คนที่น้อยเนื้อต่ำใจก็มีแต่ตัวเอง ไม่มีใครมาร่วมเห็นอกเห็นใจ
อย่างน้อยศีลแปดกับเหมียวอี้ก็ไม่มีทางเห็นอกเห็นใจอวี้หลัวช่าได้ เพราะศีลแปดมีเจตนาไม่ซื่อต่อนาง ส่วนเหมียวอี้ก็อยากกำจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลังอย่างนางโดยเร็ว
ไม่ว่าทั้งสองจะมีจุดประสงค์อะไร หรือเตรียมจะใช้วิธีการอะไร สรุปก็คือผู้ชายสองคนนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะรังแกผู้หญิงคนนี้ มีแต่ต้องฉวยโอกาสตอนผู้หญิงคนนี้กลายเป็นมนุษย์ธรรมดา ฉวยโอกาสตอนที่นางอ่อนแอที่สุดรังแกนางสักหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะเป็นฝ่ายรังแกใครกันแน่
ส่วนอวี้หลัวช่าก็เปลี่ยนจากแข็งกร้าวที่สุดกลายเป็นดิ้นรนจากความตาย นางผ่อนคลายร่างกายจิตใจอย่างเต็มที่ พอถึงตอนนี้ก็เข้าใจผิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายถูกคนอื่นฆ่าแกงเท่านั้น สภาพจิตใจมีการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก เท่ากับว่าถูกลอกเปลือกออกที่ละชั้นจนถึงหัวใจ นางมีความหวังต่อท่าทีอันบริสุทธิ์อ่อนโยนของศีลแปดมาก ผลปรากฏว่าพอโดนศีลแปดตบไปหนึ่งฉาด ก็ทำให้นางเจ็บแล้วจริงๆ เจ็บปวดรวดร้าวใจ!
นางไม่เคยร้องไห้มาตั้งกี่ปีแล้ว จู่ๆ คืนนี้นางก็รู้สึกเหมือนได้กลับไปถึงช่วงเวลาในปีนั้น ช่วงเวลาที่ตัวเองไร้ที่พึ่งพา หลังจากร้องไห้เสร็จก็ปาดน้ำตาแล้วเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานทุกสิ่งอย่าง จนสุดท้ายถึงได้ขึ้นสู่ตำแหน่งพุทธะหน้าหยก
ตอนที่นั่งอยู่ลำพังที่นี่ นางยังนึกว่าตัวเองจะได้กลับไปเผชิญกับเหตุการณ์ในปีนั้นซ้ำอีกรอบ แต่ใครจะคิดว่าจะมีมืออันอบอุ่นยื่นเข้ามา เป็นมือที่ยื่นเสื้อผ้าสะอาดและอาหารให้นาง ทั้งยังพูดจาเหมือนดุร้ายแต่ที่จริงแล้วเป็นห่วงนาง
จุดอ่อนในใจนางถูกโจมตีในรวดเร็ว นางไม่อยากร้องไห้เหมือนผู้หญิงอ่อนแอ แต่นางไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับได้ น้ำตายังไหลอย่างควบคุมไม่อยู่ ตอนนี้นางรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าตัวเองไม่ใช่พุทธะหน้าหยกอะไรหรอก เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ในอดีตจะเคยยืนอยู่สูงขนาดไหนก็ตาม
“พี่ใหญ่ รสชาติเป็นยังไงบ้าง?” ศีลแปดที่นั่งกินดื่มอยู่ข้างกองไฟเอ่ยถามปนเสียงหัวเราะ
เหมียวอี้ที่กินอย่างตะกละตะกลามกรอกสุราเข้าปากคำหนึ่ง จากนั้นถอนหายใจยาวแล้วบอกว่า “ระหว่างทางขอแค่มีกินก็พอ เหมือนไม่ได้กินของอร่อยแบบนี้มานานแล้ว”
ศีลแปดเหม่อไปชั่วครู่ จากนั้นก็กล่าวตำหนิตัวเอง “พี่ใหญ่ ข้าขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของข้า”
เหมียวอี้เอียงหน้ามองเขา แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “อย่างที่เจ้าบอก คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาเหมือนเป็นคนนอก เออใช่ สถานที่ลับตาคนแบบนี้เจ้าหาเจอได้ยังไง?”
ศีลแปดยิ้มเจื่อน “สถานที่ผีๆ แบบนี้น่ะเหรอ ก็บังเอิญเจอเทพพยากรณ์ที่สามารถทำนายอนาคตได้ไง เขาบอกทางมา ถ้าเขาไม่บอกแล้วใครจะรู้จักที่นี่ได้ล่ะ? มาก็มาแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอตัวประหลาดนั่น นี่เทพพยากรณ์ไม่ได้วางกับดักกันหรอกเหรอ วางกับดักข้าก็ว่าแย่แล้ว เขากับตาแก่โล้นเป็นสหายกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะวางกับดักตาแก่โล้นด้วย เสียแรงที่ข้าเชื่อใจเขา”
เป็นเขาจริงๆ ด้วย! เหมียวอี้ขมวดคิ้วทันที เขาไม่ได้มีความแค้นกับคนนี้ เพราะเขาเลือกเส้นทางเอง ไม่เคยนึกเสียใจทีหลัง แต่การเอาศีลแปดมาเสี่ยงอันตรายอย่างนี้ทำให้เขาไม่พอใจแล้วจริงๆ
เขายืนยันไม่ได้ว่าการที่ศีลแปดกับอาจารย์มาที่นี่เพราะมีเทพพยากรณ์ยุยงหรือไม่ ดังนั้นถ้ามีโอกาสพบกัน เขาจะต้องถามให้กระจ่าง!
“พี่ใหญ่ เจ้าสามอยู่กับนายแก่นแก้วไร้ไมตรีนั่นเป็นยังไงบ้างแล้ว?” ศีลแปดถาม
พอพูดถึงเยว่เหยา เหมียวอี้ก็อึ้งไปชั่วขณะ เขาย่อมรู้ว่ายายแก่นแก้วไร้ไมตรีที่ศีลแปดพูดถึงคือมู่ฝานจวิน เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ข้าแต่งงานรับเจ้าสามเป็นอนุภรรยาแล้ว”
“อุบ…” ศีลแปดสุราพุ่งจากปาก พอเช็ดน้ำสุราที่คางแล้ว ก็มองเหมียวอี้อย่างเหม่อลอยโง่งง หจากนั้นกลืนน้ำลายแล้วถามหยั่งเชิง “เมื่อครู่ท่านพูดว่าอะไรนะ ข้าได้ยินไม่ชัด ท่านพูดอีกรอบได้มั้ย?”
เหมียวอี้พยายามทำท่าทางสบายๆ แล้วพูดย้ำว่า “ข้าแต่งงานกับเจ้าสามแล้ว”
พอพูดจบแล้วเห็นอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองพักใหญ่ รอจนเขาค่อยๆ หันไปมอง ก็พบว่าศีลแปดกำลังมองตัวเองด้วยท่าทางแปลกๆ ในใจรู้สึกอับอายมาก แต่ภายนอกยังทำสุขุม “ทำไม ข้าแต่งไม่ได้เหรอ?”
“ได้!” ศีลแปดตอบลากเสียงยาว แต่จากนั้นก็หัวเราะเสียงแปลกๆ “พี่ใหญ่ ท่านนี่ใช้ได้เลยนะ! ข้ามองไม่ออกเลยจริงๆ วางมาดสง่าเคร่งขรึมเชียว!”
เหมียวอี้จึงบอกว่า “อย่ามาพูดจาคลุมเครือ เจ้าซ่อนอยู่ที่นี่จะไปรู้อะไร? ที่ข้าแต่งงานกับเจ้าสามก็เพราะจนใจเหมือนกัน เจ้าสามเกือบถูกคนอื่นทำร้ายแล้ว ตอนนั้นอารมณ์นางไม่ปกติ ข้าเลยขอร้องให้พี่สะใภ้เจ้ารับนางเข้าบ้าน”
พอได้ยินว่าเกือบเกิดเรื่องกับเจ้าสาม ศีลแปดก็เริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึมแล้ว “มันเรื่องอะไรกัน? อาศัยภูมิหลังอย่างเจ้าสาม ทั้งยังมีพี่ใหญ่คุ้มครอง ที่พิภพเล็กมีใครกล้าคิดไม่ซื่อกับเจ้าสามด้วยเหรอ?”
“ตอนนี้รู้จักถามแล้วเหรอ? ตอนที่หลบซ่อนตัว ไม่ว่าใครติดต่อไปก็ไม่ตอบ เจ้ามัวไปทำอะไรอยู่ล่ะ? ไม่ใช่ที่พิภพเล็ก เจ้าสามก็มาที่พิภพใหญ่เหมือนกัน…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับห้าปราชญ์ไปแดนอเวจีก็ละไว้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจศีลแปด แต่เพราะเขาไม่เชื่อในสันดานของศีลแปด เรื่องบางเรื่องเขาไม่อยากให้ศีลแปดเข้ามาพัวพัน
พอได้ยินว่าเยว่เหยาเกือบตกอยู่ในมือโจรราคะเจียงอีอีที่พิภพใหญ่ ใบหน้าศีลแปดก็เต็มไปด้วยความดุร้าย ทำสีหน้าเหมือนจะกินคน กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเนื้อในฝ่ามือ พอได้ยินว่าเจียงอีอีถูกอวิ๋นจือชิววางแผนกำจัดทิ้งแล้ว สีหน้าถึงได้อ่อนลง แบมือสองข้าง ถอนหายใจยาวแล้วบอกว่า “สมกับเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ อาตมาเอาใจช่วยนาง พี่ใหญ่เลือกคนไม่ผิด แบบนี้สิถึงจะเหมือนครอบครัวเดียวกัน ถ้ามีพี่สะใภ้อยู่ ต่อไปเจ้าสามก็ไม่ต้องรับความอยุติธรรมอะไรแล้ว เจ้าสามแต่งงานกับพี่ใหญ่ก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน ต่อให้ท่านด่านางตีนางก็เพราะหวังดีกับนาง อย่างน้อยก็ไม่รังแกนาง ถ้าเจ้าสามแต่งงานกับคนอื่นข้าก็ไม่วางใจจริงๆ ผู้ชายหาดีไม่ได้สักคน นี่ก็เป็นเหตุผลที่อาตมาโน้มน้าวให้ท่านแต่งงานกับนางมาตลอด พี่ใหญ่ แล้วตอนนี้ท่านเป็นยังไงบ้าง?”
พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง เหมียวอี้ก็เล่าคร่าวๆ เท่านั้น แต่ศีลแปดได้ยินแล้วอกสั่นขวัญแขวนพอสมควร
หลังจากฟังจบ ศีลแปดก็ถอนหายใจเบาๆ “นึกไม่ถึงว่าหลายปีมานี้จะเกิดเรื่องเยอะขนาดนี้ น่าเสียดายที่วรยุทธ์อย่างช้าช่วยอะไรท่านไม่ได้”
พอพูดถึงวรยุทธ์ เหมียวอี้ก็ย่อมอดไม่ได้ที่จะถาม “ตอนนี้เจ้าวรยุทธ์เท่าไรแล้ว?”
ศีลแปดถอนหายใจ ก่อนจะตอบว่า “ก็พอได้ ไม่กี่ปีก่อนบรรลุระดับบงกชทองขั้นหนึ่งแล้ว”
“เพิ่งบงกชทองขั้นหนึ่งเองเหรอ? แล้วเจ้ายังมีอารมณ์มานอนหลับอีกหรือไง? โดนขังอยู่ที่นี่ไม่มีทรัพยากรฝึกตนเหรอ?” เหมียวอี้ถามเสียงเข้ม
ศีลแปดหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ท่านไม่เข้าใจเคล็ดวิชาฝึกตนของข้าหรอก ตอนแรกมีทรัพยากรฝึกตนจริงๆ แต่ตอนหลังก็ยิ่งไม่มีประโยชน์ พอวรยุทธ์ก้าวหน้าแล้วก็เพิ่มขึ้นทีละนิดตามจังหวะตายตัวอย่างกับหอยทาก กินยาแก่นเซียนไปกองใหญ่ก็เหมือนปลอม ให้ทรัพยากรฝึกตนข้ามากกว่านี้ก็สิ้นเปลืองอยู่ดี หลายปีมานี้การฝึกของข้าก็นับว่าเร็วแบบก้าวกระโดดแล้ว เร็วกว่าตาแก่โล้นตั้งเยอะ หลายปีมานี้ตาแก่โล้นไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลย หลังจากวรยุทธ์ข้าเพิ่มเร็วแบบก้าวกระโดด ก็เหมือนจะมาติดแหง็กอยู่ตรงนี้ ส่วนใหญ่ไม่มีความก้าวหน้าเลย”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ได้วิเคราะห์สาเหตุสักหน่อยเหรอ? ไม่ได้วิเคราะห์เหรอว่าก่อนหน้านี้ตอนวรยุทธ์เจ้าขึ้นเร็วเพราะสาเหตุอะไร? ต้องหาปัญหาให้เจอก่อนสิ ถึงจะแก้ไขสะดวก”
ศีลแปดพยักหน้า “เคยวิเคราะห์แล้ว แต่วิเคราะห์ได้ซะที่ไหนล่ะ จะว่าไปก็แปลก ตอนที่วรยุทธ์ข้าขึ้นพรวดพราด ข้าไม่ได้ฝึกตนอะไรเลย วรยุทธ์มันขึ้นของมันเอง จนกระทั่งไล่ตามตาแก่โล้นทัน”
“ไม่ได้ฝึกแต่วรยุทธ์ขึ้นพรวดพราด จะเป็นไปได้ยังไง เจ้าทำอะไรลงไป?” เหมียวอี้ประหลาดใจ
ศีลแปดตอบว่า “จะทำอะไรได้ล่ะ? มัวเสียเวลากับปีศาจเฒ่าในวัดนั่นน่ะสิ ไม่มีเวลาฝึกตนด้วย ใช้กำลังวังชาทั้งหมดไปกับการควบคุมปีศาจเฒ่านั่น ผลปรากฏว่าวรยุทธ์เพิ่มขึ้นเอง เร็วจนเหลือเชื่อ”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นเจ้าก็ไปควบคุมปีศาจเฒ่านั่นต่อสิ!” เหมียวอี้ตกตะลึง
ศีลแปดกัดขากระต่ายเคี้ยวกิน แล้วโบกขากระต่ายไปมา “ท่านคิดว่าข้าไม่อยากทำเหรอ แต่ไม่มีประโยชน์หรอก ตั้งแต่สามารถควบคุมปีศาจเฒ่านั่นได้อย่างสบายๆ วรยุทธ์ข้าก็ไม่ก้าวหน้าแล้ว เหมือนเจอผีเลย ท่านไม่เห็นเหรอว่าข้าว่างขนาดไหน ตอนนี้เวลาจะควบคุมปีศาจเฒ่าก็ไม่ต้องให้ข้าลงมือแล้ว มีตาแก่โล้นคนเดียวก็พอแล้ว แถมยังมีปาไห่ช่วยอีกคน ท่านคิดดูสิ ตอนนี้ข้าฝึกก็ก้าวหน้าเท่านี้ ไม่ฝึกก็ก้าวหน้าเท่านี้ แล้วข้าจะยังฝึกให้เหมือนนกโง่ทำไม แบบนั้นแปลว่าสมองมีปัญหาแล้วล่ะ”
เหมียวอี้ลังเลอยู่พักหนึ่ง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร เขาถามว่า “จะลองเปลี่ยนวิชาฝึกดูมั้ย? ข้ามีหฤทัยสูตรสุขาวดีภาคดินของปราชญ์พุทธะอยู่”
ศีลแปดส่ายหน้า “ไม่มีประโยชน์หรอก หลายปีมานี้ข้าเคยลองสร้างเคล็ดวิชาฝึกตนเองมาแล้ว ถ้าเปลี่ยนเคล็ดวิชาฝึกก็เหมือนโยนทรายเม็ดเดียวลงทะเล ฝึกไปฝึกมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย มิใช่มารมิใช่เคราะห์ ไม่ยึดติดไม่เพ้อฝัน อาตมาก็ยังเป็นอาตมา ข้าน่ะ สุดท้ายก็นับว่าเข้าใจแล้ว…” เขาพูดกลางส่ายหน้า
“เข้าใจอะไร?” เหมียวอี้ถาม
ศีลแปดประนมมือ “เมื่อเข้าประตูศีลมาแล้วก็ล้ำลึกดุจทะเล มีชะตาเป็นพระโดยกำเนิด อามิตตาพุทธ!”
เหมียวอี้เงียบแล้ว ดื่มสุราเงียบๆ ศีลแปดมีปัญหาประหลาดเรื่องเคล็ดวิชาฝึกตน เขาก็มีปัญหาประหลาดเรื่องเคล็ดวิชาฝึกตนเช่นกัน สองพี่น้องเป็นอะไรไปแล้ว?
พอคิดไปคิดมา จู่ๆ ก็เหมือนมีแสงสว่างวาบในหัว เคล็ดวิชาอัคนีดาราของเขา เมื่อฝึกถึงระดับหนึ่งแล้ว หากไม่มีพลังลึกลับคอยช่วย ที่จริงก็อาจฝึกได้ไม่ก้าวหน้าเร็วเท่าคนอื่นก็ได้ ตอนที่ศีลแปดวรยุทธ์เพิ่มขึ้นพรวดพราด ก็ไม่ใข่เพราะมีเหตุปัจจัยที่สามารถควบคุมพระปีศาจหนานโปได้หรอกเหรอ? เขาครุ่นคิดพลางกล่าวอย่างลังเล “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องรีบ ข้าว่าเจ้าก็ยังหาสาเหตุที่กระตุ้นให้วรยุทธ์เพิ่มเร็วไม่ได้เหมือนกัน ถ้าหาเจอแล้ว ข้าว่าวรยุทธ์เจ้าคงสูงขึ้ยพรวดพราดอีกครั้ง”
ศีลแปดหัวเราะแห้งๆ “รีบอะไรกันล่ะ? อาตมารีบเสียที่ไหน อาตมาไม่รีบเลยสักนิด ไม่ง่ายเลยกว่าจะก้าวเข้าแดนฝึกตนได้ ควรใช้เวลาในโลกนี้ให้ดีสิ ควรจะตั้งใจดื่มด่ำให้ดีสิถึงจะถูก ถ้าเอาเวลาไปใช้กับการฝึกตน นั่นต่างหากที่บ้า”
เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด “ข้าจะคอยดูว่าเวลาเจ้าเจอปัญหาแล้วไร้ที่พึ่ง เจ้าจะยังคิดแบบนี้อยู่หรือเปล่า”
“ถ้าเจอปัญหาอะไรแล้วไม่รู้จักแม้กระทั่งแยกแยะหลบหลีก ข้ายังจะ…” ศีลแปดที่พูดส่งเดชหยุดชะงัก เห็นเหมียวอี้วางมาดพี่ใหญ่สั่งสอนน้องอีกแล้ว เขาปวดหัวแล้ว รีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา ไอแห้งๆ แล้วถามว่า “พี่ใหญ่ ท่านว่าตอนข้าเจอเจ้าสามครั้งหน้า ข้าจะเรีบกนางว่าพี่สะใภ้หรือเรียกว่าน้องสามดี?”
เหมียวอี้หน้าดำทันที ยกเท้าเตะออกไปเสียเลย
ศีลแปดร้อง “โอ๊ย” ถูกเตะกลิ้งออกไปแล้ว…
ในคืนนี้ สองพี่น้องที่ไม่ได้พบกันนานพูดคุยกันเยอะมากภายใต้ท้องฟ้าที่สว่างไปด้วยดวงดาว
จนกระทั่งฟ้าสว่างวันต่อมา หลังจากเหมียวอี้ยืนขึ้นแล้วมองไปทางหุบผาชัน ศีลแปดถึงได้ปัดก้นลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปในศาลา แล้วเรียกอวี้หลัวช่าที่หลับตานอนตะแคง “ไม่ต้องแกล้งหลับแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นแล้ว”
อวี้หลัวช่าลืมตามอง แล้วก็หลีบตาอีก ทำเสียงฮึดฮัดแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าไต้ซือมีอะไรจะกำชับ?”
“ได้ยินว่าเจ้าอยากไปเห็นสมบัติลับสำนักหนานอู๋เหรอ?” ศีลแปดถามกลั้วหัวเราะ
อวี้หลัวช่าพลันลืมตา จิตใจทะเยอทะยานลุกโชนอีกครั้ง
ศีลแปดกวักมือ “ไปเถอะ ไม่ให้เจ้ามาเสียเที่ยวหรอก จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป
อวี้หลัวช่าพลิกตัวลุกขึ้นยืน ขณะกำลังจะตามหลังเขาไป ก็นึกอะไรขึ้นได้ นางวิ่งไปที่ริมทะเลสาบก่อน แล้ววักน้ำล้างหน้า ส่องเงาตัวเองในน้ำพลางเอามือรูดผม เสร็จแล้วถึงได้รีบสาวเท้าเดินตามไป
…………………………