ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าปล่อยให้คนของเขตเมืองตะวันตกตีคนของเขตเมืองตะวันออกที่เขตเมืองตะวันออก แบบนั้นก็แย่แล้ว ต่อให้เป็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ทำไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวได้โดนโค่วเหวินหลานด่าตาย จะเสียหน้าแบบนี้ไม่ได้
ขณะเดียวกัน มีบางคนรีบส่งข่าวไปบอกโค่วเหวินหลานแล้ว
ลูกน้องสี่คนของเซี่ยโห้วหลงเฉิงย่อมสู้ไม่ไหว เพียงตะโกนด่าทอใส่กันเท่านั้น
เซี่ยโห้วหลงเฉิงก้าวขึ้นมาใช้สองมือดันลูกน้องออกไป แล้วตะโกนว่า “ทำไม? อยากจะลงมือซ้อมข้ารึไง? ไอ้คนนั้นที่มันหลบอยู่ข้างหลัง โผล่หัวออกมาสิวะ!” ขณะที่พูดเขาก็ชี้ไปทางเหมียวอี้
การหาเรื่องในวันนี้พุ่งเป้ามาที่เหมียวอี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคนในตระกูลเขาส่งข่าวมาถามเรื่องที่โค่วเหวินหลานได้หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำไป เขาก็คงไม่ทันสังเกตว่าเหมียวอี้กลายเป็นคนของเขตเมืองตะวันออกไปแล้ว หลังจากรู้เรื่องก็โมโหจนปอดแทบระเบิด
เพียงแต่เวลาเจ้าบ้านี่โมโหขึ้นมา ก็จะไม่ค่อยสนใจผลที่ตามมาสักเท่าไร วิ่งมาที่เขตเมืองตะวันออกโดยตรงเลย
เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าเขาพุ่งเป้ามาที่ตน จึงไม่ได้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าอย่าง ‘ทันเวลา’ หดหัวอยู่ข้างหลังกลุ่มคน จะได้ไม่โดนเล่นสกปรกใส่
ขณะนี้เอง บนฟ้าก็มีเงาคนคนหนึ่งแวบเข้ามา โค่วเหวินหลานนำรองผู้บัญชาการสองคนมาถึงแล้ว มาเหยียบลงนอกศาลากลางน้ำ แล้วเดินก้าวยาวเข้ามาตวาดว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิง เจ้าบังอาจมาก่อเรื่องที่อาณาเขตของข้าเหรอ!” กลุ่มคนหลีกทางให้ เดินมาถึงตัวเซี่ยโห้วหลงเฉิงและชี้หน้าด่าแล้ว
เซี่ยโห้วหลงเฉิงหัวเราะหึหึ แล้วถามว่า “เจ้าตุ้งติ้ง จะพูดจาซี้ซั้วไม่ได้นะ ลูกตาข้างไหนของเจ้าที่เห็นข้าก่อเรื่อง?”
โค่วเหวินหลานเดือดดาลทันที “ไอ้หมีควายเซี่ยโห้ว ข้าเห็นกับตาตัวเอง!”
“เจ้าตุ้งติ้ง เจ้าด่าใครว่าหมีควาย?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงหน้าบึ้ง
โค่วเหวินหลานใช้นิ้วจิ้มหน้าอกเขา “ข้าก็ด่าเจ้านั่นแหละ ไอ้หมีควาย!”
“ยังกล้าเอานิ้วมาจิ้มข้าอีกเหรอ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงประสาทเสียทันที ง้างหมัดอยากจะชก อยากจะทำให้ใบหน้าน่ารังเกียจของโค่วเหวินหลานพังเละ
แต่ถูกลูกน้องทั้งสี่คนดึงมือไว้ พยายามควบคุมเขาไว้ หนึ่งในนั้นถ่ายทอดเสียงเตือนว่า “ผู้บัญชาการ พวกเขามีคนเยอะกว่า ถ้าสู้กันขึ้นมาพวกเราจะเสียเปรียบ! มิหนำซ้ำที่นี่ยังไม่ใช้อาณาเขตของพวกเราด้วย เสียเปรียบแล้วยังไม่มีที่ให้ทวงความยุติธรรมอีก เขากำลังใช้วิธียั่วยุ เขากำลังเห็นท่านเป็นคนโง่ กำลังจงใจยั่วโมโหท่าน!”
ที่จริงคนที่กำลังพูดอาจจะไม่ได้กำลังทำให้เขาใจเย็นลงก็ได้
สมกับเป็นคนที่คุ้นเคยกัน พอได้ยินคำนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ใจเย็นลงจริงๆ ด้วย เขามองซ้ายมองขวา พบว่าฝ่ายตัวเองมีแค่ห้าคน แต่อีกฝ่ายกลับมีเกือบร้อยคน ถ้าสู้กันขึ้นมาตนจะต้องเสียหน้าแน่นอน จึงทำเสียงฮึดฮัดแล้ววางหมัดลง
โค่วเหวินหลานกลับไม่ปล่อยเขาไป ใช้นิ้วจิ้มที่หน้าอกเขาซ้ำๆ “ไอ้หมีควายหน้าเหม็น ยอมแพ้แล้วเหรอ? เจ้าลองลงมือให้ข้าดูสักครั้งสิ ทำหลบๆ ซ่อนๆ ลับหลังจะถือว่าเก่งอะไรล่ะ? ดูร่างใหญ่กำยำ แต่กลับเป็นขี้แพ้ที่กล้าแค่ขว้างหินจากข้างหลัง มันตัวอะไรกันแน่!”
“อุ้ว่ะฮ่าๆ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโมโหจนหัวเราะเสียงดัง ควงหมัดอยากจะชกอีกที
ปรากฏว่าโดนลูกน้องสี่คนดึงไว้อีกครั้ง “นายท่าน เมื่อตกที่นั่งเสียเปรียบ บุรุษอกสามศอกย่อมยอมลดราวาศอกได้!”
ลูกน้องทั้งสี่แอบถ่ายทอดเสียงเกลี้ยกล่อมไม่หยุด เหมียวอี้กลับพูดไม่ออกนิดหน่อย ถ้าไม่ได้เข้ามาอยู่วงในก็คงดูไม่ออก ทหารสวรรค์พวกนี้ดูเหมือนปรองดองกัน แต่หลังจากเขาได้เข้ามาอยู่ในกลุ่ม ก็พบว่าไม่ได้ต่างจากพิภพเล็กสักเท่าไร
เซี่ยโห้วหลงเฉิงส่ายหัวเหมือนสิงโตทันที สะบัดลูกน้องสี่คนนั้นออก แล้วหันกลับมาฝ่าวงล้อม ประชิดเข้าไปตรงหน้าเหมียวอี้โดยตรง เขาทำเหมือนโค่วเหวินหลาน ใช้นิ้วจิ้มหน้าอกเหมียวอี้ไม่หยุด “ไอ้เด็กน้อย เจ้าเก่งนักนะ บังอาจทรยศข้า กินบนเรือนขี้บนหลังคา!”
เหมียวอี้ก้าวถอยหลัง หลีกเลี่ยงไม่ให้โดนจิ้มเป็นครั้งที่สาม ถามเหมือนแปลกใจว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว ข้าไม่เคยเอาของอะไรมาจากท่านเลย และไม่ใช่ลูกน้องของท่านด้วย จะกลายเป็นทรยศท่านได้อย่างไร?”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงทำสีหน้าไม่ถูก ที่อีกฝ่ายพูดเหมือนจะมีเหตุผล อีกฝ่ายไม่เคยเอาอะไรจากเขาจริงๆ และไม่ใช่ลูกน้องเขาด้วย กลับเป็นเขาที่ตักตวงของมาจากอีกฝ่ายมากมาย แต่ที่บอกว่าทรยศ เขาไม่ได้หมายความอย่างนี้ เขาหมายถึงเดิมทีเหมียวอี้เป็นคนในอาณาเขตเขา แต่กลับนำหุ้นจากร้านขายของชำในอาณาเขตเขามาให้โค่วเหวินหลาน ไม่ยอมมอบให้เขา ทั้งยังมาขอพึ่งพาเป็นลูกน้องของโค่วเหวินหลานอีก แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน
หารู้ไม่ว่าถ้าพูดถึงความคุ้นเคยสนิทสนม เหมียวอี้ต้องสนิทสนมกับเขามากกว่าแน่นอน เหมียวอี้ก็อยากจะมอบหุ้นสองส่วนนั้นให้เขาเพื่อแลกความสงบสุขเหมือนกัน แต่เจ้าบ้านี่เชื่อถือไม่ได้เลย เมื่อเขารับของของไปแล้ว ก็อาจจะไม่จัดการธุระให้ก็ได้ ไม่แน่ว่าถ้าหวงฝู่จวินโหรวยุยงแค่คำเดียว เจ้าบ้านี่ก็อาจจะมาจัดการโดยไม่มีเหตุผลอะไรเลยก็ได้ เจ้าบ้านี่ไม่พูดจากันด้วยเหตุผลเลย
โค่วเหวินหลานได้ยินแล้วขำทันที พอจะเดาสาเหตุที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงมาก่อเรื่องที่นี่ได้แล้ว เขาจึงเดินเข้ามาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาพูดถูกนะ เขาไม่เคยเอาของของเจ้าไป และไม่ได้เป็นลูกน้องของเจ้าด้วย ทำไมกลายเป็นทรยศเจ้า กลายเป็นกินบนเรือนขี้บนหลังคาแล้วล่ะ?”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงย่อมรู้ว่าตัวเองเสียเปรียบเรื่องเหตุผล เรียกได้ว่าแยกเขี้ยวยิงฟัน ชี้เหมียวอี้พลางตวาดอย่างเดือดดาล “ไอ้เด็กนี่ ที่เจ้าซ้อมข้า ข้ายังไม่คิดบัญชีเลยนะ?”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ทุกคนรวมทั้งโค่วเหวินหลานต่างมองไปที่เหมียวอี้อย่างประหลาดใจ รู้สึกเหลือเชื่อที่เหมียวอี้กล้าซ้อมเขา เหมียวอี้จึงทำท่าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนคนบริสุทธิ์ไร้ความผิดทันที
โค่วเหวินหลานพลันหัวเราะเยาะ “ไอ้หมีควาย ต่อให้อยากจะหาเรื่อง แต่ก็ไม่ต้องหาข้ออ้างน่าเกลียดขนาดนี้ก็ได้มั้ง?”
“ดี ไอ้เด็กนี่กล้านักเหรอ รอข้าก่อนเถอะ เดี๋ยวได้ถึงเวลาที่เจ้าร้องไห้แน่!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ชี้เหมียวอี้ยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่วนสาเหตุที่ยอมให้เหมียวอี้ซ้อม เขาก็พูดออกมาไม่ได้เหมือนกัน ทำได้เพียงฝากเอาไว้ก่อน โบกมือตะโกนว่า “พวกเรากลับ!”
“อย่ารีบไปสิ! ในเมื่อมาแล้วก็ดื่มกันสักจอกสิ! ทำไม กลัวข้าเหรอ?” โค่วเหวินหลานสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมาป้องปากหัวเราะ
“ข้าเนี่ยนะกลัวคนตุ้งติ้งแบบเจ้า? หรือว่าเจ้ากล้าวางยาพิษข้าล่ะ?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถ่มน้ำลาย แล้วหันไปชี้ท่านแม่สวีกับเสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ข้างล่างเวที “วันนี้เขตเมืองตะวันตกสั่งห้ามออกนอกบ้านยามวิกาล ทุกร้านห้ามออกมาข้างนอก พวกเจ้ายังไม่ใสหัวกลับไปอีก?” ชัดเจนว่าเขาไม่อยากให้คนทางนี้มีความสุข
ท่านแม่สวีกับเสวี่ยหลิงหลงพูดไม่ออกมาก เมื่อเจอคนไร้เหตุผลแบบนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่วันแรกที่ได้รู้จักคนคนนี้ จึงทำได้เพียงมองไปที่โค่วเหวินหลานด้วยแววตาขอร้อง โชคดีที่โค่วเหวินหลานไม่ได้ทำให้พวกนางลำบากใจ การไม่แสดงท่าทีอะไรก็คือคำตอบ ท่านแม่สวีรีบพาคณะนางรำของหอกลิ่นสวรรค์หนีออกไปทันที
และเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็โดนโค่วเหวินหลานล่อลวงออกไปอย่างนั้นแล้ว เพียงแต่ก่อนจะออกไป โค่วเหวินหลานหันกลับมาถ่ายทอดเสียงสั่ง
รอจนกระทั่งพวกเขาหายไปแล้ว สวีถังหรานก็ดึงตัวเหมียวอี้ไปอีกด้าน แล้วกระซิบบอกว่า “นายท่านผู้บัญชาการออกคำสั่ง บอกว่าเขตเมืองตะวันออกเสียหน้าแล้ว ต้องกู้หน้ากลับมา ให้พวกเราสู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน สั่งให้ข้ากับเจ้าไปพังจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก”
ไม่ใช่มั้ง? เหมียวอี้ตกใจมาก!
สวีถังหรานไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้น ให้ทุกคนกินดื่มอยู่ที่นี่ต่อ แล้วตัวเองก็ดึงเหมียวอี้วิ่งออกไป
พอทั้งสองออกจากสวนบูรพา ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าปลอมตัว ถือโอกาสพกหินชมทัศนียภาพก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งไปด้วย อาศัยความมืดคลำทางไปถึงด้านนอกจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก
พวกเขาหลบใต้ฐานกำแพง ทั้งสองเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนโยนก้อนหิน เหมียวอี้จำใจมาก กล่าวถ่อมตัวว่า “น้องชายเพิ่งมาใหม่ ภารกิจสำคัญแบบนี้ หากทำพลาดเกรงว่าจะละอายใจต่อนายท่านผู้บัญชาการ ดีไม่ดีอาจจะทำให้พี่สวีลำบากไปด้วย พี่สวีลงมือแล้วกัน!”
สุดท้ายสวีถังหรานก็บอกอีกว่า “นายท่านผู้บัญชาการสั่งไว้ ว่าให้เจ้าลงมือด้วยตัวเอง ถือเป็นใบมอบตัวเพื่อเจ้าเข้าเขตเมืองตะวันออก!”
ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าใช่คำพูดของโค่วเหวินหลานหรือว่า เหมียวอี้แอบด่าแม่ในใจ แต่จะไม่ทำตามก็ไม่ได้ ภายใต้ความจนใจ เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ยกโยนหินก้อนใหญ่ออกไปหนึ่งก้อน จากนั้นทั้งสองก็รีบหนีไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงโครมครามแว่วๆ อยู่ข้างหลัง ทั้งยังมีเสียงตกใจป่นด่าทอจากในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกด้วย
ทั้งสองรีบหนีกลับมาที่สวนบูรพา ถอดเครื่องปลอมตัวออก แล้วกลับเข้ามานั่งกินดื่มต่อไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้
ผ่านไปไม่นาน ก็ได้ยินเสียงโมโหเดือดดาลปานฟ้าผ่าของเซี่ยโห้วหลงเฉิงดังขึ้น เจ้าตัวถือดาบใหญ่นำคนพุ่งเข้ามาในศาลากลางน้ำที่ไร้หลังคา ควงดาบตะคอกถามว่า “ใครมันไปพังจวนผู้บัญชาการของข้า?”
เมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนี้ ทุกคนในงานก็พากันงง มีคนไม่น้อยแอบมองไปทางสวีถังหรานกับเหมียวอี้เงียบๆ เพราะทั้งสองออกจากงานไปพักหนึ่ง พวกเขามีคำตอบในใจแล้ว
เหมียวอี้มองโค่วเหวินหลานที่วิ่งตามเข้ามา ด่าในใจว่าไอ้ตุ้งติ้งคนนี้หน้าเนื้อใจเสือใช้ได้เลย ถ่วงเวลาเซี่ยโห้วหลงเฉิงอยู่ทางนี้ แต่ลับหลังกลับสั่งคนให้ไปพังรังของเซี่ยโห้วหลงเฉิง
สวีถังหรานยืนขึ้นตอบทันที “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้วกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเรากินดื่มอยู่ที่นี่ตลอด ไม่ได้ออกไปไหนเลย จะไปพังจวนผู้บัญชาการของท่านได้อย่างไรขอรับ? ถ้าไม่เชื่อก็ถามทุกคนในงานดูสิ”
ทุกคนตอบเสียงดังเป็นระลอกทันที “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้วเข้าใจพวกเราผิดแล้ว พวกเราไม่ได้ออกไปไหนเลย”
โค่วเหวินหลานจับแขนของเซี่ยโห้วหลงเฉิง แล้วหรี่ตายิ้มพร้อมบอกว่า “ข้าว่าเจ้าเข้าใจผิดแล้วล่ะ ลูกน้องข้าไม่เอาหินไปทุ่มใส่ศาลากลางน้ำหรอก มีแต่พวกเลวทราม ต่ำช้า หน้าด้าน โง่เง่าเท่านั้นถึงจะทำเรื่องแบบนี้ได้!”
“เจ้า… โค่วเหวินหลาน เจ้าคอยดูเถอะ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงแทบจะพ่นน้ำลายใส่หน้าเขา พอโบกดาบหนึ่งที เสาคานที่หักไปครึ่งหนึ่งก็กระเด็นออกไป แล้วโบกดาบไปทางพวกลูกน้องพร้อมตะโกนสั่ง “พวกเรา กลับ!” เรียกได้ว่านำลูกน้องตัวเองออกไปจากกระฟัดกระเฟียด
ภาพที่โค่วเหวินหลานโบกผ้าเช็ดหน้าพลางกล่าวส่งแขก เหมียวอี้เห็นแล้วขนลุกทั้งตัว ให้ความรู้สึกเหมือนเวลาท่านแม่สวีกล่าวส่งแขก คนอื่นๆ เหมือนจะเห็นจนกลายเป็นเรื่องปกติแล้ว
ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว โค่วเหวินหลานก็สีหน้ากลับมานิ่งเฉยเป็นปกติ ตะคอกทุกคนว่า “ยังจะมัวกินดื่มอะไรกันอีก เจ้าหมีควายมันเป็นคนต่ำช้าเจ้าคิดเจ้าแค้น ยังไม่รีบไปบอกให้คนเตรียมป้องกันอีก!” แล้วก็หันมาบอกรองผู้บัญชาการที่อยู่ข้างกาย “ไปเชิญผู้การสองจากตำหนักคุ้มเมืองมาสักเที่ยว!”
ทุกคนแยกย้ายทันที เหมียวอี้ไปคิดเงิน ปรากฏว่าผู้จัดการสวนบูรพาไม่ยอมรับเงิน บอกว่าเป็นการแสดงความยินดีที่เขาได้รับตำแหน่ง แล้วขอฝากเนื้อฝากตัวกับเขาด้วย
เหมียวอี้ยิ้มตอบ นับว่าการกินดื่มและการชมดนตรีในคืนนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายเลยสักนิด
พอกลับจวนผู้บัญชาการ เพิ่งจะเข้าประตูใหญ่มา เขาก็โดนทหารคนหนึ่งดึงตัวไปเจอกับพวกสวีถังหรานและทหารเลวอีกห้าคนเพื่อประชุม
เหมียวอี้ สวีถังหราน ปู้เหลียนจง สวี่เต๋อ ข่งเฟยฝาน ส้าวเติงก่วง หลัวว่านกวง ทหารเลวทั้งเจ็ดนั่งล้อมกันอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง เหมียวอี้ที่เพิ่งเข้ามานั่งถามอย่างแปลกใจ “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
ปู้เหลียนจงบอกว่า “นายท่านผู้บัญชาการบอกมา ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงต้องกลับมาล้างแค้นแน่นอน คืนนี้อย่าคิดว่าจะได้เป็นอิสระเลย เฝ้ารอแต่โดยดีเถอะ”
หลัวว่านกวงถอนหายใจอีก “ตอนนี้เป็นช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม รอดูว่านายท่านกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงใครจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ ถ้าให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็น ก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ตลาดสวรรค์ไม่มีที่ให้นายท่านยืนแน่นอน เซี่ยโห้วหลงเฉิงต้องบีบบังคับให้นายท่านออกไปแน่ แบบนั้นพวกเราก็แย่เหมือนกัน ถึงตอนนั้นถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่เล่นงานพวกเราถึงตายก็แปลกแล้ว”
“มันเรื่องอะไรกัน?” เหมียวอี้ตกใจมาก อย่าขู่ให้ข้าตกใจสิ เซี่ยโห้วหลงเฉิงกำลังจะเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ล้อเล่นอะไรของเจ้า? รีบถามทันทีว่า “ช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มอะไร?”
…………………………