ไม่ว่าจะอย่างไร โค่วหลิงซวีก็ยังได้ชื่อว่าเป็น ‘บิดาบุญธรรม’ ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม เมื่อได้ทราบข่าวว่าคนตระกูลโค่วมาแล้ว เหมียวอี้ก็มาเยี่ยมคารวะที่เรือนพักของตระกูลโค่ว
ตระกูลโค่วมองเขาศีรษะจดเท้า ขนาดรอยยิ้มยังค่อนข้างฝืนใจ ให้ความรู้สึกว่าถ้าไม่ทักทายก็เสียมารยาท ถ้าทักทายก็กังวลว่าจะมีอะไรไม่เหมาะสมหรือเปล่า ต่อให้เป็นโค่วเหวินหลานที่ในปีนั้นค่อนข้างสนิทกัน ตอนนี้เมื่อพบกันอีกครั้งก็ยังดูห่างเหินมาก
คนอื่นจะมองอย่างไรเหมียวอี้ก็ไม่สนใจ ในทางกลับกัน เมื่อเจอคนรู้จักเมื่อไรเขาก็จะเป็นฝ่ายเข้าไปทักทายก่อน
เบื้องล่างไม่มีความมั่นใจ หลังจากได้เห็นคนระดับโค่วเจิงแล้ว ถึงได้เห็นว่ามีท่าทีค่อนข้างดี เนื่องจากคนระดับนี้ล้วนไม่มีความมั่นใจทั้งนั้น
ตอนที่เจอสามพี่น้องตระกูลโค่ว เหมียวอี้ก็เป็นฝ่ายกุมหมัดคารวะ “พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม” จากนั้นก็กุมหมัดคารวะต่อคนอื่นๆ ของตระกูลโค่ว สายตาบังเอิญไปสบกับสายตาคับแค้นของสุยฉูฉู่ แล้วก็กวาดมองท้องใหญ่ของนาง
โค่วเหมี่ยนพยักหน้ายิ้ม “มาแล้วเหรอ”
โค่วฉินลับทำสีหน้าประชดประชัน “กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา” ตอนพูดมองไปอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนไม่รู้ว่ากำลังด่าใคร แต่ที่จริงไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้นว่าพูดถึงใคร
เมื่อเขาพูดคำนี้ออกมา ลูกหลานตระกูลโค่วที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ่งรักษาสมดุลไม่สะดวกแล้ว
“เจ้ารอง!” โค่วเจิงตะคอก จากนั้นโบกมือให้ลูกน้องที่พาเหมียวอี้มาถอยออกไป แล้วเป็นฝ่ายเชิญเหมียวอี้ไปคุยส่วนตัว
เหมียวอี้ที่เดินตามมาก็เพียงชำเลืองโค่วฉินด้วยสีหน้าเรียบเฉยๆ เขาไม่ได้โต้ตอบอะไร มองสีหน้าไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร ตอนที่เดินเฉียดไหล่ไปก็ยังได้ยินโค่วเหมี่ยนทำเสียงฮึดฮัดตามหลังอีก
“พี่รองเจ้าก็นิสัยอย่างนั้น อย่าเก็บมาใส่ใจเลย ทางเจ้ายังสบายดีใช่มั้ย” หลังจากทั้งสองเดินออกมาด้านข้าง โค่วเจิงก็เป็นฝ่ายแสดงความห่วงใยก่อน
เหมียวอี้รู้ว่าเป็นแค่การแสดงออกผิวเผิน จึงตอบกลับอย่างสุภาพเช่นกัน “ยังดีขอรับ”
“ได้ยินว่ายังหาที่สร้างจวนหัวหน้าภาคไม่ได้เหรอ?” โค่วเจิง
เหมียวอี้ตอบว่า “ก่อนจะมาก็เพิ่งรู้ว่าปราสาทดำเนินจันทร์อนุญาตแล้ว พอมาถึงก็จะถือโอกาสรายงานที่ตำหนักนารีสวรรค์สักหน่อย เหลือแค่รอแค่ให้ตำหนักสวรรค์อนุญาตแล้ว”
“อ้อ!” โค่วเจิงค่อนข้างตกตะลึง “ปราสาทดำเนินจันทร์อนุญาตแล้วเหรอ?”
“ใช่ขอรับ” เหมียวอี้พยักหน้า
“งั้นก็ดีแล้ว” โค่วเจิงพยักหน้าเล็กน้อย แต่ในใจกลับพึมพำว่า ไม่น่าเชื่อว่าช่องทางข่าวสารต่างๆ ของตระกูลโค่วจะไม่รู้ข่าวนี้เลยสักนิด
ทั้งสองคุยกันได้สักพักหนึ่ง พอพูดถึงเรื่องงานเลี้ยง โค่วเจิงก็ตั้งใจถามอย่างเป็นห่วง “เจ้ามาที่งานเลี้ยงพระตำหนักอุทยานแบบนี้ค่อนข้างอึดอัด ทางตำหนักนารีสวรรค์เตรียมที่นั่งไว้ให้หรือเปล่า? ถ้าไม่ได้เตรียมไว้ ก็มานั่งกับคนในครอบครัวก็ได้ ครั้งนี้อย่าก่อเรื่องอีกนะ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีคนให้โอกาสเจ้าเล่นแง่เหมือนครั้งก่อนแล้ว”
“ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยรับอย่างสุภาพ
จากนั้นโค่วเจิงก็เรียกโค่วเหมี่ยนเข้ามา ให้โค่วเหมี่ยนคอยดูแลเหมียวอี้ตอนอยู่ในงานเลี้ยง โค่วเหมี่ยนเอ่ยรับด้วยรอยยิ้ม ส่วนสาเหตุว่าทำไมไม่ให้เจ้ารองโค่วฉินดูแล ทุกคนก็ต่างรู้อยู่แก่ใจ ตั้งแต่การทดสอบครั้งนั้นเป็นต้นมา เป็นเพราะเหมียวอี้โค่วเหวินหวงถึงหมดคุณสมบัติในการเข้าออกหอสามรากฐาน โค่วเหมี่ยนไม่พอใจเหมียวอี้เรื่องนี้มาตลอด
ตามเสียงระฆังของพระตำหนักอุทยานที่ดังขึ้น คนของตระกูลโค่วก็รวมตัวและออกเดินทางพร้อมกัน
พอมาถึงประตูพระตำหนักอุทยาน ก็มีสมาชิกในครอบครัวของขุนนางใหญ่แต่ละบ้านมาถึงแล้ว ทยอยกันมอบของขวัญให้ตรงประตู
เหมียวอี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่เริ่มตั้งตอนแต่มอบของขวัญแล้วก้าวเข้าพระตำหนักอุทยาน เหมียวอี้ก็เริ่มเป็นที่จับจ้องของสายตาผู้คนมากมายแล้ว
เขาเดินเข้าวังตามหลังตระกูลโค่ว ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม โค่วเจิงออกจากตระกูลโค่วไปแล้ว เข้าไปในตำหนักใหญ่ที่จัดที่ไว้ให้ขุนนางใหญ่ของราชสำนักเท่านั้น
ก่อนจะเข้างานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ แต่ละบ้านก็ไปมาหาสู่เพื่อทักทายกัน เหมียวอี้ยืนอยู่ด้านล่างเพียงลำพัง ไม่ได้สนใจอะไร และไม่มีใครมาหาเรื่องเขาด้วย อิงอู๋เชวียซึ่งมีบทเรียนมาแล้วจากงานวันเกิดในปีนั้น ครั้งนี้จึงไม่พูดกับเขาสักคำ ถึงขนาดว่าพอเห็นเขาเข้ามาแล้วเป็นฝ่ายหลบเอง ไม่ให้โอกาสเขาหาเรื่อง ตอนนี้สถานการณ์ภายในสี่ทัพยังไม่มั่นคง ไม่มีใครอยากสร้างปัญหามาแทรกในเวลานี้
ตอนที่เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวา ก็บังเอิญไปเห็นมังกรสีทองตัวใหญ่ตัวหนึ่งนอนอยู่บนตำหนักใหญ่ เขาไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า มักรู้สึกว่ามังกรตัวนั้นมันกำลังมองเขาอยู่
ไม่นานก็มีเทพธิดาคนหนึ่งมาหาเขา เป็นคนที่ตำหนักนารีสวรรค์ส่งมา ถามเขาว่ามีที่นั่งหรือยัง ถ้ายังไม่มีที่นั่ง ตำหนักนารีสวรรค์ก็จะจัดให้เขาไปนั่งกับตระกูลเซี่ยโหว
เห็นได้ชัดว่าตำหนักนารีสวรรค์เดาออกว่าเขาปรากฏตัวที่นี่แล้วจะอึดอัด แต่สิ่งที่ทำให้เขาผิดคาดก็คือ ในเวลานี้อีกฝ่ายยังนึกถึงเขาอีก ทำให้เขารูสึกว่าราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มองเห็นความสำคัญของเขา ที่จริงตอนที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเริ่มวางขอบข่ายงาน แต่ละเรื่องที่ตัวเองรายงานขึ้นมาขอ ส่วนใหญ่ตำหนักนารีสวรรค์ก็อนุญาตหมด เขารู้สึกได้แล้วว่าราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สนับสนุนเขาเยอะมาก ตอนที่โอรสสวรรค์ถือกำเนิด ปราสาทดำเนินจันทร์ก็เป็นฝ่ายมาหาถึงที่เพื่อบอกว่าอนุญาตให้เขาสร้างจวนในอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์ ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองได้อาศัยบารมีของโอรสสวรรค์
เค้าลางต่างๆ ได้พิสูจน์แล้วว่าหยางชิ่งพูดไว้ไม่ผิด ถึงแม้สถานการณ์ของราชินีสวรรค์จะอึดอัด ไม่มีอำนาจทางทหารอะไรนอกวัง แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีฐานะของราชินีสวรรค์อยู่ การได้รับความช่วยเหลือจากราชินีสวรรค์คือสิ่งสำคัญมาก โยนลูกท้อไป ก็ได้ลูกสาลี่กลับมา เหมียวอี้รู้ว่าตัวเองต้องการแรงสนับสนุนจากราชินีสวรรค์มาก ไม่อย่างนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้สนิทกัน ไม่มีเหตุผลที่ราชินีสวรรค์จะให้อย่างเดียวโดยไม่ขออะไรตอบแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถือกำเนิดของโอรสสวรรค์ได้ทำให้ตำแหน่งราชินีสวรรค์ของนางมั่นคงแล้ว
หลังจากเหมียวอี้บอกว่าตัวเองนั่งกับตระกูลโค่ว เทพธิดาถึงได้พยักหน้าแล้วออกไป ก่อนจะไปก็ยังถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “หลังจบงานเลี้ยง ท่านหัวหน้าภาคอย่าเพิ่งรีบกลับ รอเหนียงเหนียงเรียกพบก่อนค่ะ”
“ขอรับ!” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตอบ
ฉากนี้ดึงดูดสายตาคนไม่น้อย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าคุยอะไรกันก็ตาม
เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้ง แขกทยอยมาร่วมงานเลี้บง ขุนนางพิธีการกำลังประกาศ รายการแสดงต่างๆ ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง
ในงานเลี้ยงหลังจากนั้น คนในครอบครัวขุนนางใหญ่ก็เดินไปมาเพื่อดื่มฉลองกัน เหมียวอี้แทบจะนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับไปไหน ส่วนใหญ่ไม่มีใครคุยกับเขาเลย บางครั้งโค่วเหมี่ยนก็จะชนจอกสุรากับเขาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์อึดอัด แล้วก็มีเซิงมู่เสวี่ย สามีของโค่วอวี้ที่วันๆ ไม่มีงานสำคัญอะไรทำ อีกฝ่ายก็มาชนจอกสุรากับเขาเป็นระยะเช่นกัน เป็นคนที่มีรอยยิ้มจริงใจที่สุด
สำหรับเซิงมู่เสวี่ย เหมียวอี้ก็เคยสนิทสนมมาแล้วเช่นกัน รู้ว่าคนคนนี้เป็นมิตรกับคนอื่นมาคลอด ตอนอยู่ข้างนอกไม่ล่วงเกินใคร ไม่วางมาดลูกเขยตระกูลโค่วใส่ใคร ตอนอยู่ในตระกูลโค่วก็ไม่ยืนอยู่ฝ่ายไหนเช่นกัน ผูกมิตรอย่างเดียว ไม่ผูกความแค้น เมื่อเจอปัญหาก็จะยอมถอยให้ เป็นคนดีคนหนึ่ง การที่เขามาใกล้ชิดกับเหมียวอี้ก็เป็นเรื่องปกติมาก ไม่มีใครว่าอะไรเขาได้
หลังจากงานเลี้ยงจบ ทุกคนก็ทยอยกันลุกออกจากงาน กำลังจะไปเที่ยวชมสวน เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่มีท่าที่ว่าจะออกไป เซิงมู่เสวี่ยก็มาทักว่า “เจ้าสี่ ไปด้วยกันสิ”
ที่เรียกเจ้าสี่ก็เพราะเดิมทีตระกูลโค่วมีลูกสาวสามคน ลูกสาวบุญธรรมอย่างอวิ๋นจือชิวย่อมเป็นลำดับสี่ นี่คือคำเรียกขานในหมู่ลูกเขยด้วยกัน
เหมียวอี้บุ้ยปากไปทางในสวน แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ยังมีคำสั่งติดตัว”
เซิงมู่เสวี่ยก็มองไปทางในสวนเช่นกัน ในดวงตาฉายแววล้ำลึก แล้วก็หันกลับมายิ้มให้เหมียวอี้อีก “งั้นก็ได้ ก่อนกลับแดนรัตติกาลอย่าลืมไปนั่งเล่นบ้านข้าสักหน่อยนะ เจ้ายังไม่เคยไปบ้านข้าเลย ไปรู้จักว่าอยู่ตรงไหนสักหน่อยก็ยังดี”
“ได้” เหมียวอี้พยักหน้ายิ้ม
“งั้นนัดกันตามนี้ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่บ้าน” เซิงมู่เสวี่ยกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง
“…” เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก ที่จริงเขาแค่พูดตามมารยาท ใครจะคิดว่าเซิงมู่เสวี่ยกลับคิดเป็นจริงเป็นจัง ก่อนหน้านี้ใช่ว่าเซิงมู่เสวี่ยจะไม่เคยเชิญชวน แต่แค่พูดตามมารยาทแล้วปล่อยผ่านไป ตอนนี้โดนอุดปากแล้ว ไม่สะดวกจะเปลี่ยนคำพูด ทำได้เพียงพยักหน้า “ได้! ไปแน่นอน”
“รู้ใช่มั้ยว่าบ้านข้าอยู่ไหน? ตอนหลังอย่าอ้างว่าหาทางไปไม่เจอล่ะ” เซิงมู่เสวี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ติดต่อท่านไปก็พอแล้ว ท่านคงไม่จงใจบอกทางผิดใช่มั้ยล่ะ” เหมียวอี้พูดหยอก เขารู้สึกดีกับเจ้าหมอนี่มาตลอด เพราะไม่มีความทะเยอะทะยานอะไร ทั้งยังจริงใจกับผู้อื่น กอปรกับไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ในโอกาสละสถานที่แบบนี้ก็ยังไว้หน้าตนเต็มที่ ก็ยิ่งทำให้เหมียวอี้รู้สึกดีกับเขามากยิ่งขึ้น
“เหอะๆ ไปล่ะ” เซิงมู่เสวี่ยตบบ่าเหมียวอี้ แล้วหันตัวเดินจากไป
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะส่งเขา
ตระกูลโค่วออกจากลุ่มคนไปแล้ว โค่วฉินหันกลับไปมองแวบหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกโค่วเหมี่ยน “เจ้าหกเป็นคนดี เป็นคนเลอะเลือน”
โค่วเหมี่ยนถอนหายใจ “ในเมื่อรู้แล้วยังมีอะไรต้องพูดอีก มู่เสวี่ยไม่ได้มาแก่งแย่งผลประโยชน์ เขาก็เป็นคนอย่างนั้น ให้อำนาจก็ไม่เอา ต้องการแค่ให้ตัวเองอิสระ ทุกคนต่างก็รู้ ไม่มีใครเก็บเรื่องที่เขาไปมาหาสู่กับหนิวโหย่วเต๋อมาใส่ใจ ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลโค่วหรอก พี่รอง อย่าคิดมากเลย”
ทางนี้เพิ่งแยกย้ายได้ไม่นาน ก็มีนางในมาเชิญเหมียวอี้ไปแล้ว พาเหมียวอี้เข้าไปรอในสวนแห่งหนึ่ง
ตอนที่รออยู่ในสวน หงส์รุ้งตัวหนึ่งลอยมาเกาะบนช่องกำแพงที่อยู่ไม่ไกล ขนปีกสวยแพรวพราว หัวที่อยู่บนคอยาวหันมาสังเกตเหมียวอี้เป็นระยะ
เหมียวอี้ก็มองประเมินเป็นระยะเช่นกัน มีเรื่องหงส์หายนะครั้งก่อนเป็นบทเรียนแล้ว เขาไม่กล้าขึ้นไปยุ่งกับมันอีกแล้ว
รออยู่ตรงนี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงได้มีนางในมาเชิญให้เขาตามนางไป
ครั้งนี้ได้เข้ามาในสวนด้านในแล้วจริงๆ เปลี่ยนมาอยู่ในทิวทัศน์ดอกไม้แปลกตานานาพันธุ์ ระหว่างตึกศาลาตรงหน้ามียอดหญิงงามกำลังพูดคุยหัวเราะกัน ทั้งหมดล้วนเป็นสนมในวังหลัง มีสนมกลุ่มหนึ่งกำลังยืนล้อมกันเหมือนดาวล้อมเดือน ตรงกลางก็คือจ้านหรูอี้ที่เหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่
เหมียวอี้มองประเมินครู่เดียว จากนั้นก็หลุบสายตาลง มีสนมมากมายอยู่ที่นี่ ไม่สะดวกจะมองซี้ซั้วไปทั่ว เขาไม่เห็นจ้านหรูอี้ ในใจกลับพึมพำว่า มีผู้หญิงมากมายขนาดนี้ ประมุขชิงจะรับมือไหวเหรอ?
จู่ๆ ที่นี่ก็มีชายแปลกหน้าปรากฏตัว บรรดาสนมที่ไม่ค่อยมีโอกาสเจอผู้ชายข้างนอกกลับพากันสังเกตเขา จ้านหรูอี้ก็เห็นเขาแล้วเช่นกัน ย้ายสายตาตามเขาไปด้วย
“ใช่หนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้?”
“จะเพราะอะไรเสียอีกล่ะ ท่านนั้นคงจะเรียกพบน่ะสิ ใจ้กล้ามากจริงๆ กล้าผู้ชายข้างนอกเข้าวังหลัง”
“อย่าพูดซี้ซั้ว ระวังมีคนได้ยิน ตอนนี้นางมีโอรสสวรรค์เป็นเกราะคุ้มตัวแล้วนะ”
“โอรสสวรรค์เกิดมา มารดาก็จะเรียกผู้ชายข้างนอกเข้าวังหลังซี้ซั้วไม่ได้หรอกมั้ง แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน ก็แค่อาศัยอิทธิพลตระกูลเซี่ยโหวไม่ใช่เหรอ”
“อาจจะไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิดก็ได้ ฝ่าบาทคงอยู่กับท่านนั้น ไม่อย่างต่อให้จะกล้าหาญแค่ไหน แต่ท่านนั้นคงไม่กล้าให้ผู้ชายข้างนอกเข้ามาตามอำเภอใจหรอก”
พวกสนมกระซิบกระซาบอยู่ข้างกายจ้านหรูอี้ ประเด็นสนทนามีแต่ความอิจฉาตาร้อนต่อราชินีสวรรค์
แต่คนจำนวนมากกว่านั้นกำลังพูดคุยอีกประเด็นหนึ่ง สนมส่วนใหญ่เคยเห็นเหมียวอี้ที่อุทยานหลวงมาก่อน ถึงอย่างไรก็เคยเป็นแม่ทัพภาคอุทยานหลวง ทั้งยังเคยยืนเฝ้ายามที่นาหลวงตั้งหลายปี
“อายุยังน้อยแต่ได้ตั้งตำแหน่งหัวหน้าภาคแล้ว กลายเป็นเจ้าอาณาเขต เกรงว่าลูกหลานของขุนนางใหญ่ๆ คงไม่เคยได้ยินมาก่อนสินะ โชคดีจริงๆ”
“โชคดีเหรอ? นำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปตีทัพใหญ่หนึ่งล้าน ชื่อเสียงเขย่าใต้หล้า ทั้งยังพลิกสถานการณ์ในราชสำนัก อาศัยแค่โชคจะทำได้ที่ไหนกัน อาศัยความสามารถทั้งนั้น”
“ไต่เต้าเร็วจริงๆ ไม่รู้ว่าจะมีวันได้เข้าประชุมในราชสำนักหรือเปล่า”
“เกรงว่าจะลำบาก แดนรัตติกาลมีข้อจำกัดเยอะมาก ฝ่าบาทคงไม่ปล่อยอำนาจให้ตำหนักนารีสวรรค์มากเกินไปหรอก”
…………………