ท่ามกลางเสียงระฆังที่ดังอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อย เสียงกรีดร้องโหยหวนที่ทำให้คนขนลุกก็เริ่มเงียบลง สุดท้ายก็ไม่เห็นแสงไฟในรอยแยกนั้นแล้ว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ล้มลงพื้นกลายเป็นรูปปั้นสีเทาโดยสิ้นเชิง เพียงแต่สภาพขดตัวดิ้นรนอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมานสมจริงมาก
เมื่อจัดการจนวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปแห้งเหี่ยวไปแล้ว ศีลแปดถึงได้หยุดมือ แล้วแบกค้อนใหญ่เดินไปอีกฝั่งของวัด ซ่อนอาวุธเอาไว้ เพราะไต้ซือศีลเจ็ดต่อต้านการใช้กำลัง
ฉากนี้ทำให้เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าตกตะลึงอ้าปากค้าง สายตามองตามเงาหลังที่สง่าผ่าเผยของศีลแปด
เหมียวอี้ยังดีหน่อย ถึงอย่างไรก็แค่เคยได้ยิน ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์ในยุคที่พระปีศาจหนานโปยังอยู่
แต่อวี้หลัวช่านั้นต่างกัน นางรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่าพระปีศาจหนานโปเป็นอย่างไรในปีนั้น แต่ตอนนี้กลับถูกศีลแปดด่าแบบนี้แล้ว โดนจัดการแบบนี้แล้ว นางได้เห็นความเผด็จการแข็งกร้าวอย่างที่บรรยายได้ยากจากตัวศีลแปดแล้ว!
“ไม่เป็นอะไรแล้ว รับรองว่าภายในสามวันนี้เขาไม่มีทางก่อกวนได้” ศีลแปดที่กลับมาแล้วหัวเราะร่าพลางกล่าวปลอบใจทั้งสอง
เหมียวอี้ที่เงียบไปครู่เดียวเดินเข้าไปใกล้ประตูใหญ่ของวัด ยืนตรงประตูแล้วมองเข้าไปในวัด แต่เห็นไม่ค่อยชัดเจน จึงขึ้นบันไดไปดู แล้วก็อยากจะยื่นมือไปสัมผัสสักหน่อยว่าประตูที่ดูเหมือนไม่มีผนึกอะไรนั้นควบคุมวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปไม่ให้หนีออกมาข้างนอกได้อย่างไร แต่ใครจะคิดว่าศีลแปดรีบตะโกนบอก “พี่ใหญ่ หยุดนะ!”
เหมียวอี้ที่กำลังจะยื่นมือหันกลับมา ถามว่า “ทำไมเหรอ?”
ศีลแปดทำสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ตกใจจนหน้าซีดแล้ว เขารีบสาวเท้าเดินเข้ามา สิ่งแรกที่ทำก็คือดึงมือของเหมียวอี้ที่กำลังจะยื่นออกไป ดึงเหมียวอี้ลงจากบันได แล้วเอามือตบหน้าอกอย่างขวัญเสีย “ท่านไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ? อานุภาพของค่ายกลใหญ่คุมขังนี้ไม่ธรรมดานะ ไม่ใช่แค่ผนึกไม่ให้ปีศาจเฒ่าออกจากประตูอาคมได้ แต่ถ้ากายหยาบไปสัมผัสโดนก็จะสะเทือนจนกลายเป็นฝุ่นผงทันที ไปแตะซี้ซั้วไม่ได้!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็ตกใจเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะเดินไปที่ประตูผีแล้ว
ตอนนี้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปถูกควบคุม ยังก่อกวนลำบาก ไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตก็ทยอยกันยืนขึ้นเช่นกัน
“โยมเหมียว ประตูใหญ่ของวัดไม่อาจก้าวข้ามซี้ซั้วได้” ไต้ซือศีลเจ็ดยืนยันอีกครั้ง
เหมียว? อวี้หลัวช่าทำสายตาสงสัย
เหมียวอี้ประนมมือ “ข้าบุ่มบ่ามไปเอง” ขณะที่พูดก็เหล่ตามองอวี้หลัวช่า คิดในใจว่า ถ้ารู้แต่แรกคงให้ผู้หญิงคนนี้ไปสัมผัสสักหน่อยแล้ว
อวี้หลัวช่าสัมผัสบางอย่างได้จากสายตาของเขา นางมองไปรอบๆ แล้วถอยกลับไปทางบันไดอย่างช้าๆ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะได้หนีสะดวก ไม่อย่างนั้นถ้ากระโดดจากกลางไหล่เขาลงไปก็จะไม่มีเวลาให้นางถอดเสื้อผ้าบินแล้ว
“โยมผู้นี้เป็นใคร?” ไต้ซือศีลเจ็ดหันกลับไปมองศีลแปด แล้วถามอย่างสงสัย “เมื่อครู่นี้เจ้าเรียกนางว่าพุทธะหน้าหยกเหรอ?”
ศีลแปดตอบปนเสียงหัวเราะ “นางแซ่อวี้ ฉายานามพุทธะหน้าหยก ไม่ใช่คนเดียวกับพุทธะหน้าหยกของแดนสุขาวดีหรอก มีอย่างที่ไหนให้เด็กสาวคนหนึ่งมาเป็นพุทธะหน้าหยก”
เหมียวอี้มองเขาแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขากำลังเล่นลูกไม้อะไร แม้แต่อวี้หลัวช่าเองก็ยังพึมพำในใจ ไม่รู้ว่าศีลแปดปิดบังฐานะของนางเพราะมีเจตนาอะไร
ศีลเจ็ดไม่สงสัยว่าจะมีการเล่นตุกติก เป็นเพราะอวี้หลัวช่าดูอ่อนเยาว์เกินไปจริงๆ จึงถามเหมียวอี้ว่า “เป็นสหายของโยมเหรอ?”
เหมียวอี้เหลือบมองศีลแปด แล้วส่ายหน้าตอบ “ไม่ใช่ เป็นศัตรู”
“ศัตรู…” ไต้ซือศีลเจ็ดถอนหายใจ เขาเพิ่งจะหันตัวไปมองอวี้หลัวช่า ศีลแปดก็มองออกทันทีว่าเขากำลังเทศนาธรรมชุดใหญ่อะไรสักอย่าง จึงรีบก้าวขึ้นไปห้าม หัวเราะเบาๆ พร้อมกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่รบกวนให้ท่านอาจารย์ลงมือหรอก ศิษย์แก้ไขความแค้นระหว่างพวกเขาได้อยู่แล้ว”
ไต้ซือศีลเจ็ดสงสัยในคำพูดของเขา ตัวเองรู้ชัดว่าลูกศิษย์คนนี้นิสัยเป็นอย่างไร แค่ไม่ช่วยเหมียวอี้ฆ่าคนก็นับว่าดีแล้ว จะคลายปัญหาเหรอ? แม้ไต้ซือศีลเจ็ดมีจิตใจดีงาม แต่ก็ไม่กล้าเชื่อคำพูดเหลวไหลของศีลแปดอยู่ดี
เขาแบฝ่ามือข้างหนึ่งให้เหมียวอี้ “โยมเหมียว ขอยืมมือสักหน่อย”
เหมียวอี้ไม่เข้าใจ แต่ก็ยังวางมือบนฝ่ามือของเขาตามที่บอก
ใครจะคิดว่าไต้ซือศีลเจ็ดจะยื่นมืออีกข้างไปที่ศีลแปดอีก ศีลแปดแปลกใจ “อาจารย์ หมายความว่าอะไร?”
ไต้ซือศีลเจ็ดไม่พูดอะไร แค่รออยู่อย่างนั้น
ศีลแปดเอาสองมือไขว้หลัง “อาจารย์ ท่านทำอะไรน่ะ? ข้า…” ผลก็คือพบว่าเหมียวอี้กำลังจ้องตนด้วยสายตาเย็นเยียบ ก็ได้ เขาทำได้เพียงหุบปาก แล้ววางมือให้ไต้ซือศีลเจ็ดอย่างไม่เต็มใจ
สิ่งที่ทำให้ทั้งสองคิดไม่ถึงก็คือ ไต้ซือศีลเจ็ดพลิกมือแล้วคว้าข้อมือทั้งสองคนไว้ ทั้งยังจับไว้แน่นมากด้วย ถ้าทำแค่นั้นก็ว่าไปอย่าง แต่ดันพูดกับอวี้หลัวช่าว่า “เหลือเวลาอีกสามปี ค่ายกลระงับพลังอิทธิฤทธิ์ของที่นี่ก็จะใช้ไม่ได้ผลช่วงหนึ่ง พลังอิทธิฤทธิ์ของเจ้าจะกลับมาชั่วคราว”
ไม่ต้องพูดถึงเลย อวี้หลัวช่าเดาได้ตั้งแต่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนแล้ว นางใคร่ครวญวางแผนเรื่องนี้ไว้แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ไม่ค่อยเข้าใจว่าไต้ซือศีลเจ็ดมีเจตนาอะไร นางงงนิดหน่อย
ผลปรากฏว่าไต้ซือศีลเจ็ดพูดเสริมอีก “โยมอวี้ ถ้าไม่ไปตอนนี้แล้วจะรอตอนไหน?”
ศีลแปดกับเหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนพร้อมกัน เหมียวอี้รีบสะบัดแขน แต่จนใจที่ไต้ซือศีลเจ็ดต้องใจดึงเขา จับข้อมือเขาไว้อย่างสุดชีวิตแล้ว
เหมียวอี้คว้าด้ามกระบี่ตรงเอวโดยจิตใต้สำนึก ต้องการจะชักกระบี่จากฝักไม้ออกมาฟันพันธนาการ
“เวรเอ๊ย! ตาแก่โล้น เจ้าหลอกลวง!” ศีลแปดด่าแล้ว
อวี้หลัวช่ากระจ่างทันที เข้าใจเจตนาของไต้ซือศีลเจ็ดแล้ว ชำเลืองเหมียวอี้ที่กำลังจะชักดาบแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง หันเลี้ยวหนีไปทันที
มองอวี้หลัวช่าที่วิ่งหนีไป แล้วก็หันไปมองไต้ซือศีลเจ็ดอีก เหมียวอี้ตะคอกด้วยสีหน้าเดือดดาล “ไต้ซือ อย่าบีบข้านะ!” เขาชูกระบี่ขึ้นหมายจะฟันไต้ซือศีลเจ็ด แต่ก็ยังลังเลไม่ฟันเสียที อยากจะใช้ฝักกระบี่ตีแขนไต้ซือศีลเจ็ด แต่ก็ขยับเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ทุบฝักกระบี่ลงไป
“อามิตตาพุทธ!” ไต้ซือศีลเจ็ดส่ายหน้าให้ปีศาจโลหิตที่กำลังจะก้าวเข้ามา ห้ามไม่ให้ปีศาจโลหิตมาช่วย
ปีศาจโลหิตได้แต่ประนมมือมองด้วยสีหน้ากังวล เหมียวอี้เป็นตัวละครที่โหดขนาดไหน นางก็เคยสัมผัสมาอย่างลึกซึ้งแล้ว ตัวเองเคยเกือบตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้
“พี่ใหญ่ ท่านคงไม่ฟันจริงๆ หรอกใช่มั้ย? ยังไงเขาก็เป็นอาจารย์ข้านะ พี่ใหญ่ ไว้หน้าข้าเถอะ” จู่ๆ ศีลแปดก็กระแอมหนึ่งที ทำท่าเหมือนเป็นลูกศิษย์ที่ดี พูดจบก็ยังก้มศีรษะโล้นด้วย
เหมียวอี้มองเขาแวบหนึ่ง เริ่มสังเกตอะไรบางอย่างได้นิดหน่อย จึงเก็บกระบี่ยาวกลับเข้าฝักช้าๆ แต่อดไม่ได้ที่จะบ่น “ไต้ซือ นี่ท่านกำลังเมตตาเกินพอดีหรือเปล่า? ท่านรู้มั้ยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? ท่านรู้มั้ยว่าถ้านางหนีไปจากที่นี่ได้ จะมีอีกกี่คนที่ต้องตาย?”
ตอนนี้นางถึงได้พบว่าตัวเองเกลียดนิสัยคร่ำครึของศีลเจ็ดขนาดไหน
เมื่อได้ยินแบบนี้ ไต้ซือศีลเจ็ดก็หลับตากล่าวว่า “อามิตตาพุทธ ความผิดทุกอย่างอาตมาจะรับไว้ผู้เดียว!”
เหมียวอี้กล่าวเน้นทีละคำอย่างเย็นเยียบว่า “ช่วยชีวิตคนเดียวแต่ฆ่าคนมากกว่านั้น ท่านรับผิดชอบไหวเหรอ?” เขาหันไปมองปีศาจโลหิต “ปีศาจโลหิต รีบไปขัดขวางนาง!”
ปีศาจโลหิตมองปฏิกิริยาของไต้ซือศีลเจ็ด แล้วค่อยๆ ก้มหน้าประนมมือ ไม่สนใจคำพูดของเหมียวอี้
ศีลแปดแอบส่งสายตาให้เหมียวอี้เงียบๆ หลังจากเหมียวอี้เห็นแล้ว ก็หลับตาลงช้าๆ เช่นกัน
พวกเขายืนค้างอยู่ตรงนี้ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ไต้ซือศีลเจ็ดถึงได้ปล่อยข้อมือเหมียวอี้ แล้วประนมมือกล่าวว่า “ใช้ว่าความแค้นจะต้องใช้ความตายมาแก้ไขเสมอไป ถ้าโยมเหมียวยอมถอยสักก้าว อีกฝ่ายอาจจะไม่ก่อกรรม!”
เหมียวอี้ฟังหลักการพวกนี้ไม่ไหวแล้ว หันตัวไปตะคอกบอกศีลแปด “ไป!”
“ตาแก่โล้น ท่านชั่วร้ายเกินไปแล้ว” ศีลแปดเอ่ยชมอาจารย์ตัวเอง แล้วรีบหันตัวตามเหมียวอี้ไปเช่นกัน
สองพี่น้องเร่งฝีเท้าวิ่งลงบันไดไป
เมื่อเห็นทั้งสองออกไปแล้ว ปีศาจโลหิตก็ก้าวมาข้างหน้า “อาจารย์ โยมอวี้ท่านนั้นจะหนีพ้นหรือเปล่า?”
ไต้ซือศีลเจ็ดถอนหายใจเบาๆ “อาตมาทำเต็มที่แล้ว” เขาช่วยถ่วงเวลาให้อวี้หลัวช่าหนึ่งชั่วยามแล้ว ตามหลักแล้วเพียงพอให้อวี้หลัวช่าหลบหนี ดาวเคราะห์กว้างใหญ่ขนาดนี้ หาที่ไหนหลบสักแห่งก็ได้ ถ้าคิดจะหาให้เจอก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจับเหมียวอี้กับศีลแปดเอาไว้ตลอด
เมื่อเดินมาถึงก้นบึ้งของหุบผา เหมียวอี้ก็เงยหน้ามองตำแหน่งวัดที่อยู่กลางไหล่ผา แล้วถามเสียงต่ำ “เจ้ามีวิธีหานางตัวแสบนั่นหรือเปล่า?”
ศีลแปดแอบหัวเราะเบาๆ “นอกเสียจากนางจะเหาะหนีเท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นก็เลิกคิดได้เลยว่าจะหนีพ้น พี่ใหญ่ ท่านลืมที่ข้าบอกแล้วเหรอ ต้นไม้ทุกต้นที่นี่ล้วนเป็นสายตาของข้า ถ้านางอยากจะหนีก็ต้องถามข้าก่อนว่าอนุญาตหรือเปล่า”
“อย่าบอกนะว่าไต้ซือศีลเจ็ดไม่รู้ว่าเจ้ามีความสามารถนี้?” เหมียวอี้สงสัยอยู่บ้าง
ศีลแปดตอบว่า “เขาไม่รู้ ข้าไม่กล้าให้เขารู้หรอก ถ้าให้เขารู้ว่าข้าใช้วิธีการไหนฆ่าสัตว์กิน ข้าจะไม่หาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ”
เหมียวอี้โล่งอก “ต้องหานางให้เจอ ต้องกำจัดนางทิ้ง จะให้นางหนีไปไม่ได้”
ศีลแปดหัวเราะแห้ง “พี่ใหญ่ วันนี้ท่านได้รับรู้ความคร่ำครึของตาแก่โล้นแล้วรึยัง? ต่อไปท่านจะมาโทษข้าไม่ได้นะที่ข้าไม่เคารพเขาเป็นอาจารย์”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่เพราะเขาใช้สายตาบังคับให้ศีลแปดส่งมือให้ศีลเจ็ดแต่โดยดี อวี้หลัวช่าก็ไม่หนีไปได้หรอก สุดท้ายจึงต้องโต้แย้งอย่างไร้เหตุผล “เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น”
“เหอะๆ” ศีลแปดเบะปากมองฟ้า
ทั้งสองออกจากหุบผาแล้ว ทอดสายตามองไปรอบๆ จะเห็นเงาอวี้หลัวช่าเสียที่ไหนกัน
สายตาเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนตัวศีลแปดอย่างรวดเร็ว “เจ้ารอง ต้องหวังพึ่งเจ้าแล้ว”
“วางใจเถอะ ข้าไม่ให้นางเป็นภัยต่อบรรดาพี่สะใภ้หรอก” ศีลแปดเก็บสีหน้าทะเล้น ประนมมือสองข้าง ความบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคีปรากฏบนตัวเขาแล้ว
ที่ต้นหญ้าด้านข้างมีเสียงเหยียบเบาๆ เหมียวอี้ได้ยินแล้วหันมอง เห็นหญ้าสองกอแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว ปรากฏรอยที่คนเคยเหยียบ รอยแบบนี้ยาวเหยียดไปตลอดทาง เกิดเป็นร่องรอยคนเดินผ่านชัดเจน
“นี่คือทิศทางที่นางตัวแสบหนีไปเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
ศีลแปดเลิกประนมมือ แต่ไม่ได้ตอบอะไร เหมือนไม่อยากหลุดพ้นจากสภาวะนี้ เขาใช้การกระทำจริงตอบ เดินไปตามรอยหญ้าแห้งตลอดทาง ส่วนเหมียวอี้ก็เดินเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ
หลังจากเดินไปได้หลายลี้ก็เลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง เปลี่ยนไปเดินอีกทิศทางหนึ่ง เหมียวอี้แสยะยิ้ม “นางตัวแสบเจ้าเล่ห์จริงๆ”
หลังจากเดินได้หนึ่งชั่วยาม หญ้าที่พื้นก็เริ่มบางตา ตรงหน้าเป็นบริเวณทรายกรวดที่ไกลสุดสายตา ที่จริงบริเวณหุบผาก็มีสภาพเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ตอนหลังเนื่องจากเหตุปัจจัยบางอย่างทำให้ฝนตกบ่อย ถึงได้เกิดพื้นที่สีเขียวเพิ่ม
เมื่อไม่มีหญ้านำทางแล้ว ก็หารอยเท้าจากพื้นทรายกรวดลำบาก เหมียวอี้อดกังวลไม่ได้
ทว่าตรงจุดห่างออกไปสิบกว่าจั้ง จู่ๆ ก็มีสัตว์จำพวกหนูตัวหนึ่งโผล่ออกจากรู แล้วเอาก้นไถขุดดินที่อยู่ทางขวาด้านหน้า ศีลแปดเดินไปทางหลุมดินทันที ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้เข้าใจว่า ‘หนู’ นั่นกำลังบอกทางศีลแปด
…………………………