สำหรับเหมียวอี้ ถึงแม้เขาจะเคยเป็นแม่ทัพภาคอุทยานหลวงมาก่อน แต่ไม่เคยสัมผัสกับสถานที่อย่างตำหนักสวรรค์หรือวังหลังมาก่อนเลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรก
เดินมาตลอดทางจนถึงตำหนักกลาง จากนั้นเดินขึ้นบันไดตามนางในไป จากนั้นเอ๋อเหมยที่รอตรงประตูก็พาเหมียวอี้เข้าไปในตำหนัก
ประมุขชิงที่อยู่ในตำหนักกำลังอุ้มโอ๋ทารกตัวอ้วนขาวคนหนึ่ง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หยอกล้อทารกอยู่ข้างๆ ทั้งยังมีนางในอีกหลายคน เหมียวอี้ที่เข้ามาข้างในพูดไม่ออกนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมีโอกาสเห็นราชันสวรรค์และราชินีสวรรค์ภายใต้สถานการณ์แบบนี้
“ข้าน้อยคารวะฝ่าบาท คารวะเหนียงเหนียง คารวะโอรสสวรรค์” เหมียวอี้ทำความเคารพ
“ไม่ต้องมากพิธี!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ผายมือเล็กน้อย
ประมุขชิงมองเหมียวอี้ แล้วก็เหล่ตามองเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ก่อนจะใช้สองมือยื่นทารกให้เอ๋อเหมย “พาโอรสสวรรค์ไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย พวกเจ้าออกไปข้างนอกก่อนเถอะ”
“เพคะ!” เอ๋อเหมยอุ้มทารกเดินออกไปพร้อมพวกนางใน เพียงแต่เอ๋อเหมยเหมือนจะกวาดตามองเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับเหมียวอี้อย่างไม่วางใจ แต่ในเมื่อประมุขชิงออกคำสั่งแล้ว นางก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง
เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว ประมุขชิงก็หันตัวนั่งลงบนตำแหน่งหลัก แล้วโบกมือบอกว่า “พวกเจ้าคุยงานของพวกเจ้าไปเถอะ ข้าจะฟังอยู่ข้างๆ” พูดจบก็ยกถ้วยน้ำชาที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ย่อตัวเอ่ยรับ แล้วหันหน้าไปหาหนิวโหย่วเต๋อ ในดวงตานางฉายแววอมยิ้มอย่างปิดบังได้ยาก ถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ สถานการณ์ทางจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเป็นยังไงบ้างแล้ว”
“สถานการณ์ยังดีขอรับ กำลังพลหนึ่งแสนปฏิบัติตามคำสั่งเหนียงเหนียง…” เหมียวอี้รายงานสถานการณ์คร่าวๆ
ไม่รู้ว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าใจที่รายงานไปหรือเปล่า อย่างไรเสียก็ทำท่าตั้งใจฟังมาก ประมุขชิงไม่ได้เหลือบตามองแม้แต่น้อย ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
เหมียวอี้อธิบายไปได้พอสมควรแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ถามอยู่สักพัก ที่จริงนางไม่เข้าใจเรื่องปกครองกองทัพเลย ได้แต่ถามคำถามตื้นๆ เท่านั้น
บางทีอาจจะตระหนักบางอย่างได้ หลังจากไม่รู้ว่าจะถามอะไรอีก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็หันตัวไปมองประมุขชิง “ฝ่าบาทยังมีอะไรต้องกำชับอีกมั้ยเพคะ?”
ประมุขชิงวางถ้วยน้ำชาลง ยืนขึ้นเอามือไขว้หลัง แล้วเดินไปตรงประตูอย่างไม่รีบร้อน “เรื่องของลูกน้องเจ้า เจ้าก็จัดการเองสิ พวกเจ้าคุยกันต่อเถอะ ข้าจะไปดูลูกสักหน่อย”
เหมียวอี้มองซ้ายมองขวาโดยจิตใต้สำนึก ในใจแอบปาดเหงื่อแล้ว หลังจากประมุขชิงออกไป ในตำหนักนี้ก็เหลือแค่เขากับราชินีสวรรค์แล้ว การอยู่กับราชินีสวรรค์สองต่อสองในห้องมันผิดกฎนะ!
“…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ตะลึงเช่นกัน แต่นางรีบมองไปรอบๆ จากนั้นก้าวมาข้างหน้า หยิบระฆังดาราสองอันมาลงตราอิทธิฤทธิ์ แล้วส่งให้ตรงหน้าเหมียวอี้อีก พร้อมพูดเร่งด้วย “เร็วๆ เข้า!”
เหมียวอี้ที่กำลังหลบเลี่ยงตะลึงงัน แต่ไม่นานก็รู้ตัว รีบลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองบนระฆังดาราสองอันนี้
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบเก็บไว้อันหนึ่ง แล้วยัดอีกอันหนึ่งใส่มือเหมียวอี้ มีท่าทางกังวลอย่างเห็นได้ชัด “อย่าทำให้ข้าผิดหวัง เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” พูดจบตัวเองก็รีบเดินออกไปก่อน พอออกจากประตูก็ตะโกนว่า “ฝ่าบาท รอหม่อมฉันด้วยเพคะ”
จู่ๆ ราชินีสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยก็ทำตัวเหมือนโจร เหมียวอี้รู้สึกเหนือความคาดหมายมาก ทำเอาเหมียวอี้กังวลไปด้วย เมื่อครู่นี้มือของทั้งสองเกือบสัมผัสโดนกันแล้ว ถ้ามีใครมาเห็นเข้าว่าทั้งสองทำลับๆ ล่อๆ กันแบบนี้ ดีไม่ดีอาจจะหัวหลุดจากได้
เขาเหลือบมองในห้องนี้ครู่เดียว ไม่มีอารมณ์มาชื่นชมการตกแต่งที่หรูหราของที่นี่ ไม่กล้าอยู่ต่อนาน รีบหันตัวออกมาเช่นกัน บังเอิญเจอเอ๋อเหมยที่กำลังรีบเดินกลับมาพอดี
เอ๋อเหมยมองเขาศีรษะจดเท้าด้วยสายตาระแวดระวัง จากนั้นโบกมือเรียกเทพธิดานางในคนหนึ่งออกมา ให้เขาพาเหมียวอี้ออกจากตำหนัก
จนกระทั่งเดินออกจากพระตำหนักอุทยานแล้วไม่เห็นความเคลื่อนไหวอื่น เหมียวอี้ถึงได้โล่งอก เขาตกใจจนเหงื่อแทบแตกแล้ว ความรู้สึกแบบนี้น่ากลัวว่าตอนต่อสู้เอาชีวิตรอดอีก นั่นเป็นราชินีสวรรค์เชียวนะ! ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ตัวเขาอยู่ที่นี่ก็หนีไม่พ้นแน่
อยู่ใต้หนังตาประมุขชิง ไม่น่าเชื่อว่าราชินีสวรรค์จะกล้าทำอย่างนี้ ทำเอาเหมียวอี้ตกใจแล้วจริงๆ แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจความลำบากของราชินีสวรรค์แล้วเช่นกัน เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่หยางชิ่งบอกไว้ตอนติดต่อกัน
เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์จะเที่ยวชมอุทยานหลวงและร่วมฉลองในตอนหลังแล้ว เขาไปรับเฟยหงที่สวนกลางเขียวขจี อำลาแม่เฒ่าลวี่ จากนั้นก็ไปเจอกับพวกชิงเยว่
ตอนที่เจอชิงเยว่ ก็พบว่าชิงเยว่กำลังนั่งอยู่ในศาลากับสตรีวัยกลางคนที่ปลอมตัวเป็นชาย จะเรียกว่าปลอมตัวก็ไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายแค่สวมหน้ากากผู้ชายเท่านั้น ถึงแม้จะแต่งตัวเป็นชาย แต่หน้าตาของผู้หญิงคนนี้ยังทำให้คนรู้สึกทึ่งได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
เมื่อเห็นเหมียวอี้เดินก้าวยาวเข้ามา ชิงเยว่ก็ลุกขึ้น กุมหมัดคารวะด้วยความเคารพอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “นายท่าน!” เหมือนตั้งใจทำให้คนข้างๆ เห็น
สตรีวัยกลางคนที่แต่งตัวเป็นชายก็ลุกขึ้นเช่นกัน จ้องประเมินเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า
เหมียวอี้เองก็มองระเมินนางครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ท่านนี้คือ?”
สตรีวัยกลางคนเป็นฝ่ายตอบด้วยรอยยิ้ม “ซูอวิ้น พ่อบ้านจวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว”
“อ้อ!” เหมียวอี้ยิ้มพลางกุมหมัดคารวะ “ได้ยินนามอันยิ่งใหญ่มานานแล้ว ข้าไม่ได้รบกวนทั้งสองคุยกันใช่มั้ย?”
ซูอวิ้นยิ้มพลางส่ายหน้า ส่วนชิงเยว่ถามว่า “นายท่านมีธุระอะไรเหรอ?”
“มาเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองแบบนี้ สหายน้อยศัตรูเยอะ มาแสดงน้ำใจก็พอ กลับกันเถอะ” เหมียวอี้บอกนาง
ซูอวิ้นยิ้มและบอกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอตัวก่อน อ๋องสวรรค์ฮ่าวชื่นชมหัวหน้าภาคหนิวมาก ถ้าหัวหน้าภาคมีเวลาว่าง ก็ไปนั่งที่จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวได้”
“ได้เลย!” เหมียวอี้พยักหน้า
“ขอตัวก่อน” ซูอวิ้นพยักหน้า แล้วก็มองชิงเยว่ด้วยแววตาซับซ้อนหลากอารมณ์ “ลองไปพิจารณาดูอีกทีก็ได้”
“ไม่จำเป็นต้องพิจารณาแล้ว” ชิงเยว่ตอบเสียงเรียบ
ซูอวิ้นไม่ได้พูดอะไรอีก หันตัวเดินจากไปเลย
หลังจากคนเดินหายไปแล้ว เหมียวอี้ถึงได้ถามว่า “มีเรื่องอะไรกัน?”
“ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีกล่ะ เกลี้ยกล่อมให้ข้ากลับไปไง มาหาข้าด้วยตัวเองเพื่อแสดงความจริงใจแล้ว” ชิงเยว่ตอบ
เหมียวอี้จึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ผู้หญิงคนนี้จงรักภักดีต่ออ๋องสวรรค์ฮ่าวจริงๆ ขนาดโดนฆ่าล้างตระกูลแล้วยังปล่อยวางได้”
“ก็อย่างที่เคยบอก มีแค่นางคนเดียวที่ปล่อยวางได้ก็ไม่มีประโยชน์” ชิงเยว่กล่าว
ตระกูลเซี่ยโหว ในเรือนพักเดี่ยว หลังจากงานเลี้ยงฉลอง เซี่ยโห้วท่าก็ไม่ได้ไปเข้าร่วมการเที่ยวชมอุทยาน กลับมาพักผ่อนที่เรือนพัก บางทีอาจเป็นเพราะอายุมากเกินไป มักจะชอบนอนงีบพักผ่อนบนเก้าอี้ยาว
เว่ยซูที่เดินช้าๆ เข้ามาใกล้กลับแยกออกว่าเวลาไหนหลับจริง เวลาไหนแค่งีบพักผ่อน เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงเบา “นายท่าน ในวังส่งข่าวมาแล้วขอรับ ประมุขชิงกับเหนียงเหนียงเรียกพบหนิวโหย่วเต๋อ”
เซี่ยโห้วท่าที่กำลังหลับตาพึมพำถาม “มีความผิดปกติอะไรหรือเปล่า?”
“มีขอรับ เหนียงเหนียงกับหนิวโหย่วเต๋อเจอกันในสถานการณ์ที่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย เอ๋อเหมยกังวลว่าทั้งสองจะฉวยโอกาสสร้างช่องทางการติดต่อกันใหม่อีกครั้ง…” เว่ยซูรายงานสถานการณ์โดยละเอียด จากนั้นถามว่า “ต้องคิดหาทางตรวจสอบมั้ยขอรับ?”
เซี่ยโห้วท่าเงียบไปครู่เดียว แล้วสุดท้ายก็กล่าวช้าๆ ว่า “ช่างเถอะ ประมุขชิงจงใจสร้างโอกาสให้นางหนูเฉิงอวี่ ไม่ว่าจะสร้างช่องทางติดต่อใหม่หรือไม่ก็ช่าง ต่อให้ทำแบบนั้นจริง พวกเราจะเข้าไปแทรกแซงอีกก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ถ้าประมุขชิงตั้งใจสอดมือเข้ามายุ่ง ก็สามารถสร้างโอกาสให้เฉิงอวี่ได้สารพัดรูปแบบ พวกเราป้องกันไม่ไหวอยู่ดี ให้คนหนึ่งวุ่นวายกับเรื่องนอกวัง ให้คนหนึ่งวุ่นวายกับเรื่องในวังก็แล้วกัน เฉิงอวี่สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก ข้าก็อยากจะเห็นว่าตัวละครที่อยู่เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อคิดจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่ ให้พวกเขาเคลื่อนไหวสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่วางใจทางฝั่งเจ้าหก”
เว่ยซูเข้าใจแล้ว จากนั้นพยักหน้าแล้วถอยออกไป
ก่อนออกจากอุทยานหลวง เหมียวอี้ติดต่อหาเซิงมู่เสวี่ย ต้องการจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ จะไปทำความรู้จักบ้านเขาสักหน่อย
เซิงมู่เสวี่ยที่กำลังอยู่ในสวนหรรษากลับถูกเขาทำให้ลำบากแล้ว โอรสสวรรค์ถือกำเนิด เฉลิมฉลองสามวัน งานฉลองนี้ยังไม่จบ คนของตระกูลโค่วก็ยังไม่ไป เขาก็ไม่สะดวกจะออกจากงานเลี้ยงก่อนล่วงหน้า เขาไม่ได้มีฐานะพิเศษเหมือนเหมียวอี้ที่จะออกไปตอนไหนก็ได้
สุดท้ายทั้งสองจึงทำได้เพียงนัดกันครั้งต่อไป
เหมียวอี้นำกำลังพลออกจากอุทยานหลวงและรีบกลับมาที่แดนรัตติกาล
เมื่อเห็นเหมียวอี้กลับมาล่วงหน้า อวิ๋นจือชิวก็แปลกใจนิดหน่อย ถามเขาว่าเป็นอะไรไป เขาจึงเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ
หลังจากอวิ๋นจือชิวออกไปแล้ว เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในห้องคนเดียวถึงได้ใช้ระฆังดาราติดต่อเรียกหยางเจาชิงเข้ามา
“นายท่าน!” หยางเจาชิงเข้ามาในห้องแล้วทำความเคารพ
“ของล่ะ?” เหมียวอี้ถาม
หยางเจาชิงนำแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมา แล้ววางบนโต๊ะตรงหน้าเหมียวอี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร อย่างไรเสียเหมียวอี้ก็ส่งข่าวให้เขาในระหว่างที่อยู่อุทยานหลวง สั่งให้เขาไปพบคนคนหนึ่งเพื่อรับของสิ่งนี้มา
เหมียวอี้หยิบแหวนเก็บสมบัติขึ้นมาพร้อมถามว่า “คนที่มาไม่ได้บอกอะไรเหอ?”
“ไม่ได้บอกอะไรขอรับ ให้ของข้าน้อยเสร็จแล้วก็ไปเลย” หยางเจาชิงตอบ
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ให้ถอยออกไป หลังจากในห้องไม่มีคนอื่นแล้ว ถึงได้เรียกของในแหวนเก็บสมบัติออกมา เขาใช้ปลายนิ้วฟั่นดวงจิตน้ำแข็งเม็ดหนึ่ง ในดวงจิตน้ำแข็งมีจุดสีแดงตรงกลาง นี่คือของที่พุทธะหน้าหยกอวี้หลัวช่าสั่งให้คนส่งมาให้เขา ไม่ใช่ของอื่นใด มันคือสิ่งที่เรียกว่ายาระงับหลังจากอวี้หลัวช่าปลูกโลหิตมารสวรรค์ลงในกายเขาเมื่อสิบปีก่อน ในดวงจิตน้ำแข็งมีเลือดสกัดของอวี้หลัวช่าหนึ่งหยด นางบอกไว้แล้วว่าจะนำมาส่งให้ทุกๆ สิบปี รักษาสัญญาจริงๆ จริงๆ
เขาพลิกดูดวงจิตน้ำแข็งในมือ เลือดสกัดหยดนี้เขาไม่ต้องใช้มันแล้ว แต่อวี้หลัวช่ายังเป็นภัยคุกคามใหญ่สุดสำหรับเขา ตอนนี้สถานการณ์ของแดนรัตติกาลสงบลงแล้ว ภัยคุกคามที่ใหญ่สุดในตอนนี้ก็เหลือแค่อวี้หลัวช่า
วางเรื่องของอวี้หลัวช่าไว้ก่อนชั่วคราว ถ้าจะคุกคามเขาก็เป็นเรื่องอีกหลายร้อยปีข้างหน้า เรื่องสำคัญตรงหน้าก็คือการสร้างจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ปราสาทดำเนินจันทร์กำหนดอาณาเขตให้เขาแล้ว
ในอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์มีดาวเคราะห์สิบดวง แบ่งเป็น เจี่ย อี่ ปิ่ง ติง อู้ จี่ เกิง ซิน เหริน กุ่ย หกดวงแรกในจำนวนนั้นเหมาะแก่การอยู่อาศัย ที่สภาพแวดล้อมดีที่สุดก็คือดาวจันทร์เจี่ย แล้วก็ลดหลั่นลงมาตามลำดับ ตำหนักหลักของปราสาทดำเนินจันทร์ก็ย่อมตั้งอยู่ในดาวจันทร์เจี่ยที่มีสภาพแวดล้อมดีที่สุดอยู่แล้ว อาณาเขตที่รับปากว่าจะแบ่งให้จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลก็คือดาวจันทร์อี่ จะเห็นได้ว่าปราสาทดำเนินจันทร์ยังนับว่ามีมนุษยธรรม
ถึงแม้หยางเจาชิงจะเลือกสถานที่สำหรับสร้างจวนดีแล้ว แต่เหมียวอี้ก็ยังต้องไปดูเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เขานำกำลังพลส่วนใหญ่ย้ายไปที่นั่นก่อนเสียเลย เพราะอยู่ในสถานที่ไร้เดือนไร้ตะวันอย่างตลาดผีมานานจนเบื่อแล้ว เหลือคนไว้เฝ้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแค่ร้อยคนเท่านั้น ทุกปีจะให้คนผลัดเวรกันไปเฝ้า จุดประสงค์หลักก็คือสืบข่าว ขอแค่เวลาเกิดเรื่องอะไรใหญ่ๆ ที่ตลาดผีแล้วตามข่าวทันก็พอ ส่วนความปลอดภัยของตลาดผีก็ไม่ใช่สิ่งที่จวนหัวหน้าภาคจะควบคุมได้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นเขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน
คนกลุ่มหนึ่งเหาะมาจากจุดลึกของดาราจักร พอพุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศแล้ว หยางเจาชิงที่นำทางมาก็ชี้แผ่นดินใหญ่ผืนหนึ่งที่อยู่บนมหาสมุทรสีฟ้าครามเบื้องล่าง แผ่นดินที่รอบด้านมีทะเลล้อมก็คืออาณาเขตที่ปราสาทดำเนินจันทร์แบ่งให้สร้างจวนหัวหน้าภาค ปลายสุดของบนล่างและซ้ายขวามีระยะห่างเกือบพันลี้ นับว่าแบ่งพื้นที่ให้กว้างพอสมควร น่านน้ำในรัศมีร้อยลี้รอบแผ่นดินใหญ่ก็แบ่งให้จวนหัวหน้าภาคเช่นกัน แต่ก็มีแค่เท่านี้ คนของจวนหัวหน้าภาคห้ามเพ่นพ่านไปทั่วดาวเคราะห์ดวงนี้ เวลาเข้าออกก็ทำได้แค่พุ่งขึ้นพุ่งลงในแนวตั้งเท่านั้น ถ้าทำผิดกฎเมื่อไร ปราสาทดำเนินจันทร์ก็จะขับไล่พวกเขาออกนอกอาณาเขตทันที อาณาเขตนี้แบ่งให้จวนหัวหน้าภาคยืมใช้เท่านั้น ไม่ได้เปลี่ยนเจ้าของ!
………………