ทว่าในเมื่อมาแล้ว นอกเสียจากจะเลี้ยวแล้วจากไปตอนนี้ ไม่อย่างนั้นสักวันก็จะต้องโดนเปิดโปงตัวตนอยู่ดี ดังนั้นหลังจากลังเลครู่หนึ่ง หลงซิ่นก็ยังเขียนประวัติตัวเองเงียบๆ อย่างรวบรัดขณะปะปนอยู่ในกลุ่มคน
วิธีการดำเนินการที่อยู่ภายใต้การจับตาดูของกองทัพองครักษ์แบบนี้ ว่ากันตามจริง หลงซิ่นไม่ค่อยชอบสักเท่าไร ถึงแม้จะเขาจะตกจากตำแหน่งสูงมานานมากแล้ว ต่อให้เขาเป็นเทพแห่งผืนดิน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนเป็นนักโทษอย่างนี้ เพียงแต่เขาก็พอเข้าใจได้ ว่าถ้าไม่เสริมการควบคุม ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีคนมาก่อกวน ยกตัวอย่างเช่นอำนาจบางกลุ่มที่หวังให้การรับสมัครล้มเหลว ดังนั้นผู้สมัครทุกคนรวมทั้งเขาล้วนต้องให้ความร่วมมือ
ในที่สุดก็ถึงตาเขาแล้ว พอระฆังตรงทางเข้าส่งเสียงดัง สมาชิกที่ยืนตรงประตูก็กวักมือเรียกเขา
หลงซิ่นก้าวขึ้นมาข้างหน้า อีกฝ่ายเก็บป้ายลำดับในมือเขาแล้ว นำมาตรวจสอบเทียบกับหมายเลขแผ่นหยกในมือเขา หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่ผิดพลาด ก็โบกมือเชิญให้เขาเข้าไป อีกฝ่ายใบหน้าเจือรอยยิ้ม ท่าทีเป็นมิตรกว่าสมาชิกกองทัพองครักษ์พวกนั้นตั้งเยอะ
พอเข้ามาในห้องเล็กห้องแรก หลังจากเห็นประกาศข้างในแล้ว หลงซิ่นก็ลงตราอิทธิฤทธิ์บนแผ่นหยกแล้ววางบนโต๊ะ แล้วยกมือขึ้นถอดหน้ากากเงียบๆ หลังจากเห็นสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วหลงซิ่น คนที่นั่งหลังโต๊ะยาวก็อึ้งเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตกใจแล้ว เขาอ่านเนื้อหาในแผ่นหยกอีกครั้ง แล้วก็ค่อยๆ เงยหน้ามองอย่างพูดไม่ออก
หลงซิ่นแสยะยิ้มในใจ รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นอย่างนี้
เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรมาก โบกมือเชิญให้เขาไปยังด่านต่อไป
สมาชิกที่ทำหน้าที่ตรวจสอบด่านถัดไปได้เห็นแผ่นหยกที่ส่งมาล่วงหน้าแล้ว ตกใจกับเนื้อหาที่อยู่ข้างในเช่นกัน รอจนหลงซิ่นเข้ามาแล้วก็เทียบเนื้อหาในแผ่นหยกอีกครั้ง จากนั้นก็ขอให้หลงซิ่นลงตราอิทธิฤทธิ์ในแผ่นหยก แล้วเชิญให้เขาไปด้านถัดไป
รอจนกระทั่งหลงซิ่นออกไปแล้ว เขาก็รีบหยิบพูดกันเต้มชาดแดงวาดสัญลักษณ์สีแดงบนแผ่นหยก เสร็จแล้วถึงได้ส่งให้ไหลเข้าไปในทางเล็กๆ จากนั้นดึงเชือกที่อยู่ข้างๆ อีกฝังหนึ่งมีระฆัง บอกใบ้ด่านถัดไปว่าสามารถปล่อยคนเข้าไปได้
สาเหตุที่บนแผ่นหยกวาดสัญลักษณ์สีแดงไว้เป็นพิเศษ ก็เพราะบัณฑิตสั่งไว้ สาเหตุเดิมย่อมเป็นเพราะก่อนหน้านี้มีนักพรตระดับบงกชกลายโผล่มา คนพวกนี้ต้องถูกจำแนกออกมาจากแผ่นหยกกองใหญ่ ไม่อาจดำเนินการอย่างเชื่องช้าตามกระบวนการ เมื่อปรากฏแผ่นหยกที่ลงตราสัญลักษณ์ประเภทนี้ ก็จะแยกส่งไปให้ถึงมือบัณฑิตก่อนทันที
หลงซิ่นที่มาถึงด่านนี้แล้วรู้สึกเหนือความคาดหมายมาก ถ้าจะพูดให้ถูก เมื่อเขาเห็นประกาศประกาศแล้วรู้สึกโมโหนิดหน่อย
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? แค่นี้ก็เสร็จแล้วเหรอ? ตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่ได้พูดอะไรสักระโยค เดินอยู่ในทางใต้ดินรอบหนึ่งด้วยความรวดเร็ว นี่จะให้ข้ากลับไปรอฟังประกาศเหรอ?
แน่นอน เขาเองก็เข้าใจได้เช่นกัน ถึงอย่างไรก็มีคนตั้งมากมาย จวนแม่ทัพภาคตลาดผีถึงต้องออกแบบขั้นตอนที่รวดเร็วอย่างนี้ขึ้นมา แต่แบบนี้มันก็เร็วเกินไปแล้วมั้ง นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งผู้สง่าภูมิฐานอย่างข้ามาขอพึ่งพา ทั้งยังเคยเป็นท่านโหวที่เข้าประชุมในราชสำนัก ข้าไม่ขอให้เจ้าหนิวโหย่วเต๋อเดินเท้าเปล่าหรอก แต่การให้เกียรติขั้นพื้นฐานก็ต้องมีบ้างสิ จะไล่พ่อกลับไปอย่างนี้น่ะเหรอ? ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องบอกกันสักคำไม่ใช่เหรอ? เจ้ามีหน้ามาสั่งให้คนระดับข้าถ่อไปถ่อมาอย่างนั้นเหรอ?
หลงซิ่นมองประกาศด้วยสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย
ช่างไม้ที่เฝ้าอยู่ด่านนี้ยังไม่เห็นสัญลักษณ์พิเศษบนแผ่นหยก แต่กลับเห็นสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วของผู้ที่เดินเข้ามาแล้ว
โอ้โห แม่เจ้าโว้ย นี่มันเรื่องอะไรกัน? ช่างไม้จ้องสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย นี่เรื่องจริงหรือล้อเล่น? สัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ก่อเป็นรูปจริงแล้วใช่ไหม? ระดับสำแดงฤทธิ์สินะ? ระดับสำแดงฤทธิ์มาสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีเหรอ? ล้อเล่นอะไรกัน คงไม่ได้วาดเอาเองใช่มั้ย?
แต่ดูแล้วก็ไม่เหมือนวาดออกมา เหมือนจะเป็นของจริง ทำเอาช่างไม้ตกใจจนใบหน้ายิ้มแข็งทื่อนิดหน่อย
ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะกำชับไว้แล้ว แต่การมีกองทัพองครักษ์จับตาดูอย่างเข้มงวดอย่างนี้จะทำให้ผู้สมัครรู้สึกไม่พอใจได้ง่าย ไม่ว่าผู้ที่มาสมัครจะผ่านการคัดเลือกหรือไม่ แต่พวกเราจะต้องมีท่าทีที่ดีเข้าไป อย่างน้อยก็ต้องยิ้มแย้มให้ทุกคน จะให้คนสมัครรู้สึกว่าพวกเราวางมาดไม่ได้ ถ้าพวกเรามีท่าทีไม่เป็นมิตร ก็อาจทำให้นายท่านไม่ได้ใจคน โดยเฉพาะคนสัมภาษณ์อย่างพวกเจ้า คนที่มาสมัครแทบจะผ่านมือพวกเจ้าทุกคน ท่าทีของพวกเจ้าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ดังนั้นต้องทุกคนต้องมีรอยยิ้มประดับใบหน้า
ด้วยเหตุนี้ ช่างไม้จึงยิ้มให้คนไปไม่รู้ตั้งกี่คนแล้ว ยิ้มจนหน้าค้างนิดหน่อย แต่รอบนี้ยิ้มแข็งจากภายในสู่ภายนอกแล้วจริงๆ
ทว่าเขาก็ยังทำตามขั้นตอน ยื่นมือบอกใบ้หลงซิ่นว่าสามารถไปได้แล้ว
ผู้สมัครที่เดินออกมาจากทางอื่นเห็นหลงซิ่นแล้วก็ตกใจเช่นกัน จริงหรือล้อเล่น ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็มาขอพึ่งพาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีเหมือนกันเหรอ? ชั่วพริบตานี้ ผู้สมัครอดคิดไม่ได้ว่าโอกาสสำเร็จช่างริบหรี่เหลือเกิน ขนาดยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ยังมาเลย แล้วตัวเองจะนับเป็นตัวอะไรล่ะ!
หลงซิ่นหน้าบึ้ง จ้องช่างไม้อย่างเย็นเยียบ ยืนอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน ทำเอาช่างไม้รู้สึกประหม่านิดหน่อย
ผู้สมัครคนอื่นไม่ได้กล้าหาญเท่าหลงซิ่น แต่ละคนออกจากที่นี่ไปตามประกาศ สาเหตุสำคัญเป็นเพราะไม่อยากให้คนที่ตามมาตอนหลังเห็นโฉมหน้าของตัวเองชัดเจน นี่ก็คือจุดที่ยอดเยี่ยมของการออกแบบด่านนี้ ทำให้คนมาพัวพันกับผู้เข้าสมัครน้อยลง ส่งเสริมให้พวกเขาสำนึกได้เองว่าต้องจากไป
แต่หลงซิ่นไม่สนใจแล้ว ในสายตาหลงซิ่น นอกเสียจากว่าตัวเองจะดวงซวยบังเอิญเจอสายลับที่อำนาจฝ่ายอื่นส่งมา ไม่อย่างนั้นคนที่ออกจากที่นี่ก็ไม่มีทางบอกว่าตัวเองเห็นอะไรที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ถ้าพูดอย่างนี้ออกมาจริงๆ จะไม่เท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่าตัวเองก็เคยมาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีเหมือนกันหรอกเหรอ แบบนั้นไม่เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวหรือไง?
“หลงซิ่น?” ตรงทางด้านข้างมีสตรีวัยกลางคนสุดสง่างามที่แต่งตัวเหมือนชายเดินออกมาคนหนึ่ง ดวงตากลมโต เปิดเผยใบหน้า สัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วเป็นรูปงูเขียวตัวหนึ่ง
หลงซิ่นเอียงหน้ามอง เขาเองก็อึ้งไปเช่นกัน ถามอย่างประหลาดใจว่า “ชิงเยว่?”
“ข้ายังนึกว่ามองผิดไป เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย เจ้ามาได้ยังไง?” สตรีวัยกลางคนที่แต่งตัวเป็นชายทั้งประหลาดใจทั้งตื่นเต้น “เจ้าก็มาสมัครเหมือนกันเหรอ?”
หลงซิ่นพยักหน้า แล้วบอกใบ้ให้นางดูประกาศ
ช่างไม้ปาดเหงื่อ นี่มันสถานการณ์อะไรกัน มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์โผล่มารวดเดียวสองคน ทั้งยังมาพร้อมกันด้วย ไม่ใช่ว่ามีคนจงใจมาก่อกวนหรอกนะ ไม่อย่างนั้นจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ?
สตรีวัยกลางคนที่ชื่อชิงเยว่ขมวดคิ้ว ถามหลงซิ่นว่า “มองอะไรของเจ้า?”
หลงซิ่นกวาดสายตาเย็นเยียบมองช่างไม้ “ข้าต้องการพบหนิวโหย่วเต๋อ”
ชิงเยว่พยักหน้าเบาๆ เห็นได้ชัดว่าชื่นชมท่าทีแบบนั้น
ช่างไม้ฝ่ามือเปียกไปด้วยเหงื่อ ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่สอดคล้องกับกฏระเบียบ ครั้งนี้ผู้สมัครทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน”
หลงซิ่นพูดเหน็บแนม “ไม่ได้ให้เจ้าตัดสินใจ แค่ให้เจ้าไปบอกเท่านั้น ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่อยากมาพบ พวกเราก็ไม่ฝืนใจ จะไม่ทำให้ลำบากใจด้วย จะออกไปทันที”
กฎระเบียบก็ย่อมต้องเป็นกฎระเบียบ แต่คนที่อยู่ในระดับอย่างพวกเขา ล้วนสามารถทำกฎให้ยืดหยุ่นได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังพูดได้ถูกจุดมากด้วย แสดงออกชัดเจนว่าตัวเองไม่ได้มาก่อเรื่อง แค่เสนอขอเรียกร้องเล็กน้อยเท่านั้น จะตอบตกลงหรือไม่ก็ตามใจ
แล้วช่างไม้จะทำอย่างไรได้ ยิ้มเจื่อนพร้อมหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิวแล้ว
ตอนนี้อวิ๋นจือชิวกำลังอยู่ข้างกายเหมียวอี้พอดี บัณฑิตก็อยู่ด้วย ตอนได้รับแผ่นสองสองแผ่นที่มีตราสัญลักษณ์พิเศษ บัณฑิตก็ตกใจเช่นกัน กอปรกับก่อนหน้านี้เพิ่งถูกอวิ๋นจือชิวสั่งสอนไป จึงพลิกแพลงเป็นแล้ว รีบนำแผ่นหยกสองแผ่นไปให้สองสามีภรรยาด้วยตัวเอง
ภายในห้อง หลังจากสองสามีภรรยาสลับกันอ่านแผ่นหยกแล้ว ทั้งคู่ก็พูดไม่ออก ตะลึงค้างนิดหน่อย มีนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์สองคนมาสมัคร คนหนึ่งระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่ง เคยเป็นท่านโหวของตำหนักสวรรค์มาก่อน อีกคนเป็นนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นห้าที่เคยรับตำแหน่งทูตลาดตระเวนฝั่งใต้
ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนมาสมัคร แค่ระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งคนเดียวก็น่าตกใจแล้ว ยังมีระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นห้าโผล่มาอีก แบบนี้ไม่น่าตกใจเหรอ? มิหนำซ้ำ ตำแหน่งโหวก็ยังพูดง่ายหน่อย แต่ ‘ทูตลาดตระเวนฝั่งใต้’ นี่คืออะไร? ไม่ได้เคยได้ยินตำแหน่งนี้มาก่อน
หลังจากมองหน้ากันเลิกลั่กพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็ถามอย่างระแวง “ชิงเยว่ หลงซิ่น? สองคนนี้เป็นใครกัน เจ้าเคยได้ยินชื่อหรือเปล่า?”
อวิ๋นจือชิวยักไหล่สองข้าง “เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใครล่ะ? บนนี้เขียนไว้ คนหนึ่งเป็นปีศาจงูเขียวที่ถูกลดตำแหน่งเมื่อแสนปีก่อน อีกคนเป็นปีศาจกิ้งก่าที่ถูกลดตำแหน่งเมื่อสามหมื่นปีก่อน ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว อยู่ดีๆ ใครจะไปพูดถึงพวกเขาล่ะ ข้าไม่เคยได้ยินหรอก”
เหมียวอี้ทำสีหน้าไม่ถูก รู้สึกปวดประสาทนิดหน่อย มีคนแบบนี้มาขอพึ่งพาไม่ฟังดูน่าขำไปหน่อยเหรอ? เล่นใหญ่เกินไปหรือเปล่า?
เขามองไปที่บัณฑิต ผลปรากฏว่าบัณฑิตโบกมือซ้ำๆ “ข้าก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินชื่อ”
ในขณะนี้เอง อวิ๋นจือชิวรับข้อความจากช่างไม้ผ่านระฆังดารา จากนั้นก็กล่าวอย่างตะลึง “ช่างไม้ส่งข่าวมาแล้ว บอกว่าสองคนนั้นต้องการพบเจ้า”
“สองคนไหน?” เหมียวอี้ถามด้วยความงง
อวิ๋นจือชิวถลึงตาตอบ “ยังจะสองคนไหนได้อีก? ชิงเยว่กับหลงซิ่นไง สองคนนั้นยังอยู่ห้องที่สาม ไม่ยอมไปไหน บอกว่าต้องการพบเจ้า บอกว่าให้ช่างไม้มาแจ้งให้รู้เฉยๆ ถ้าเจ้าไม่ไปพบ พวกเขาก็ไม่ฝืนใจ ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจด้วย พวกเขาจะไปทันที!”
“เดี๋ยวก่อน” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว รู้สึกวุ่นวายใจเล็กน้อย ทำไมรับสมัครคนจนเจอสัตว์ประหลาดอย่างนี้ได้ อยู่ว่างๆ จะมาประสมโรงทำไม กำลังยั่วโมโหพ่อใช่มั้ย ข้าเป็นแม่ทัพภาคตลาดผี วรยุทธ์บงกชรุ้ง มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนต้องการจะมาเป็นลูกน้องข้า แบบนี้ใครจะคุมใครกันแน่?
เขาสงสัยนิดหน่อยว่ามีคนจงใจจะก่อกวนหรือเปล่า จึงรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจินม่านทางแดนอเวจี
หลังจากสัญญาณเชื่อมถึงกันแล้ว ก็ถามเลยว่า : เจ้าเคยได้ยินมาก่อนหรือเปล่าว่าในหมู่โจรกบฎมีคนชื่อชิงเยว่?
จินม่านตอบ : ชิงเยว่? ปีศาจงูเขียวชิงเยว่ที่วรยุทธ์สำแดงฤทธิ์ขั้นสี่ใช่มั้ย?
เหมียวอี้ : อย่างอื่นพูดถูกหมด มีแต่วรยุทธ์ที่ไม่สอดคล้อง ตอนนี้วรยุทธ์ของนางเหมือนจะถึงระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นห้าแล้ว
จินม่าน : ผ่านไปนานขนาดนี้ วรยุทธ์บรรลุถึงระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นห้าก็ไม่แปลก นอกจากชิงเยว่นั่นแล้ว ข้าก็นึกถึงไม่ออกจริงๆ ว่ามีชิงเยว่ไหนที่วรยุทธ์ประมาณนี้อีก เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่สถานการณ์ของโจรกบฎยังไม่เป็นเหมือนอย่างทุกวันนี้ ชิงเยว่นั่นก็โดนลดตำแหน่งไปเป็นเทพแห่งภูผาตั้งแต่ข้ายังไม่เข้าโลงศพ ชื่อของนางน่าจะเลือนหายไปจากสังคมนานแล้ว นายท่านถามถึงนางทำไม?
หลังจากนั้น เนื่องจากสถานะเทพแห่งภูผาของชิงเยว่ กอปรกับเรื่องที่เหมียวอี้ทำตอนนี้ นางก็เหมือนจะนึกอะไรได้แล้ว ถามอย่างตกใจมากว่า : อย่าบอกนะว่าชิงเยว่มาสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี?
เจ้าลองดูสิ คนเก่าคนแก่ก็ยังเป็นคนเก่าคนแก่ มีแค่คนเหล่านี้เท่านั้นที่รู้เรื่องราวเก่าๆ ชัดเจน! เหมียวอี้แอบทอดถอนใจ แล้วตอบว่า : ไม่ผิดหรอก! นางมาสมัครจริงๆ เพียงแต่ข้าไม่ค่อยรู้จักตัวตนของนางชัดเจน เลยตั้งใจจะมาถามเจ้า แล้วก็ ‘ทูตลาดตระเวนฝั่งใต้’ นั่นคือตำแหน่งผีอะไร?
พอได้ยินว่าชิงเยว่มาขอพึ่งพา ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงว่าจินม่านตกใจขนาดไหน นางตอบว่า : ตอนนี้ไม่มีตำแหน่งนี้แล้ว นั่นเป็นตำแหน่งตรวจตราของทัพใต้ตอนที่ระบบของโจรกบฎยังไม่กลายเป็นอย่างทุกวันนี้ เดิมทีชิงเยว่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงของฮ่าวเต๋อฟาง นับว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของฮ่าวเต๋อฟางก็ว่าได้ นางรับหน้าที่คุมงานตรวจตราที่เกี่ยวข้อง คอยตรวจตาสถานการณ์ทางทหารภายในอาณาเขตให้ฮ่าวเต๋อฟางโดยเฉพาะ โด่งดังเรื่องบังคับใช่กฎอย่างเข้มงวด ผลปรากฏว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง เหมือนได้ยินว่านางสืบเจอเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับซูอวิ้นที่เป็นพ่อบ้านของฮ่าวเต๋อฟาง แต่ฆ่าล้างตระกูลของซูอวิ้นโดยไม่ได้รายงานขึ้นมาก่อน ทำให้ฮ่าวเต๋อฟางเดือดดาลมาก เพราะเหตุนี้จึงถูกลดตำแหน่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นห่วงความคิดเห็นของกลุ่มลูกน้อง กลัวว่าฆ่าชิงเยว่แล้วจะทำให้ใจทหารสั่นคลอน เกรงว่าชิงเยว่คงถูกฮ่าวเต๋อฟางประหารไปแล้ว
…………………