ตั้งแต่ตอนแรกที่ได้รับข้อความว่า ‘พระปีศาจหนานโป’ จากระฆังดาราของไต้ซือศีลเจ็ด เขาก็เริ่มนับเวลามาตลอด ตอนหลังถูกทำโทษขังอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์จึงเสียเวลาไปนิดหน่อย แล้วก็ถูกลงโทษให้เฝ้าที่นาหลวงในอุทยานหลวงอีกหนึ่งร้อยปี ที่จริงก็เหลือเวลาอีกแปดร้อยปีเท่านั้นที่พวกศีลแปดจะออกมา
ตอนแรกที่เขาอ้างเรื่องสมบัติลับหนานอู๋มาหลอกอวี้หลัวช่า ที่บอกว่าอีกเก้าร้อยปีหลังจึงจะถึงเวลาที่เหมาะสมสำหรับหาสมบัติ ที่จริงแล้วเขาเหลือทางถอยให้ตัวเองนิดหน่อย เพื่อให้ตัวเองได้รับมือล่วงหน้าหากแผนการในปีนั้นมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ให้ถึงขั้นฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก
ที่จริงสำหรับเขาแล้ว ถ้าอยากกำจัดอวี้หลัวช่าทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องยากเท่าไรนัก กำลังพลในมือเขาอาจจะรับมือกับสำนักหลัวช่าได้ไม่ง่ายนัก แต่ถ้าจะรับมือกับอวี้หลัวช่าคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ก็แค่เอาเรื่องหาสมบัติมาล่ออวี้หลัวช่าเข้าแดนอเวจี ที่แดนอเวจีมียอดฝีมือเยอะขนาดนั้น ขอเพียงอวี้หลัวช่าเข้าแดนอเวจี โดยพื้นฐานก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิตแล้ว
แต่เขาต้องหลอกใช้อวี้หลัวช่าให้ช่วยชีวิตศีลแปด ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเวรศีลแปดนั่น เขาก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้
จุดเริ่มต้นของสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปอยู่บริเวณน่านฟ้าเถาะติง ถึงแม้ตำหนักสวรรค์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดุเดือดช่วงหนึ่งจนถอนกำลังพลที่ค้นหาออกไป จนตอนนี้ก็ยังไม่กลับไปค้นหาต่อเพราะมีการปรับปรุงภายในของสี่ทัพ แต่กำลังพลกองทัพองครักษ์ก็กลับไปค้นหาต่อแล้ว จากสิ่งนี้ยังไม่เห็นอีกเหรอ ว่าสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปมีความสำคัญขนาดไหน
ถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือ เหมียวอี้ไม่มั่นใจว่าจะหลบเลี่ยงกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่กำลังค้นหาได้ ต้องยืมมืออวี้หลัวช่ามาคิดหาวิธีการ
“ต้องให้พวกชิงเยว่ไปด้วยหรือเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างค่อนข้างกังวล
“ไม่ต้อง ข้าไม่สะดวกให้คนนอกรู้ว่าตัวเองไปเจออวี้หลัวช่า เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้ามีแผนในใจแล้ว ไม่ทำใหตัวเองเกิดปัญหาหรอก” เหมียวอี้อ้างเหตุผลตบตานาง
เขาก็อยากจะพาพวกชิงเยว่ไปด้ววยเพื่อเป็นผู้ช่วยลับ แต่อวี้หลัวช่าจะต้องค้นตัวเขาแน่นอน เขาซ่อนพวกชิงเยว่ไม่พ้นเลย ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่สะดวกจะให้พวกชิงเยว่รู้เรื่องนี้จริงๆ
หลังจากออกจากการเก็บตัวฝึกวิชาแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไม่รีบไป เขาตั้งใจใช้ชีวิตสุขสำราญผ่อนคลายกับบรรดาภรรยาก่อน จากนั้นถึงได้ใช้ระฆังดาราติดต่ออวี้หลัวช่า ทั้งสองนัดเวลาพบกันแล้ว
หลังจากนั้นหลายวัน เหมียวอี้ก็ออกไปเงียบๆ คนเดียว
ขณะมองคล้อยหลังเหมียวอี้จากไป อวิ๋นจือชิวก็กระสับกระส่าย นางรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จุดที่น่าสงสัยก็คือเหมียวอี้ไม่ยอมบอกเรื่องราวให้ชัดเจน เหมือนมีเรื่องบางอย่างกำลังปิดบังนาง
หรือว่าจะแอบไปหาชู้รัก? อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะคิดไปในทางนั้น เพราะด้วยนิสัยประหลาดของเหมียวอี้ ใช่ว่านางจะไม่เคยได้บทเรียนมาก่อน
นางเดาไม่ผิด เหมียวอี้แอบไปหาชู้รักก่อนจริงๆ นัดกับหวงฝู่จวินโหรวก่อนที่จะนัดกับอวี้หลัวช่า ที่จริงในระหว่างนั้นเขาจะกลับไปหาฉินเวยเวยที่พิภพเล็กเสมอ อวิ๋นจือชิวเป็นคนเร่งให้เขาไป เพราะหยางชิ่งมีบทบาทสำคัญมาก จะเย็นชาเมินเฉยกับฉินเวยเวยไม่ได้ แต่เหมียวอี้กลับฉวยโอกาสนี้ไปหาความสำราญกับหวงฝู่จวินโหรวมาหลายครั้งแล้ว คู่นี้ก็ไม่กลัวว่าเรื่องราวจะใหญ่โตเลย ถ้าโดนจับได้ขึ้นมา ทั้งสองก็ไม่อาจแบกรับผลที่ตามมาไหว แต่กลับยังเสี่ยงอันตรายอยู่อย่างนี้
สถานที่นัดพบกับอวี้หลัวช่า ก็คือดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ไม่ไกลจากอารามแปดทิศซึ่งเป็นทางเข้าแดนสุขาวดีเท่าไรนัก นัดเจอบนเกาะกลางทะเลแห่งหนึ่ง
เหมียวอี้ที่ปลอมแปลงใบหน้าแล้วเหาะลงมาจากฟ้า หลังจากเหยียบลงบนเกาะ ก็เห็นสตรีชราคนหนึ่งยืนอยู่บนหินโสโครกริมทะเล จากนั้นโบกมือเรียกอย่างร่าเริง “อวี้หลัวช่า!”
สตรีชราหันกลับมามองแวบหนึ่ง ก่อนจะถลันตัวมาตรงหน้าเขา นางถามอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “ทำไมเจ้าแน่ใจขนาดนี้ว่าเป็นข้า?”
เหมียวอี้แอบตะลึงไปชั่วขณะ แอบคิดว่าตัวเองประมาทไป เป็นเพราะกังวลว่าอีกฝ่ายจะเล่นไม่ซื่อ ตอนที่อยู่ในดาราจักรจึงใช้ตาทิพย์สำรวจล่วงหน้านิดหน่อย จึงเห็นตัวจริงขอสตรีชราคนนี้ชัดเจน ย่อมรู้อยู่แล้วว่านางคืออวี้หลัวช่า แต่การอวดฉลาดกลับกลายเป็นการปล่อยไก่ เพียงแต่เขามีเหตุผลมาอ้างอยู่แล้ว เขาชี้ไปรอบๆ พร้อมกล่าวอย่างไม่ตื่นเต้น “บนเกาะมีเจ้าอยู่คนเดียว ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครไปได้? อวี้หลัวช่า ถึงยังไงเจ้าก็เป็นยอดหญิงงาม ทำไมเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์อย่างนี้แล้ว? เจ้า…เอ่อ!” เขาเบิกตากว้าง ยังไม่ทันเปลี่ยนประเด็นพูด ก็ถูกอีกฝ่ายบีบคอเสียแล้ว
อวี้หลัวช่าโมโหนิดหน่อย นางคิดว่าตัวเองเป็นพุทธะหน้าหยกผู้สง่าภูมิฐาน แต่เจ้าหมอนี่กลับเอ่ยนามของนางตรงๆ จะไม่สั่งสอนสักหน่อยได้อย่างไร แต่สิ่งที่ทำให้นางเดือดดาลที่สุดก็คือ นางรู้สึกได้ตั้งแต่พบกันครั้งแรก ว่าเจ้าเวรนี่ไม่มีความเกรงกลัวต่อนางเหมือนคนทั่วไปเลย ถึงขั้นรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นนางอยู่ในสายตา สิ่งนี้ทำให้นางไม่สบอารมณ์เอามากๆ เพียงแต่เมื่อได้ฟังข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับเหมียวอี้ ก็พบว่าเจ้าเวรนี่ใจกล้าบ้าบิ่นจริงๆ ขนาดอยู่ในงานเลี้ยงวันเกิดเซี่ยโห้วท่าที่มีขุนนางใหญ่มากมายก็ยังกล้าสร้างเดิมพันขึ้นมา สอดคล้องกับนิสัยของเขา แต่นางก็ยังมีปฏิกิริยากับพฤติกรรมที่เขาอ้าปากหุบปากก็เรียกนางว่า ‘อวี้หลัวช่า’ อยู่ดี
เหมียวอี้ถูกบีบคอจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ดวงตาทั้งคู่แทบจะถลนออกมา
เมื่อบีบคอจนเหมียวอี้เกือบขาดใจแล้ว อวี้หลัวช่าถึงได้ดึงหน้ากากบนใบหน้าออก พอยืนยันตัวตนแล้วก็ผลักออกหนึ่งที ทำเอาเหมียวอี้ไอไม่หยุด
“เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอาณาเขตดาวของจุดซ่อนสมบัติกำลังโคจรไม่หยุดนิ่ง ทุกๆ หนึ่งพันปีถึงจะกลับมาทีเดิมสักครั้ง ครั้งต่อไปที่จุดซ่อนสมบัติจะเปิดก็คืออีกเก้าร้อยปี? ทำไมเพิ่งผ่านไปแปดร้อยปีเจ้าก็บอกว่าได้แล้วล่ะ?” อวี้หลัวช่ากล่าวเสียงเย็น
เหมียวอี้เอามือลูบคอ ไม่ง่ายเลยกว่าจะหายใจคล่อง “ก็เกือบแล้วล่ะ แปดร้อยปีกับเก้าร้อยปีก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอก ข้าไม่เคยไปที่นั่น ระหว่างทางยังต้องใช้เวลาค้นหาอีก ไปถึงล่วงหน้าสักหน่อยก็ดีกว่าพลาดเวลานั้น แถมเรื่องนี้ก็อาจจะยุ่งยากนิดหน่อยด้วย ไม่มาล่วงหน้าไม่ได้หรอก”
“ปัญหาอะไร?” อวี้หลัวช่าหรี่ตาถาม
“ข้ากังวลว่ากองทัพองครักษ์ของตำหนักสวรรค์จะมาพบว่าพวกเราจะไปหาสมบัติ” เหมียวอี้ถาม
“กองทัพองครักษ์?” อวี้หลัวช่าขมวดคิ้ว “หรือว่าจุดซ่อนสมบัติมีกองทัพองครักษ์ประจำการอยู่?”
เหมียวอี้ตบหน้าอกตัวเอง เอียงคอที่เพิ่งถูกบีบจนเจ็บ แล้วตอบว่า “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เพียงแต่บางเส้นทางที่ไปจุดหาสมบัติ ถ้าพวกเราผ่านไปทางนั้น ก็อาจจะหลีกเลี่ยงหูตาของกองทัพองครักษ์ลำบาก ถ้าไม่อยากถูกพบก็คงยาก”
“เจ้าคงไม่ได้จงใจหาข้ออ้างหรอกใช่มั้ย?” อวี้หลัวช่าระแวดระวัง
“แผนที่ซ่อนสมบัติที่ข้าให้เจ้าไว้ ตอนนี้คงจะอยู่บนตัวเจ้าใช่มั้ย เอามาให้ข้า” เหมียวอี้กล่าว
อวี้หลัวช่าทำสีหน้าระแวง แต่ก็ยังโยนลูกกลมโลหะออกมา
หลังจากเหมียวอี้รับมาแล้ว ก็กวักมือให้นางอีก แต่นางก็ไม่เข้าใจ “อะไร?”
เหมียวอี้ใช้ฝ่ามือข้างเดียวรองถือลูกกลมโลหะ “เอามือมา ข้าจะชี้แนะว่าเจ้าจะคลายปริศนาแผนที่นี้ได้ยังไง”
อวี้หลัวช่าขมวดคิ้วอีก นางไม่ชอบความรู้สึกเวลาโดนคนจูงจมูกเลย แต่ก็ไม่มีทางเลือก ยังคงเดินเข้าไป แล้วยื่นมือกดบนลูกกลมโลหะ มองเข้าไปภายในลูกกลมโลหะแล้ว พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งมารวมกับพลังอิทธิฤทธิ์ของนาง ดึงให้นางเดินไปตามพลังอิทธิฤทธิ์ของเขา
นางไม่ได้ปฏิเสธ พลังอิทธิฤทธิ์ของนางตามพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ไป แต่สายตากลับหยุดอยู่บนใบหน้าเหมียวอี้ มองออกว่าอีกฝ่ายใจเย็นและไม่สะทกสะท้าน
พอนำทางนางไปถึงมุมหนึ่ง ก็ชี้ไปที่จุดหนึ่งตรงนั้น หลังจากวนรอบดาวเคราะห์หลายดวง เหมียวอี้ก็บอกว่า “ตำแหน่งนี้อยู่บริเวณชายแดนน่านฟ้าเถาะติง ข้าบอกไปเจ้าอาจจะไม่เชื่อ เจ้าหาลองแผนที่ดาวธรรมดามาสักฉบับแล้วก็หาตำแหน่งนี้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” พูดจบก็พลิกฝ่ามือ ลูกกลมโลหะกลับไปอยู่ในฝ่ามือของอีกฝ่ายแล้ว เขาคลายมือออกแล้ว
“บริเวณชายแดนน่านฟ้าเถาะติงเหรอ? แผนที่ดาวธรรมดา?” อวี้หลัวช่าพึมพำด้วยความสงสัย แต่ก็ยังรีบทำตามที่บอก หยิบแผ่นหยกออกมาเทียบทีละแผ่นอย่างฉับไว
หลายปีมานี้นางศึกษาแผนที่ซ่อนสมบัติฉบับนี้มาไม่น้อย แต่จนใจที่มองเบาะแสอะไรไม่ออก บนตัวนางก็มีแผนที่ดาวของน่านฟ้าเถาะติงเช่นกัน กอปรกับเหมียวอี้ชี้แนะว่าอยู่บริเวณชายแดนของน่านฟ้าเถาะติง ทำให้ขอบเขตในการค้นหาหดแคบลงเยอะมาก
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่นางก็ยังเปรียบเทียบค้นหาอยู่เกือบครึ่งวัน จนกระทั่งฟ้ามืด นางถึงได้เจอจุดที่เหมียวอี้ระบุไว้ หลังจากเปรียบเทียบจนแน่ใจ สุดท้ายก็เข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร นางเงยหน้ามองเหมียวอี้ แล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ “สถานที่ที่เจ้าบอก ก็คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปที่ตำหนักสวรรค์ส่งกำลังพลไปค้นหาเหรอ?”
“ถูกต้องแล้ว” เหมียวอี้พยักหน้า
อวี้หลัวช่าใช้ฝ่ามือรองลูกกลมโลหะ “ข้าเคยศึกษาแผนที่ซ่อนสมบัตินี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ดาราจักรในนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่รู้จักเลย เจ้าวนรอบดาวเคราะห์แค่ไม่กี่ดวงก็บอกแล้วว่าอยู่ที่น่านฟ้าเถาะติง หรือว่าอยากจะให้ข้ารู้ว่ายากแล้วยอมถอยไปเอง? ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อนนะ อย่าเล่นตุกติกอะไรเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าทรมานจนมีชีวิตอยู่มิสู้ตาย”
เหมียวอี้ไม่หวาดกลัวเลยสักนิด ส่ายหน้าแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “เจ้าคิดผิดแล้ว บนแผนที่ไม่ใช่อาณาเขตดาวหรือดาราจักรอะไรหรอก แผนที่ดาวฉบับนี้น่ะ ถ้าเจ้ามองว่ามันเป็นแผนที่ดาวก็ถือว่าเข้าใจผิดมหันต์ มันไม่ใช่แผนที่ดาวธรรมดา แต่เป็นแผนที่เครื่องหมายบอกทางของดาราจักร แผนที่นี้รวมเครื่องหมายบอกทางทั้งหมดไว้เป็นก้อนเดียว เป็นปริศนามาก ไม่ว่าใครมองก็ต้องนึกว่าเป็นแผนที่ดาว ถ้าหาตำแหน่งจุดเริ่มต้นไม่เจอ ก็คลายปริศนาแผนที่นี้ไม่ได้เลย จุดที่ข้าเพิ่งระบุไปเมื่อครู่นี้ ก็คือจุดเริ่มต้น!”
“แผนที่เครื่องหมายบอกทาง…” อวี้หลัวช่าพึมพำ รีบร่ายอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดูในลูกกลมโลหะอีกครั้ง
เหมียวอี้เตือนปนเสียงหัวเราะอยู่ข้างๆ “อย่าสิ้นเปลืองพลังความคิดเลย ขนาดตำแหน่งจุดเริ่มต้นยังอยู่บริเวณชายแดนน่านฟ้าเถาะติง จุดที่เครื่องหมายบอกทางชี้ไปไม่ได้อยู่ในดาราจักรที่รู้จักเลย ดูแบบนี้ก็ไม่เข้าใจหรอก มีแค่ต้องไปหาสถานที่จริงเท่านั้นถึงจะเข้าใจ” เขาเคยเปรียบเทียบหาแผนที่ดาวประเภทนี้มาก่อน จึงมีประสบการณ์
อ่านไม่ออกจริงๆ อวี้หลัวช่าค้นหาในลูกกลมโลหะแต่ก็มองเบาะแสอะไรไม่ออก จึตกอยู่ในความเงียบ
บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว เหมียวอี้แหงนหน้ามอง เสียงคลื่นทะเลซัดกระทบหินดังเป็นระลอก ทิวทัศน์ยามราตรีงดงามมาก
“เจ้าบอกวิธีการหาให้ข้ารู้แล้ว ไม่กลัวโดนฆ่าปิดปากเหรอ?” อวี้หลัวช่าพลันเอ่ยถาม
เหมียวอี้ยังมองท้องฟ้า พร้อมตอบด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “ข้าจะไม่รู้จุดนี้ได้ยังไง เจ้าลืมสูตรหาสมบัติที่ข้าบอกไปแล้วเหรอ? อาศัยสิ่งที่เจ้าได้ไปตอนนี้ ยังไม่พอให้หาสมบัติเจอหรอก ที่สำคัญคือของยังอยู่ในมือเข้า ต่อให้เจ้าฆ่าข้าทิ้ง เจ้าก็ยังหาสมบัติไม่เจออยู่ดี ข้าไม่ใช่คนโง่นะ!”
อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม แล้วเริ่มขมวดคิ้วครุ่นคิดอีก เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจัดการยาก
“ที่จริงหลังจากข้าหาแผนที่ดาวเจอ ก็คิดไว้ตั้งแต่แรกว่าจะไปสืบ แต่จนใจที่ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ค้นหาบริเวณจุดเริ่มต้นตลอด ข้าไม่มั่นใจว่าจะเลี่ยงพ้น” เหมียวอี้เก็บสายตากลับมาจากท้องฟ้า เขาสบตาอวี้หลัวช่าพร้อมบอกว่า “แผนที่ฉบับนี้น่ะ ถ้าไม่เริ่มเทียบจากจุดเริ่มต้นก็หาไม่เจอเลย ไม่สู้พวกเรารอให้ทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ถอนกำลังไปก่อนแล้วค่อยไปหา ดีไหม?”
อวี้หลัวช่านึกว่าเขากำลังถ่วงเวลา จึงปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “ไม่ได้! คนรุ่นหลังอย่างเจ้าไม่รู้ว่าหรอกว่าพระปีศาจหนานโปน่ากลัวขนาดไหน ถ้าหาสถานที่ผนึกไม่เจอ ประมุขชิงไม่ถอนกำลังง่ายๆ แน่…” เสียงพูดหยุดชะงัก นางร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจในลูกกลมโลหะอีกครั้ง สายตาไปหยุดอยู่ที่เงาคนของวัดแห่งหนึ่ง แล้วพลันเงยหน้าถามว่า “แผนที่นี้คงไม่ใช่แผนที่ของสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปหรอกใช่มั้ย?”
…………………………