนที่จะโดนกลั่นแกล้งแล้วไม่ล้มเหมือนหนิวโหย่วเต๋อหมด อย่างน้อยหนิวโหย่วเต๋อไปกองทัพองครักษ์ก็ยังพาลูกน้องคนสนิทไปช่วยเหลือได้ แต่คนพวกนั้นไปรับตำแหน่งลำพัง แม้แต่คนช่วยป้องกันคนชั่วก็ไม่มี เบื้องบนแกล้งปิดตาข้างเดียว คนระดับเดี๋ยวกันแอบเล่นไม่ซื่อ คนระดับล่างร่วมมือกันทำชั่ว ทั้งข้างบนข้างล่างไม่มีใครสนับสนุนสักคน คนพวกนั้นถูกเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาแล้วยังไง? เมื่อไปถึงขั้นที่เอากลับคืนไม่ได้ สักวันก็ต้องถูกเล่นงานตาย ถูกข่มมาหลายปี ถ้าแม้แต่หลักการนี้ยังไม่รู้ นั่นต่างหากที่แปลก”
เมื่อได้ยินอะไรพวกนี้ เม่ยเหนียงก็เรียกได้ว่าทอดถอนใจไม่หยุด จึงลองออกความคิดอีก “ในเมื่อเรื่องราวไปถึงขั้นที่เอาคืนไม่ได้แล้ว ท่านอ๋องไม่คิดบ้างเหรอว่าจะแอบส่งคนของตัวเองไปที่นั่น จะได้ฉวยโอกาสเข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผี?”
ก่วงลิ่งกงเอามือไขว้หลังพลางถอนหายใจยาว “นี่ก็คือจุดที่ยอดเยี่ยมของแผนการของหนิวโหย่วเต๋อ ทำให้คนจนปัญหาแบบหน้าตาเฉย แทงโดนจุดอ่อนของสี่ทัพพอดี ทำไมเขาถึงไม่รับคนที่เรียกว่าทหารเกรียงไกรของสี่ทัพน่ะเหรอ? อักษรบนป้ายหินเขียนสรรพคุณของตัวเองเป็นชุดว่าไต่เต้าขึ้นมาจากระดับต่ำ เข้าใจความลำบากของคนระดับต่ำอะไรนั่นล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล ถ้าจะพูดให้ถูก เขาไม่เชื่อมั่นใจตัวทหารเก่งๆ ที่มาพึ่งพาเลย เขาถึงจำกัดแค่พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินไง อีกทั้งคนพวกนั้นก็ถูกข่มมาหลายปี หมดความหวังใดๆ ต่อเบื้องบนแล้ว เรียกได้ว่าสี่ทัพช่วยคัดออกให้หนิวโหย่วเต๋ออย่างสะอาดเรียบร้อย ล้วนเป็นกำลังพลสำเร็จรูปทั้งนั้น เอาไปก็ใช้งานได้เลย เฮ้อ! หนิวโหย่วเต๋อได้ชุบมือเปิบแล้ว ได้ชุบมือเปิบครั้งใหญ่ เวรตะไลเอ๊ย!” ยังพูดไม่ทันจบก็โพลงคำหยาบออกมาแล้ว นี่ต้องรู้สึกไม่ยอมขนาดไหนกัน
เม่ยเหนียงขมวดคิ้ว “พอมาดูแบบนี้ ต่อให้ท่านอ๋องถ่ายทอดคำสั่งบังคับให้คนพวกนั้นย้ายออกจากตำแหน่งพวกนั้นชั่วคราวก็ไม่ได้เหมือนกัน แบบนั้นเกี่ยวข้องกับวงกว้าง เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่เกินไป อยากจะปิดบังประมุขชิงก็ทำไม่ได้ ข้อหาขัดขวางการรับสมัครจะกลายเป็นจุดอ่อนแน่นอน ท่านอ๋อง แล้วจะปฏิเสธได้มั้ยว่าคนที่เขารับไปไม่ใช่ทหารเกรียงไกรของสี่ทัพ ถึงยังไงก็เป็นพวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดิน มีอะไรให้ว่าเหมือนกันนะ”
ก่วงลิ่งกงหัวเราะแห้ง “คำพูดนี้จี้จุดแล้ว เป็นเรื่องที่ทำให้คนวุ่นวายใจอีก ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ว่าคนที่จะไปพึ่งพามีวรยุทธ์เป็นยังไง ในเมื่อต้องการจะเลือกรับเข้า ศักยภาพของกำลังพลหนึ่งแสนนั่นคงไม่แย่แน่นอน เกรงว่าเจ้าเด็กนั่นคงจะสร้างกองทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่มีศักยภาพแข็งแกร่งที่สุดท่ามกลางคนระดับเดียวกัน ถึงตอนนั้นจะให้คนทนความรู้สึกได้ยังไง?”
“กองทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้า?” เม่ยเหนียงตกใจ เรียกได้ว่าสูดหายใจลึกด้วยตระหนก สายตาวูบไหวไม่หยุดนิ่ง
ก่วงลิ่งกงพูดต่อว่า “เจ้าเป็นคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยง เจ้าเวรหนิวโหย่วเต๋อนั่นกล้าโอ้อวดต่อหน้าขุนนางเต็มราชสำนักว่าตัวเองสามารถสู้ตัวต่อตัวหรือนำทัพทำสงครามก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้น คนที่เขารับไว้จะไม่นับเป็นทหารเกรียงไกรของสี่ทัพเหรอ ตอนยังไม่มีกำลังพล เจ้าเด็กนั่นยังกล้ากำเริบเสิบสานขนาดนั้น เมื่อในมือมีทัพใหญ่ที่เป็นทหารกล้าแล้ว เจ้าคิดว่าเขาจะเกรงใจเหรอ? ถ้าใครกล้าปฏิเสธ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะพิสูจน์ด้วยวิธีแข็งกร้าว ผลงานที่เขาเคยบัญชาการรบก็เห็นๆ กันอยู่ เรื่องความสามารถไม่มีอะไรต้องสงสัย ใครจะกล้าไปเสี่ยงอันตรายง่ายๆ ล่ะ ถ้ารับคำท้าขึ้นมาแล้วโดนเขาโจมตีจนกลายเป็นสวะไร้ประโยชน์ จะเก็บเศษหน้าไหวเหรอ? ใครจะพูดได้ว่าคนที่เขารับจะไม่ใช่ทหารเกรียงไกร? ความจริงได้พิสูจน์ทุกอย่างแล้ว! มีเรื่องอะไรบ้างที่เจ้าบ้านั่นทำไม่ได้ พวกเราจำเป็นต้องสร้างความอัปยศให้ตัวเองเหรอ?” พูดจบก็เอามือไขว้หลังเดิน “ถ้าเขาสร้างทัพใหญ่ที่ห้าวหาญขนาดนั้นได้จริงๆ ในมือมีกำลังทหารมากขนาดนั้น กลายเป็นเจ้าอาณาเขต คุมแดนรัตติกาลเพียงผู้เดียว เบื้องบนไม่มีใครคุมลงมาทีละขั้นด้วย อำนาจการตัดสินใจเยอะเกินไป ถ้าไม่เกิดเหตุไม่คาดคิด เกรงว่าเขาจะต้องค่อยๆ ก้าวหน้าเป็นรูปเป็นร่างแล้ว!”
เม่ยเหนียงรีบถาม “ถ้าสามารถสร้างทัพใหญ่ที่มีศักยภาพอย่างนั้นได้จริง วังสวรรค์คงไม่รู้สึกดีอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อนัก ประมุขชิงจะให้เขาคุมกำลังพลกลุ่มนั้นเหรอ? จะย้ายเขาไปแล้วให้คนอื่นมารับช่วงแทนหรือเปล่า?”
ก่วงลิ่งกงเดินไปเดินมาพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดจริงเหรอว่าทุกคนที่ไปแล้วตั้งป้ายแบบนั้นจะทำให้รับสมัครคนได้? ถ้ามีคนไปพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ นั่นก็ล้วนเป็นความสำเร็จที่หนิวโหย่วเต๋อสร้างขึ้นโดยอาศัยปัจจัยต่างๆ ที่สะสมมาตลอดทาง กอปรกับงานเลี้ยงครั้งนั้นอาศัยกำลังของคนคนเดียวสร้างการเดิมพันจนชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า แล้วเจ้าหนุ่มนั่นก็ปราชาสัมพันธ์ตั้งป้ายว่าไม่รับทหารเกรียงไกรของสี่ทัพ สร้างผลกระทบที่เลวร้ายที่สุด กำลังอาศัยประเด็นนี้แสดงความสามารถและซื้อใจคนจริงๆ ดังนั้นคนที่ไปขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อก็ไปเพราะตัวบุคคล ไม่ได้ไปเพราะสวัสดิการของตลาดผี สวัสดิการของตลาดผีดึงดูดคนได้ด้วยเหรอ? ใครกล้ารับประกันว่าไปแล้วจะนั่งตำแหน่งของหนิวโหย่วเต๋อได้?”
…………………………