ยังเป็นนางที่พูดถูกจุดสำคัญ เหมียวอี้เองก็ต้องยอมรับ ว่าผู้หญิงคนนี้มองเบาะแสมากมายออกตั้งแต่แรกแล้ว ทุกครั้งที่นางตัดสินล้วนแม่นยำ เล็งโดนปัญหาของเหมียวอี้ทุกครั้ง แต่สาเหตุที่ทำให้เดินมาถึงครั้งนี้ ก็เพราะอวี้หลัวช่าเองไม่อาจหลุดพ้นจากความยั่วยวนของสมบัติลับสำนักหนานอู๋ ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้ก็ไม่มีทางล่อนางมาถึงที่นี่ได้เลย
เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ออกได้หรือไม่ได้แล้วยังไงล่ะ ที่นี่ออกจะดี ไม่มีบุญคุณความแค้น เหมาะให้เจ้าพักผ่อนยามชรา”
คำว่า ‘พักผ่อนยามชรา’ เหมือนจะยั่วอารมณ์นางอยู่บ้าง เพราะเป็นผู้หญิง ไม่มีใครไม่ชอบให้ตัวเองไปเกี่ยวข้องกับความแก่ชรา นางขยับตัวด้วยสีหน้าโกรธจัด ทำท่าจะลงมือ
เหมียวอี้ยกกระบี่วิเศษในมือขึ้นมาชี้ กดดันให้นางหยุดแล้ว
ขณะมองกระบี่วิเศษแหลมคมในมือเหมียวอี้ นางก็มองกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือตัวเองโดยจิตใต้สำนึก ตอนนี้เอาอะไรออกมาไม่ได้ทั้งนั้น นางจึงข่มความโกรธพร้อมเอ่ยถาม “เจ้าอยากจะโดนขังตายอยู่ที่นี่จริงเหรอ?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ถ้าจะให้บอกวิธีการกับเจ้า ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ก็มีเงื่อนไขนิดหน่อย”
“เงื่อนไขอะไร?” อวี้หลัวช่าถาม
เหมียวอี้ชี้คมกระบี่ไปที่ของจำพวกกำไลเก็บสมบัติและกระเป๋าสัตว์ “ถ้าเจ้ายอมมอบของทั้งหมดบนตัวเจ้าให้ข้า ข้าก็จะลองพิจารณาดู”
อวี้หลัวช่าสีหน้าเย็นเยียบ “ถ้าข้าไม่ให้เจ้าล่ะ?” ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย ของบนตัวคือหลักประกันสุดท้าย ถึงแม้ตอนอยู่ที่นี่นางจะไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์เรียกของออกมาได้ แต่อย่างน้อยถ้ายังมีของพวกนี้อยู่ ก็สามารถคิดหาวิหาวิธีการได้
ยิ่งไปกว่านั้นนางก็เข้าใจดี ว่าถ้าส่งของให้อีกฝ่ายจริงๆ เกรงว่าอีกฝ่ายก็ยิ่งไม่ให้นางรอดชีวิตออกไป
“เจ้าก็ต้องให้ผลประโยชน์ข้าสักหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นข้าจะบอกเจ้าทำไมล่ะ?” เหมียวอี้ถาม
“ถ้าให้ผลประโยชน์เจ้า เจ้าจะยอมบอกเหรอ?” อวี้หลัวช่าถาม
“แน่นอน!” เหมียวอี้ตอบ
“ข้าจะรู้ได้ไงว่าเจ้าพูดจริงหรือเปล่า?” อวี้หลัวช่าถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ลองเดิมพันกันดูสักตั้งก็ได้”
อวี้หลัวช่าเงียบไปครู่เดียว แล้วก็ยกมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างคว้ากำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งบนข้อมือเอาไว้ จากนั้นรูดออก แล้วโยนเข้ามาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ตอนนี้นางเก็บกำไลเก็บสมบัติไว้ก็ไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากจะแย่งกระบี่วิเศษผลึกแดงมาจากมือเหมียวอี้ได้ ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่มีทางนำของข้างในออกมาได้เลย รอให้จัดการเหมียวอี้ได้ก่อน เดี๋ยวก็ได้กำไลเก็บสมบัติกลับมาเอง ดังนั้นนางจึงให้โดยไม่ลังเล แต่กระเป๋าสัตว์กลับไม่ยอมให้ คนที่อยู่ระดับนาง เวลาจะทำอะไรสักอย่างก็เด็ดขาดที่สุด
เหมียวอี้รับของมาไว้ในมือ พลิกดูไปมา กำลังคิดว่าในนี้มีของล้ำค่ามากมายเท่าไรกันแน่ ของติดตัวพุทธะหน้าหยกผู้น่าเกรงขามคงจะมีมูลค่าไม่น้อย เขารู้สึกบันเทิงแล้ว ถือโอกาสสวมกำไลเก็บสมบัติไว้บนข้อมือตัวเอง แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “ข้าเป็นคนรักษาคำพูด ที่จริงวิธีการออกไปจากที่นี่ก็ไม่ซับซ้อนเลย เจ้าอยากรู้จริงเหรอ?”
“อย่าเปลืองคำพูด ผลประโยชน์ก็ได้ไปแล้ว บอกมา!” อวี้หลัวช่าสั่ง
เหมียวอี้ยิ้มตอบ “ที่จริงแล้วไม่มีสมบัติลับสำนักหนานอู๋อะไรนั่นเลย หรืออาจจะมีก็ได้ แต่ข้ากลับไม่เคยได้ยินเรื่องสมบัติลับสำนักหนานอู๋อะไรมาก่อน ตอนแรกที่เม่ยจีมาหาข้า นางมาถามข้าเรื่องนี้ ข้าเลยได้ยินมาบ้างนิดหน่อย เลยถือโอกาสเอาเรื่องสมบัติลับสำนักหนานอู๋มาทดสอบสักหน่อย ใครจะคิดว่าข้าจะทดสอบแม่นแล้ว”
อวี้หลัวช่าขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนแรกเม่ยจีไม่ได้รายงานนาง ว่าตัวเองเคยพูดอะไรกับเจ้าหนุ่มนี่หรือสร้างช่องโหว่อะไรไว้บ้าง นางยืนยันไม่ได้ เม่ยจีตายไปแล้ว ตัวเองไม่รู้จะพิสูจน์จากตรงไหน “เป็นไปไม่ได้ อายุของแผนที่ซ่อนสมบัติน่ะ ข้ามองปราดเดียวก็รู้แล้ว ไม่เหมือนของปลอมแน่นอน แล้วเรื่องที่เจ้าไปปัดกวาดซากสำนักหนานอู๋ที่ดาวพิษ เจ้าจะอธิบายยังไง?”
เหมียวอี้ตอบปนเสียงหัวเราะ “ข้าไปที่ซากสำนักหนานอู๋จริงๆ แผนที่นั่นข้าก็หามาจากซากสำนักหนานอู๋ แต่แผนที่นี้กลับไม่เกี่ยวอะไรกับสมบัติลับ เป็นของที่อสุราอัคนีซ่อนไว้ที่สำนักหนานอู๋ในปีนั้น ข้าก็แค่เอาออกมาก็เท่านั้นเอง”
อวี้หลัวช่าแววตาวูบไหว “ไม่ใช่แผนที่ซ่อนสมบัติ แล้วมันคืออะไรล่ะ?”
“เจ้าเดาออกแล้วไม่ใช่เหรอ?” เหมียวอี้ถาม
“ข้าเดาออกแล้วเหรอ?” อวี้หลัวช่าไม่เข้าใจ
เหมียวอี้หัวเราะร่าพักหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างชัดเจนว่า “สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป!”
“…” อวี้หลัวช่าเบิกตากว้าง สูดหายใจลึกด้วยความตกใจ ในดวงตาถึงขั้นฉายแววหวาดกลัว มองไปรอบๆ โดยจิตใต้สำนึก
สำหรับคนส่วนใหญ่ในใต้หล้า พระปีศาจหนานโปเป็นเพียงตำนานช่วงหนึ่งในอดีตเท่านั้น ต่ำหรับบุคคระดับสูงของตำหนักสวรรค์และแดนพุทธ พระปีศาจกลับเป็นความน่าสะพรึงกลัวที่สลักลึกลงกระดูกฝังลึกจงจิตใจอย่างแท้จริง ฝังใจจนทำให้พวกเจาตัวสั่นได้ พระปีศาจหนานโปคือตัวละครที่สามารถมองพวกเขาเป็นมดตัวเล็ก จะราชันสวรรค์หรือประมุขพุทธะก็ล้วนเป็นเรื่องน่าขำในสายตาพระปีศาจหนานโปทั้งนั้น แล้วจะนับประสาอะไรกับอวี้หลัวช่า ขนาดตอนสำนักหนานอู๋รุ่งเรืองยังถูกพระปีศาจหนานโปทำลายเลย แล้วนางอวี้หลัวช่าล่ะเป็นตัวอะไร?
ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าอวี้หลัวช่าจะหายจากอาการตกตะลึง “อย่ามาหลอกข้า เกี่ยวอะไรกับวิธีการออกไปจากที่นี่?”
เหมียวอี้บอกว่า “แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกัน กองทัพองครักษ์ส่งกำลังพลกลุ่มใหญ่มาค้นหาแล้วไม่ใช่เหรอ? ดูจากสถานการณ์แล้ว ไม่ช้าก็เร็วจะต้องค้นหาเจอที่นี่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเดือนไหนปีไหนก็เท่านั้นเอง ขอเพียงพวกเขามาเจอ เจ้าก็ย่อมมีโอกาสหนีออกไปจากที่นี่ได้”
ใบหน้าไร้เดียงสาของอวี้หลัวช่าเริ่มบูดบึ้ง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “เจ้าล้อข้าเล่น!”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ในเมื่อมาที่นี่แล้ว เจ้ายังคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้ารอดออกไปอีกเหรอ?”
ประโยคนี้ได้ทำลายความจอมปลอมชั้นสุดท้ายระหว่างทั้งสองคนโดยสิ้นเชิงแล้ว ทุกคนไม่ต้องแสดงละครต่ออีกแล้ว
อวี้หลัวช่ากวาดสายตาเย็นเยียบมองกระบี่วิเศษในมือเขา แล้วรีบชำเลืองซ้ายขวา จู่ๆ ก็ดึงกระโปรงยาวม้วนใต้หว่างขา หันตัววิ่งตะบึงพุ่งไปตรงหน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง กระโดดเหยียบต่อเนื่องกัน เหยียบลำต้นแล้วพุ่งขึ้นสูงสองจั้ง ยื่นมือดึงเถาวัลย์ที่เลื้อยอยู่บนต้นไม้ใหญ่แล้วกระโดดลงมาอีกครั้ง
เถาวัลย์เส้นหนึ่งถูกนางดึงลงมาแล้ว สุดท้ายก็ทนรับแรงตอนนางตกลงพื้นไม่ไหว เถาวัลย์ขาดแล้ว
การดึงเถาวัลย์เพื่อผ่อนแรงทำให้นางตกพื้นเบาลง ตามติดด้วยเสียงเถาวัลย์ดั้งเปรี๊ยะๆ อวี้หลัวช่าเคลื่อนไหวเถาวัลย์ในมือราวกับเป็นแส้เส้นหนึ่ง ข้างหลังยังลากมายาวมากด้วย แส้เถาวัลย์ที่ร่อนมาตรงหน้าประชิดเข้าไปหาเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว
กระบี่วิเศษในมือเหมียวอี้ฟันตัดสลับกัน มีเสียงฉึบฉับดังไม่หยุด เถาวัลย์ถูกฟันขาดปลิวว่อนอย่างต่อเนื่อง แม้ความเร็วจะเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้ แต่ความเร็วของอีกฝ่ายก็เทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้เช่นกัน แม้เหมียวอี้จะไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์สนับสนุน แต่พลังสายตาก็ยังไม่ธรรมดา พื้นฐานที่เกิดจากเหล่าไป๋บังคับให้ฝึกโหดบนเกาะในปีนั้นก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน
ขณะที่อวี้หลัวช่าโบกแส้เถาวัลย์รุกโจมตีไม่หยุด จู่ๆ นางก็งอเท้าไปข้างหลัง แล้วใช้ขายาวกวาดไปที่ผิวดิน เถาวัลย์ที่ลากอยู่ข้างหลังถูกนางใช้เท้าเลิกขึ้นมา นางเตะเถาวัลย์ม้วนออกไปหาเหมียวอี้ มือข้างบนไม่หยุดเคลื่อนไหว เท้าข้างหนึ่งเปลี่ยนเป็นงอขยับเถาวัลย์ได้คล่องแคล่วตามใจนึก เรียกได้ว่ารุกโจมตีทั้งข้างบนข้างล่างพร้อมกัน โจมตีจนเหมียวอี้ฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก
เหมียวอี้ทึ่งไม่หยุด นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะสามารถนำเถาวัลย์ธรรมดามาใช้ได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้
ชั่วขณะที่ไม่ทันระวัง สองเท้าของเหมียวอี้ตึงทันที ถูกอวี้หลัวช่าใช้เท้าหวดแส้เถาวัลย์มามัดสองเท้าไว้แล้ว
อวี้หลัวช่าใช้เท้าข้างเดียวเกี่ยวเถาวัลย์ไปเหยียบไว้ข้างหลังทันที ชั่วพริบตานั้นเหมียวอี้ใจไม่นิ่ง ทั้งยังต้องหลบการโจมตีจากข้างบนอีก จึงล้มลงพื้นเสียเลย
อวี้หลัวช่าหยุดเคลื่อนไหวสองมือ แล้วกลิ้งไปที่พื้น จากนั้นใช้สองมือคว้าเถาวัลย์บนพื้นขึ้นมาอีก ลากวิ่งไปเสียเลย
ซวบ! เหมียวอี้ที่ถูกมัดเท้าสองข้างโดนลากไปตลอดทาง ใช้กระบี่ยาวปักพื้นแต่ก็ต้านไม่ไหว การที่กระบี่วิเศษคมเกินไปก็มีข้อเสียเหมือนกัน ผิวดินถูกขูดจนเป็นรอย
ตอนที่เหมียวอี้กำลังจะชักกระบี่ฟันเถาวัลย์ที่มัดขา อวี้หลัวช่าก็หมุนตัวพร้อมควงแขน สะบัดทั้งตัวเหมียวอี้ขึ้นมา สะบัดร่างเหมียวอี้ไปกระแทกต้นไม้ใหญ่เหมือนเป็นตัวอะไรสักอย่าง
เหมียวอี้ง้างตัวขึ้นขณะลอยอยู่กลางอากาศ ฟันเถาวัลย์ที่มัดสองขาจนขาดภายในกระบี่เดียว แผ่นหลังของร่างที่ง้างขึ้นแฉลบผ่านลำต้นไป เขารีบโบกแขนโอบลำต้นเอาไว้ แรงเฉื่อยทำให้ทั้งตัวโอบหมุนรอบต้นไม้รอบหนึ่ง แต่กลับพบว่ากระบี่ในมือตึงแน่น เพราะถูกอวี้หลัวช่าสะบัดแส้เถาวัลย์มามัดมือไว้แล้ว
เหมียวอี้กอดลำต้นไว้แน่น สองขาหนีบลำต้นเอาไว้แน่น อวี้หลัวช่าใช้สองแขนดึงเถาวัลย์ ทำให้เถาวัลย์ที่อยู่ระหว่างทั้งสองคนตรึงเป็นเส้นตรง
ทั้งสองต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน คนหนึ่งอยู่ล่างคนหนึ่งอยู่บน ประลองพละกำลังกันอยู่อย่างนั้น
“นึกไม่ถึงเลยจริง ขนาดสาวสวยไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์สนับสนุน แต่ร่างกายยังปราดเปรียวได้ขนาดนี้เชียว” เหมียวอี้ที่เกาะต้นไม้ยังมีอารมณ์มาล้อเล่น
ที่จริงอวี้หลัวช่าไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์ที่น่ากลัวนั่นสนับสนุนแล้ว เหมียวอี้ไม่กลัวนางเลยจริงๆ
อวี้หลัวช่าที่ดึงเถาวัลย์ไว้แน่นแสยะหัวเราะ “ถ้าแม้แต่ความปราดเปรียวนี้ยังไม่มี เจ้าคิดว่าข้าฝึกระบำมารสวรรค์มาให้สูญเปล่าเหรอ? การตอบสนองที่ว่องไวของหน้าภาคหนิวต่างหากที่ทำให้พุทธะผู้นี้รู้สึกผิดคาด”
เหมียวอี้ตอบกลั้วเสียงหัวเราะ “ที่แท้ระบำมารสวรรค์ก็มีประโยชน์อย่างนี้นี่เอง ข้าก็นึกว่าระบำมารสวรรค์เอาไว้ล่อผู้ชายมานอนด้วยเฉยๆ เสียอีก เออใช่ อวี้หลัวช่า ทั้งชีวิตนี้เจ้านอนกับผู้ชายมาแล้วกี่คนกันแน่ หนึ่งพัน? หนึ่งหมื่น? หรือว่าหนึ่งแสน? บอกจำนวนให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อยเถอะ”
อวี้หลัวช่าตอบว่า “ทำไมล่ะ? เจ้าอยากจะมาเป็นขุนนางใต้กระโปรงพุทธะผู้นี้เหมือนกันเหรอ? ขอแค่เจ้าเชื่อฟังแต่โดยดี ข้ารับรองว่าจะทำให้เจ้าไม่เสียชาติเกิดแน่”
“สกปรกเกินไป ไม่ต่างอะไรกับกระโถน ไม่สนใจเลยจริงๆ” เหมียวอี้หัวเราะลั่น
“ปากดีไปเถอะ อีกประเดี๋ยวคอยดูว่าเจ้าจะร้องไห้ยังไง!” อวี้หลัวช่ากล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
“แต่กระบี่วิเศษในมือเหมียวคมกว่านะ!” เหมียวอี้พลันตะโกน ใช้สองเท้าถีบบนลำต้นกระโจนขึ้นฟ้าโดยตรง จากนั้นใช้กระบี่ฟันเถาวัลย์บนข้อมือจนขาด
เงาแส้ในมืออวี้หลัวช่าสะบัดอย่างว่องไว รีบโจมตีไปทางเหมียวอี้ที่โผเข้ามา
“ขาด!” เหมียวอี้ที่ทะยานขึ้นมาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด สองมือถือกระบี่ฟันรัวๆ ฟันเส้นเถาวัลย์จนปลิวว่อน ใช้วิธีการโจมตีแบบออกแรงคนเดียวเอาชนะสิบคน
แสงสะท้อนคมกระบี่วับวาบเข้ามา อวี้หลัวช่ารีบถอยหลัง เหมียวอี้ที่ตกพื้นกลิ้งใช้กระบี่ฟันไปที่ขาสองข้างของนาง แต่นางพลิกตัวหลบไปข้างหลัง ร่างกายยืดหยุ่นปราดเปรียวเหลือเชื่อ เขาลุกขึ้นมาและไม่ให้โอกาสนางพักหายใจ ถือกระบี่ไล่ตามสังหารไปตลอดทาง
อวี้หลัวช่าพุ่งมาตรงหน้าต้นไม้ใหญ่แล้วย่ำเท้าถีบต่อเนื่องกัน นางไต่ขึ้นไปตามต้นไม้อย่างรวดเร็ว แล้วใช้มือดึงกิ่งไม้เอาไว้ สองขาที่ทะยานขึ้นฟ้ากางออกเป็นเส้นตรง หลบกระบี่ที่เหมียวอี้กระโดดฟันขึ้นมา นางงอท้องขึ้นด้วยร่างกายที่ยืดหยุ่นมาก สองเท้ายืนเหยียบอยู่บนกิ่งไม้ คว้ากิ่งไม้ข้างบนแล้วกระโดดขึ้นไปอีกครั้ง
เหมียวอี้ที่กระโดดตกลงพื้นควงกระบี่ฟันต้นไม้ใหญ่ แสงสะท้อนคมกระบี่วับวาบ ต้นไม้ใหญ่โค่นล้ม ทำให้อวี้หลัวช่าที่อยู่บนต้นไม้ล้มลงไปด้านข้าง และชั่วพริบตาที่ล้มลง อวี้หลัวช่าก็กระโจนตัวขึ้นมาอีกครั้ง แสดงเรือนร่างอันงดงามกลางอากาศ ยื่นแขนไปคว้ากิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างกัน นางเหมือนลิงตัวหนึ่ง ขยับหนีไปบนต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่งแล้ว