“เจ้าไม่รู้เหรอ?” ปู้เหลียนจงแปลกใจ แต่นึกขึ้นได้ว่าเจ้านี่เพิ่งมาใหม่ ก็เป็นไปได้ที่จะไม่รู้ ถึงได้ชี้ไปทางตำหนักคุ้มเมืองพร้อมอธิบายว่า “เป็นเพราะฝีมือของปีศาจจิ้งจอกพันหน้า สัตว์วิญญาณของปี้เยว่ฮูหยินไงล่ะ ปีศาจจิ้งจอกตนนี้ให้มีชีวิตอยู่ดีๆ ไม่ชอบ เอาแต่คิดอยากจะหนี ครั้งนี้หนีไปอีกแล้ว!”
ปีศาจจิ้งจอกพันหน้า? เหมียวอี้ตะลึงงัน ถ้าไม่พูดถึงปีศาจจิ้งจอก เขาก็แทบจะลืมไปแล้ว นางหนีไปอีกแล้วเหรอ? เขาถามอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “ใครจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ เกี่ยวอะไรกับปีศาจจิ้งจอก อย่าบอกนะว่าใครหาปีศาจจิ้งจอกเจอ คนนั้นจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่?” ร้านขายของชำซื่อตรงได้มาอย่างไร เขารู้ดีที่สุด ก็เป็นเพราะหาปีศาจจิ้งจอกตั้วนั้นพบนั่นแหละ
สวีถังหรานส่ายหน้า “นายท่านมีคนหนุนหลัง เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ เป็นลูกน้องของปี้เยว่ฮูหยินมานานขนาดนี้ เดิมทีควรได้เลื่อนขั้นตั้งนานแล้ว แต่มันแย่ตรงที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็มีคนหนุนหลังเหมือนกัน ทั้งสองต่างก็อยากเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์เพื่อให้อีกคนอับอาย ส่วนจะให้เลื่อนขั้นใคร ปี้เยว่ฮูหยินก็ลำบากใจมาก ถ้าเลื่อนขั้นคนนี้จะทำให้คนนั้นไม่พอใจ ถ้าเลื่อนขั้นคนนั้นก็จะทำให้คนนี้ไม่พอใจ จึงถ่วงเวลามาโดยตลอด ไม่อยากล่วงเกินทั้งสองฝ่าย แต่ครั้งนี้ปีศาจจิ้งจอกหนีไปอีกแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินย่อมสั่งให้คนไปค้นหา ผู้บัญชาการใหญ่ก็เลยระดมกำลังพลกองหนึ่งไปค้นหา แต่ใครจะคิดว่าตอนค้นหาจะไปเจอกับนักพรตผี ‘เฮยหวัง’ นักพรตผีที่ใจกล้าคับฟ้าตนนี้บุ่มบ่ามแตะต้องทหารสวรรค์ หลังจากสังหารคนไปหลายสิบคนก็หลบหนี ทำเอาทางตำหนักสวรรค์ตำหนิยกใหญ่ ปี้เยว่ฮูหยินย่อมมาระบายความโกรธกับผู้บัญชาการใหญ่ ที่จริงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้บัญชาการใหญ่หรอก แต่มีข่าวมาว่าปี้เยว่ฮูหยินอยากจะฉวยโอกาสทำให้ผู้บัญชาการใหญ่ออกจากตำแหน่ง อยากจะอาศัยภูมิหลังของนายท่านกับผู้บัญชาการเซี่ยโห้วมาเพื่อกันไม่ให้ตำหนักสวรรค์สอบถาม เมื่อข่าวหลุดออกมา นายท่านกับผู้บัญชาการเซี่ยโห้วขอเสนอตัวไปจับนักพรตผีนั่น เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ปี้เยว่ฮูหยินถึงลังเลไม่ยอมตัดสินใจมาตลอด!”
หลัวว่านกวงพยักหน้าเช่นกัน “ตอนนี้นายท่านกับผู้บัญชาการเซี่ยโห้วต่างก็กำลังถูหมัดถูมือ เพียงรอให้ปี้เยว่ฮูหยินลั่นวาจา ถ้าใครจัดการนักพรตผีตนนั้นได้ คาดว่าปี้เยว่ฮูหยินคงไม่มีทางถ่วงเวลาเรื่องตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ต่อไปได้อีก ขอถามหน่อย ว่าถ้าปล่อยให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงทำเรื่องนี้สำเร็จ นายท่านจะไม่ต้องเป็นลูกน้องคอยเงยหน้าฟังคำสั่งเซี่ยโห้วหลงเฉิงหรอกเหรอ ถึงตอนนั้นถ้าไม่ถูกกลั่นแกล้งจนตายก็ต้องทรมานจากความอัปยศ นายท่านต้องออกจากที่นี่เพื่อหลีกเลี่ยงความอัปยศแน่นอน พวกเราที่เหลืออยู่ก็แย่แล้ว!”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! เหมียวอี้รู้สึกหนาวในใจ แอบร้องว่าทำไมตัวเองซวยขนาดนี้ สละหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ใครจะคิดว่าสุดท้ายอาจจะต้องตกอยู่ในมือเซี่ยโห้วหลงเฉิง
แต่พอลองคิดอีกมุม ก็อาจจะเป็นการคิดมากไปเอง เรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกตัดสินใจเสียหน่อย แล้วอีกอย่าง อาศัยคนปัญญาอ่อนอย่างไอ้หมีควายเซี่ยโห้ว ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโค่วเหวินหลานก็ได้ มีความเป็นไปได้มากกว่าที่โค่วเหวินหลานจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่
ทางนี้เพิ่งจะสงบใจ ด้านนอกก็มีเสียงคนวิ่งมากระซิบข้างหูสวี่เต๋อ
สวี่เต๋อหัวเราะแห้งๆ ตบโต๊ะยืนขึ้น แล้วโบกมือบอกว่า “โจรมาแล้ว ไปเตรียมตัว!”
โจร? โจรอะไร? เหมียวอี้ยังเหม่องง แต่อีกหกคนก็ถลันตัวออกไปแล้ว แต่เขาก็หัวไว ที่ตลาดสวรรค์ยังจะมีใครกล้ามาปล้นที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอีก นอกจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่มีคนอื่นแล้ว เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งอยากขำ พบว่าเจ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงปัญญาอ่อนจริงๆ อีกฝ่ายกำลังเปิดกระเป๋ารอให้เขามาติดกับดักเองแท้ๆ
เขาเองก็อยากจะเห็นโค่วเหวินหลานจัดการเซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนกัน จึงรีบวิ่งออกไปดูเอาสนุก พอออกจากประตูมา สวีถังหรานที่อยู่บนหลังคาฝั่งตรงข้ามก็ถ่ายทอดเสียงเรียก ให้ขึ้นมารอดูบนหลังคาด้วยกัน
ภายใต้ม่านราตรี ไม่นานก็มีเงาคนลับๆ ล่อๆ ปรากฏขึ้น เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “มาแล้ว!”
สวีถังหรานกดบ่าเขาพร้อมบอกว่า “ไม่รีบหรอก จุดประสงค์ของผู้บัญชาการก็คือให้พวกเขาทำให้สำเร็จก่อน แล้วพวกเราค่อยลงมือ”
ผ่านไปครู่เดียว ก้อนหินใหญ่ห้าหกก้อนก็ถูกโยนออกมา ทุ่มจากฟ้าใส่ตำหนักหลักที่กำลังจุดโคมไฟสว่าง เหมียวอี้และคนอื่นๆ ได้แต่มองดูตำหนักหลักพังยุบลงไป แล้วก็กระเด็นกลับภายใต้การยิงของพลังอิทธิฤทธิ์ วัตถุระเกะระกะปลิวมั่วไปหมด
“ใครกัน!” พวกสวีถังหรานตะโกนถามเสียงเข้มแล้ว คนที่ดักซุ่มอยู่ในร้านค้าด้านนอกกรูกันออกมาในชั่วพริบตาเดียว ดักคนที่คิดจากหนีจากซอยนั้นเอาไว้ พอพุ่งเข้าใส่ก็ตีกันทันที ตีกันจนมีเสียงร้องตกใจ ร้านค้าหลายร้านพังอย่างง่ายดายราวกับเป็นไม้ผุ
เหมียวอี้ที่ยังหมอบอยู่บนหลังคาหันไปมองแวบหนึ่ง เห็นเพียงเงาคนสองคนถลันตัวออกจากตำหนักที่พังถล่ม ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายคือโค่วเหวินหลาน ส่วนผู้หญิงก็ทำให้เหมียวอี้หนังตากระตุก เขาเคยเห็นมาก่อน ผู้การสองที่เคยเจอตอนตามหาปีศาจจิ้งจอกพันหน้าที่ดาวไร้ลักษณ์ นางกำลังทำสีหน้าเย็นเยียบ
เหมียวอี้แอบเดาะลิ้นในใจ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนอยู่สวนบูรพาก่อนหน้านี้ โค่วเหวินหลานถึงให้เชิญผู้การสองมาจากตำหนักคุ้มเมือง เพราะจะดึงตัวมาเป็นพยาน นี่คือการวางกับดักตายให้เซี่ยโห้วหลงเฉิง!
คนของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแทบจะออกมาดักไว้หมด จุดจบก็ไม่ต้องพูดถึง เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้หนังตากระตุกก็คือ อานุภาพการต่อสู้สะเทือนไปทั้งข้างนอกข้างใน
ท่ามกลางเสียงดังโครมคราม ตึกรามบ้านช่องพังทลาย เห็นได้ชัดว่าคนของโค่วเหวินหลานอยากหลอกฝ่ายตรงข้ามให้ตายใจก่อนแล้วค่อยจัดการ คนหลายสิบคนล้อมคนคนเดียว เดี๋ยวล้อมเดี๋ยวปล่อยอยู่อย่างนั้น จงใจจะขยายขอบเขตการต่อสู้ให้ใหญ่ขึ้น ทำเอาบรรดาร้านค้าวุ่นวายเหมือนไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่าน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่กล้าเข้ามาเกี่ยวพันกับการต่อสู้ของทหารสวรรค์
ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ย่อมสะเทือนไปถึงคนของตำหนักคุ้มเมือง คนกลุ่มหนึ่งรีบตามเข้ามา ทหารสวรรค์โดยรอบก็รีบตามมาเป็นกองหนุนเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าสะเทือนไปถึงคนอื่นแล้ว กำลังคนของเขตเมืองตะวันออกก็วางมือทันที รีบจบการต่อสู้อย่างเด็ดขาดรวดเร็ว
ใช้เวลาไม่นาน คนหกคนที่โดนโจมตีจนสาหัสก็ถูกลากเข้ามา ถูกถอดเครื่องปลอมตัวออก แล้วโยนไว้ตรงหน้าโค่วเหวินหลานกับผู้การสอง
“เอ! พวกเจ้าเป็นลูกน้องของผู้บัญชาการเซี่ยโห้วเขตเมืองตะวันตกไม่ใช่เหรอ?” ข่งเฟยฝานเจตนาทำท่าตระหนกตกใจ
บนลานกว้าง คนกลุ่มหนึ่งพากันอุทานตาม “เป็นพวกเขาจริงๆ ด้วย!”
“ฟางเทียนเป่า พวกเจ้ามาลอบโจมตีจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของพวกเราทำไม?” ส้าวเติงก่วงก้าวขึ้นมาเตะทีหนึ่ง
ผู้การสองโบกมือห้าม สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก นั่งอยู่ในบ้านแล้วจู่ๆ โดนหินหลายลูกทุ่มลงมา ไม่ว่าใครก็อารมณ์ไม่ดีทั้งนั้น เป็นครั้งแรกที่นางเจอเรื่องอันตรายแบบนี้ที่ตลาดสวรรค์ นางถามคนที่ตามมาจากตำหนักคุ้มเมืองด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พวกนี้เป็นคนของเขตเมืองตะวันตกจริงเหรอ?”
ใช่ว่านางจะไม่รู้โค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีความสัมพันธ์กันอย่างไร จึงไม่ค่อยเชื่อคำพูดของลูกน้องโค่วเหวินหลาน ถามคนของตัวเองจะเหมาะสมกว่า คนที่มาพยักหน้าเงียบๆ ให้นาง
ผู้การสองเอียงศีรษะและใช้สายตาเย็นเยียบมองโค่วเหวินหลานที่ทำสีหน้าเยือกเย็นสุขุม พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงเชิญตนมาวันนี้ สงสัยตนจะถูกใช้ประโยชน์แล้ว
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นนางต้องตั้งตัวเป็นศัตรูแน่นอน แต่จนใจที่นางรู้จักภูมิหลังของโค่วเหวินหลาน อีกฝ่ายกล้าทำแบบนี้เพราะไม่ได้หวาดกลัวเลย นางเลยทำได้เพียงจัดการอย่างยุติธรรม
ผู้การสองไม่ได้อยู่นาน หลังจากถามจนรู้ชัดแล้วว่าใครเป็นผู้ลอบโจมตีฝ่ายนี้ นางก็กล่าวพร้อมใบหน้านิ่งตึง “พากลับไปรอฟังคำสั่งของฮูหยิน!”
คนของตำหนักคุ้มเมืองพุ่งตัวเข้ามาทันที ลากคนที่อยู่บนพื้นออกไปด้วย
เมื่อเห็นผู้การสองกำลังจะออกไป โค่วเหวินหลานก็กุมหมัดคารวะทันที “เซี่ยโห้วหลงเฉิงสันดานชั่วร้าย มีเจตนาไม่ดี พวกเราจะคุ้มกันส่งผู้การสอง!”
ผู้การสองไฟลุกในใจ กล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “เจ้าตามข้าไปพบฮูหยิน ส่วนคนของเจ้า… ฮันเปียว ส่งคนไปดูพวกเขาไว้ให้ดี อย่าให้พวกเขาออกจากจวนผู้บัญชาการโดยพลการแม้แต่ก้าวเดียว!”
“รับทราบ!” ฮันเปียว หัวหน้าที่ตามมาจากตำหนักคุ้มเมืองกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง พอโบกมือ กำลังพลใต้บังคับบัญชาก็เหาะไปเหยียบลงรอบๆ เฝ้าจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกไว้อย่างแน่นหนา
“ทุกคนรอข้าอยู่ตรงนี้ ข้าไปประเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวกลับมา” โค่วเหวินหลานหันกลับมาสั่ง จากนั้นก็เหาะตามผู้การสองออกไป
“รับทราบ!” เหมียวอี้กุมหมัดน้อมรับคำสั่ง
ณ ตำหนักคุ้มเมือง ในสวนดอกไม้ใต้แสงจันทร์ ปี้เยว่ฮูหยินเกล้าผมสูง รูปร่างอวบอัด ผิวขาวละเอียดอ่อน หน้าตางดงามดุจภาพวาด ริมฝีปากแดงเย้ายวน สวมชุดกระโปรงผ้ามุ้งสีเขียวน้ำทะเล เผยหน้าอกอวบอัดสีขาวดุจหิมะออกมาครึ่งหนึ่ง นางกำลังหรี่ตาครึ่งเดียว เอนกายพิงอยู่บนเก้าอี้กลมขนาดใหญ่ กำลังฟังโค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงปะทะฝีปากกัน
เรื่องนี้เซี่ยโห้วหลงเฉิงดิ้นไม่หลุด ย่อมต้องถูกเรียกมาอยู่แล้ว เพียงแต่เจ้าตัวโมโหจนหน้าแดงคอแห้ง สมองสู้โค่วเหวินหลานไม่ได้ ฝีปากก็ย่อมสู้ไม่ได้เช่นกัน มิหนำซ้ำยังโดนจับกุมพร้อมหลักฐาน ไม่มีทางแก้ตัวได้ ทำได้เพียงดันทุรังเถียงไป “เจ้าส่งคนไปพังจวนผู้บัญชาการของข้าก่อนชัดๆ!”
“ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าพูดซี้ซั้ว ถ้าเจ้าทำแบบนี้ได้ งั้นข้าก็บอกได้เหมือนกันน่ะสิ ว่าคนที่ทุ่มหินใส่สวนบูรพาตอนแรกคือเจ้า?” โค่วเหวินหลานพูดดูถูก
“ใส่ร้ายกันหน้าด้านๆ!” ต่อให้โดนตีให้ตาย เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่ยอมรับ
ทั้งสองเถียงกันไปเถียงกันมา ปี้เยว่ฮูหยินหลับตาไม่แสดงท่าทีอะไร หลับตาฟังเหมือนกำลังพักผ่อนร่างกาย
ผ่านไปไม่นาน ก็มีลูกน้องนำคำให้การที่ได้มาเพราะโดนทรมานสอบปากคำมาส่ง คำให้การมาถึงมือปี้เยว่ฮูหยิน พออ่านแล้วดวงตานางก็ฉายแววขุ่นเคืองทันที
ไม่ใช่เพราะลูกน้องของเซี่ยโห้วหลงเฉิงตกกลุมพราง ต่อให้โดนซ้อมจนตายก็ไม่ยอมตกหลุมพราง ทุกคนต่างแบกความรับผิดชอบไว้ที่ตัวเอง พวกเขาช่วยให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงพ้นผิด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้าใจสถานการณ์มาก ถ้าสารภาพชื่อเซี่ยโห้วหลงเฉิงออกมา แบบนั้นพวกเขาก็ได้ตายสถานเดียว เซี่ยโห้วหลงเฉิงมีนิสัยเหี้ยมโหด เจ้าคิดเจ้าแค้นไร้เหตุผล ถ้าไม่เล่นงานพวกเขาจนตายก็คงแปลก ถ้าปกป้องเซี่ยโห้วหลงเฉิง โทษของพวกเขาก็ไม่ถึงกับตาย ไม่แน่ว่าในภายหลังเซี่ยโห้วหลงเฉิงอาจจะให้อนาคตที่ดีกับพวกเขาก็ได้
แต่การกระทำแบบนี้นับว่าเป็นอะไรสำหรับปี้เยว่ฮูหยินล่ะ โค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีคนหนุนหลัง ทั้งสองไม่เห็นนางอยู่ในสายตาก็ว่าแย่แล้ว แต่พวกลูกน้องต่ำต้อยก็บังอาจไม่เห็นนางอยู่ในสายตาด้วยเหมือนกัน ชัดเจนว่าต่อให้จับได้พร้อมหลักฐานก็จะไม่ยอมรับ แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน!
แต่สีหน้าโกรธเคืองก็หายไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็เอ่ยถามว่า “พวกเจ้าสองคนสู้กันไปสู้กันมา ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ พวกเจ้าลองบอกว่ามาซิว่าจะยุติเรื่องนี้อย่างไร?”
“ประหารเซี่ยโห้วหลงเฉิง!” โค่วเหวินหลานตอบ
“เหลวไหล! เจ้าน่ะสิต้องโดนประหาร!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงเดือดดาลทันที
“พอแล้ว!” ปี้เยว่ฮูหยินพลันตวาดเสียงเข้ม ลุกขึ้นยืนด้วยแววตาเป็นประกาย แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “คนของเขตเมืองตะวันตกก่อเรื่อง จับตัวได้พร้อมหลักฐาน เซี่ยโห้วหลงเฉิงยากที่จะพ้นผิดไปได้ ลงโทษปรับเงินเดือนเจ้าหนึ่งร้อยปี แล้วชดเชยค่าเสียหายตามสมควร เจ้ายินดีจะรับบทลงโทษนี้มั้ย?”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงกุมหมัดกล่าวว่า “ฮูหยินเองก็รู้ ตระกูลข้าน้อยไม่ได้ให้เงินไว้ใช้จ่าย ไม่เหมือนไอ้ตุ้งติ้งนี่ที่มีนมป้อนตลอด ตำแหน่งข้าน้อยยากจน ไม่มีเงินจ่ายค่าชดเชย!”
โค่วเหวินหลานได้ยินแล้วกุมหมัดแน่น อยากจะเตะเขาให้ตาย
ปี้เยว่ฮูหยินโมโหแล้ว แต่จู่ๆ ผู้การสองก็ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ฮูหยิน ผู้บัญชาการโค่วอาศัยโอกาสแสดงความสามารถ ความเสียหายค่อนข้างหนัก ถ้ามีการชดเชยขึ้นมาก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ”
ปี้เยว่ฮูหยินทั้งโมโหทั้งกลุ้มใจ แต่ก็ทำอะไรสองคนนี้ไม่ได้ ถ้าทำเกินไป อำนาจที่หนุนหลังทั้งสองก็จะกดดันนาง ตอนนั้นคงถึงคราวที่นางต้องลำบากเสียเอง จึงกัดฟันบอกว่า “ลูกน้องเจ้าก่อความวุ่นวาย เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชา หนีไม่พ้นความรับผิดชอบนี้หรอก ปรับค่าเสียหายเจ้าครึ่งเดียว ห้ามแย้งอะไรอีก ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง เจ้าก็หาทางไปติดต่อเจรจากับพ่อค้าเอาเอง ถ้าจัดการเรื่องนี้ให้สงบไม่ได้ ข้าจะมาถามหาความรับผิดชอบจากเจ้า!”
โค่วเหวินหลานกุมหมัดคารวะทันที “ข้าน้อยจะไปรวมรวบข้อมูลความเสียหายทั้งหมดของร้านค้าเดี๋ยวนี้”
ผู้การสองรีบถ่ายทอดเสียงเตือนปี้เยว่ฮูหยิน “ข้าสั่งให้คนไปจับตาดูคนของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกไว้แล้ว กลัวว่าพวกเขาจะเล่นไม่ซื่ออะไรอีก!”
ปี้เยว่ฮูหยินเลิกคิ้ว เหล่ตามองไปที่โค่วเหวินหลาน คิดในใจว่า ถ้าให้เจ้าไปดูก็แย่น่ะสิ เจ้าอยากจะเล่นงานเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้ถึงตาย แล้วตอนหลังจะให้ข้าไปอธิบายกับตระกูลเซี่ยโห้วอย่างไรล่ะ? นางตอบอย่างเย็นชาว่า “ไม่ต้องแล้ว! ตำหนักคุ้มเมืองส่งคนไปรวบรวมข้อมูลแล้ว”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงโล่งอก!
หารู้ไม่ว่าในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกตอนนี้ รองผู้บัญชาการสองคนกับทหารเลวเจ็ดคนกำลังรวมตัวอยู่ด้วยกัน ลูกน้องกลุ่มหนึ่งกำลังพากันขว้างทรัพย์สินที่ฉวยโอกาสทำพังตอนเหตุการณ์วุ่นวายก่อนหน้านี้ ของวางซ้อนกันเป็นกองใหญ่ เหมียวอี้เห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน เจ้าพวกนี้เลวใช้ได้เลย นี่ต้องการจะให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงจ่ายค่าเสียหายจนหมดตัวเลยใช่มั้ย?
…………………………