ในห้องหนังสือเงียบเชียบไร้เสียง บนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ติดริมหน้าต่าง อวิ๋นจือชิวนั่งไขว่ห้างหันข้างอยู่ตรงนั้น วางข้อศอกบนโต๊ะน้ำชา ถือม้วนหนังสือไว้ในมือพลางเปิดอ่านอย่างช้าๆ บางครั้งที่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ นางก็จะสังเกตมองเหมียวอี้ที่กำลังมีสมาธิเขียนหนังสืออย่างเงียบๆ มุมปากเผยรอยยิ้มบางๆ เป็นระยะ แต่ไม่ได้ก้าวเข้ามารบกวนแต่อย่างใด
เมื่อเขียนครบสองร้อยตัว เหมียวอี้ก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ รีบเข้ามารับพู่กันจากมือเขา
เหมียวอี้คว้ากระดาษที่ผ่านการคัดอักษรขึ้นมาอย่างลวกๆ แล้วเดินไปตบวางลงข้างๆ โต๊ะน้ำชา จากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามกับอวิ๋นจือชิว แล้วก้มหน้าเงียบๆ ด้วยความเบื่อเซ็ง
ตัวอักษรไม่ขาดไปสักตัว ทั้งยังคัดเพิ่มมาหลายตัวด้วย เพราะเป็นการคัดลอกบทความช่วงหนึ่งจบพอดี อวิ๋นจือชิวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ท่านสามีมีพรสวรรค์จริงๆ ด้วย เรียกได้ว่าก้าวหน้ารวดเร็วมาก ใช้เวลาสักระยะหนึ่งจะต้องเขียนสวยแน่นอน!”
พอเอียงหน้ามามอง ก็พบว่าเหมียวอี้กำลังก้มหน้าอย่างเบื่อเซ็ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เห็นได้ชัดว่าโดนนางควบคุมจนเหี่ยวเฉาแล้ว
สิ่งนี้ทำให้อวิ๋นจือชิวปวดใจนิดหน่อย พอจะเข้าใจอดีตที่ผ่านมาของเหมียวอี้อยู่บ้าง รู้ว่าเขาน่าสงสารมาตั้งแต่เด็ก เพื่อที่จะทำงานหาเลี้ยงชีพ เขาไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือเลย เมื่อก้าวเข้าสู่แดนฝึกตนก็ต้องพยายามเอาชีวิตรอด ไม่มีเวลาใช้สมองคิดเรื่องนี้เลย บางสิ่งบางอย่างที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว นางกลับไปบังคับให้เขาเปลี่ยนแปลง ถือว่าทำให้เขาลำบากจริงๆ
นางขึ้นลุกขึ้น แล้วเอามือลูบกระโปรงนั่งลงบนตักเหมียวอี้โดยตรง นางใช้มือข้างหนึ่งช้อนคอเขา แล้วใช้มืออีกข้างรับน้ำชามาจากเชียนเอ๋อร์ พอตัวเองเป่าเสร็จ ก็จ่อป้อนที่ปากเหมียวอี้ พลางหัวเราะคิกคัก “ท่านสามีลำบากแล้ว ดื่มชาหน่อยสิคะ แล้วค่อยออกไปเดินเล่น เดี๋ยวกลับมาจะให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ปรนนิบัติอย่างดีเลย”
นางหันหน้ามาบอกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ว่า “คืนนี้ให้นายท่านไปค้างคืนกับพวกเจ้า พวกเจ้าต้องปรนนิบัตินายท่านดีๆ นะ ถ้าทำให้นายท่านผ่อนคลายไม่ได้ ข้าจะเอาผิดกับพวกเจ้า!”
“เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้ทั้งสองที่หน้าแดงเรื่อเอ่ยรับเสียงเบา
คำพูดนี้ทำให้เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งอยากขำ เขาเงยหน้ามองบนใส่อวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง แล้วกระดกถ้วยชาที่จ่ออยู่ตรงปาก เพี้ยะ! เขาตบก้นอวิ๋นจือชิวแรงๆ หนึ่งฉาด ทำให้นางร้องอุทานตกใจและลุกพรวดทันที สุดท้ายก็เอามือลูบก้นพลางมองบนใส่เขา
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เห็นแล้วเม้มปากกลั้นขำ
“นุ่มมือดีจัง!” เหมียวอี้กล่าวอย่างลำพองใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินเอามือไขว้หลังออกไป พอเดินออกมานอกตำหนักก็บิดขี้เกียจ มองเฮยทั่นที่นอนกรนเสียงดังอยู่ใต้ชายคาแวบหนึ่ง แล้วเดินออกไปอย่างผ่อนคลาย พอเดินมาถึงประตูใหญ่ของตำหนักหลัง กลับโดนบัณฑิตขวางไว้ “นายท่าน ฮูหยินอนุญาตให้ออกไปข้างนอกรึยัง?”
เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที “หมายความว่ายังไง? อย่าบอกนะว่าข้าโดนจำกัดแม้แต่การเข้าออกประตูบ้าน?”
บัณฑิตหันกลับไปมองที่ตำหนักแวบหนึ่ง พอเห็นเชียนเอ๋อร์ที่อยู่ไม่ไกลพยักหน้า บัณฑิตถึงได้โบกมือ เปิดประตูเข้าออกของค่ายกลแปดทิศ ปล่อยเหมียวอี้ออกไปแล้ว
เหมียวอี้เดินวนไปทั่วปราสาท ไปคุยกับเหยียนซิวและหยางเจาชิงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปคุยกับหยางชิ่งที่จวนผู้การใหญ่ สุดท้ายถึงได้ออกไปที่เขตต้องห้าม เขาเจอตงกัวหลี่กับลูกศิษย์ พอทราบว่าเยารั่วเซียนกำลังหลอมของวิเศษและไม่ให้ใครรบกวน ก็หันตัวเดินออกมา ก่อนจะหายตัวไปเพียงลำพังในป่าลึก
เขาออกจากปราสาทดำเนินสุริยัน พอเจอหน้าผาสูงที่อยู่ในป่าภูเขาลึกรกร้าง ก็เหาะลงไปเพียงลำพัง ลงมือขุดถ้ำลึกในหุบเหวด้วยตัวเอง จากนั้นก็เดินลาดตระเวนรอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีมีคน ถึงได้กลับมาในถ้ำนั้น
ในถ้ำหินที่มืดมิด แสงสีแดงเลือดพลันเปล่งประกายออกมา บัวโลหิตต้นนั้นถูกเหมียวอี้นำออกมาอีกครั้ง ปราณปีศาจโลหิตพุ่งออกจากฝักบัวในชั่วพริบตาเดียว ขณะเดียวกันส่วนปลายรากก็ส่องแสงสว่างอยู่ในถ้ำ ทำให้ในถ้ำเกิดแสงสีแพรวพราว
หลังจากเหมียวอี้สังเกตอย่างละเอียด ก็พบว่าปราณปีศาจโลหิตไม่ได้มาจากต้นบัวโลหิตทั้งต้น แต่มาจากเม็ดบัวเก้าเม็ดนั้นต่างหาก
เขายื่นมือไปลูบคลำฝักบัวที่งดงามราวกับทับทิมแกะสลัก ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังลูบไล้ผิวน้ำแข็ง เย็นมือมาก แต่มันกลับมีความทนทานสูง ยากที่เขาจะแหวกให้ขาดได้ ตอนที่มือสัมผัสโดนเม็ดบัว ปราณปีศาจโลหิตที่พุ่งขึ้นมาก็โจมตีเกราะพลังอิทธิฤทธิ์และรุกล้ำเข้าในร่างกายของเขาโดยตรง ทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้าน เกิดความตระหนกในใจ หลังจากร่ายวิชาอัคนีดาราต้านทาน ถึงได้ควบคุมสภาพจิตใจให้มั่นคงได้
“ช่างเป็นปราณปีศาจโลหิตที่รุนแรงจริงๆ!” เหมียวอี้อุทานในใจ แล้วก็ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ พลิกฝ่ามือนำกระจกหยินดำออกมา ครุ่นคิดว่าถ้าหากนำปราณปีศาจโลหิตนี้มาหลอมสร้างเป็นของวิเศษได้ จะได้ผลแหมือนกระจกหยินดำหรือเปล่า
อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ปราณหยินที่อยู่ในกระจกหยินดำไม่อาจก่อภัยคุกคามต่อเขาได้อีก แต่ปราณปีศาจโลหิตนี้กลับส่งผลกระทบต่อจิตใจคนโดยตรง เหมือนจะเอาไว้ใช้ต่อสู้กับนักพรตระดับสูง
เมื่อเก็บกระจกหยินดำ เขาก็ใช้มือกอบฝักบัวขึ้นมาเพ่งมองอย่างละเอียดอีกรอบ ลองแกะเม็ดบัวที่อยู่ในฝักบัว ใช้ความพยายามไปเยอะมากกว่าจะแกะเม็ดบัวขนาดเท่าไข่ไก่ออกมาได้ แต่ละเม็ดเป็นสีแดงใสราวกับหยก กะพริบแสงสีแดงจ้าตา ปราณปีศาจโลหิตที่เกาะกลุ่มวนเวียนเข้มข้นถึงขั้นไม่สลายตัวไป น่าตระหนกตกใจมาก!
ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองฝึกวิชาอัคนีดารา คาดว่าคงไม่มีทางทนรับการพุ่งโจมตีของปราณปีศาจโลหิตที่เข้มข้นนี้ได้เลย ส่วนเม็ดบัวเก้าเม็ดนี้ก็คงจะเป็นยาเม็ดโลหิต!
สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือ หลังจากเด็ดเม็ดบัวเก้าเม็ดนั้นมาแล้ว บนตัวต้นบัวโลหิตต้นนั้นก็ไม่มีปราณปีศาจโลหิตใดๆ อีก รวมทั้งรากบัวก้อนนั้นด้วย
ขณะมองดูรากบัวสีขาวหมดจดที่เปล่งประกาย เหมียวอี้ก็นึกถึงตอนที่ตัวเองอยู่ที่สำนักลมปราณ นึกถึงตำนานที่หมิงจ้าวบอก ว่ากันว่าปรมาจารย์มารโลหิตเคยได้สมุนไพรจิตวิญญาณมาต้นหนึ่ง ขอเพียงสามวิญญาณเจ็ดดวงจิตไม่ดับสลาย สมุนไพรจิตวิญญาณต้นนั้นก็สามารถทำให้คนตายฟื้นชีพได้ ฟื้นชีพกลับมามีสภาพเหมือนเดิม
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าสมุนไพรจิตวิญญาณต้นที่มารโลหิตบอกมีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ แต่เขาค่อนข้างสงสัยว่าบัวโลหิตที่อยู่ตรงหน้าใช่สมุนไพรจิตวิญญาณต้นนั้นหรือไม่ สาเหตุที่ทำให้เขาคิดแบบนี้ก็ไม่ซับซ้อนเลย น้ำเต้าโลหิตคือของที่มารโลหิตทิ้งเอาไว้ ส่วนบัวโลหิตต้นนี้ก็คงไม่ได้เติบโตได้ภายในเวลาสั้นเช่นกัน ในใจเขาเรียกได้ว่าแฝงไปด้วยอารมณ์เฝ้าคอย หวังว่าสิ่งที่ตัวเองได้มาจะเป็นสมบัติล้ำค่าหายาก
ทว่าเมื่อนำบัวโลหิตทั้งต้นมาพลิกดูไปมา ก็ยังมองไม่ออกว่าบัวโลหิตเทพตรงไหน ต่อให้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูก็ยังไม่เจอผลลัพธ์อะไร ทำได้เพียงข่มความสงสัยในใจตัวเองไว้ กะว่าถ้ามีโอกาสค่อยหาคนที่สามารถไขปริศนานี้ได้ เก็บของเอาไว้ก่อนแล้วกัน
ในถ้ำพลันมืดลง จากนั้นแสงสีแดงเลือดก็ปรากฏขึ้นอีก เหมียวอี้นำเม็ดบัวโลหิตเม็ดหนึ่งออกมาพลิกดูอีก ปีศาจโลหิตต้องอาศัยสิ่งนี้เพื่อฝึกตน แล้วใช้สิ่งนี้ฝึกตนยังไงกันแน่ล่ะ?
หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูให้ลึกซึ้ง เหมียวอี้ก็ตกใจทันที พลังจิตวิญญาณ! ไม่น่าเชื่อว่ายาเม็ดโลหิตนี้จะเกิดจากการก่อตัวของพลังจิตวิญญาณกับปราณปีศาจโลหิต ไม่เพียงแค่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ทั้งยังแข็งแรงทนทานไร้ที่เปรียบ! ร่ายอิทธิฤทธิ์บี้อย่างไรก็ไม่แตกได้ง่ายๆ ใครจะไปรู้ว่าในนี้มีพลังจิตวิญญาณกับปราณปีศาจโลหิตอยู่มากเท่าไร ถึงได้ทำให้ยาเม็ดโลหิตแข็งแรงทนทานได้ถึงขั้นนี้!
ในชั่วพริบตานี้เขามั่นใจแล้ว ปีศาจโลหิตคงอาศัยดูดซับพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในนี้โดยตรงเพื่อฝึกตน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาคงทำไม่ได้ ปราณปีศาจโลหิตที่อยู่ข้างในเพียงพอที่จะทำให้คนตายได้ และปีศาจโลหิตก็ย่อมไม่กลัวปราณปีศาจโลหิตที่อยู่ในนั้นอยู่แล้ว ดีไม่ดีอาจจะช่วยเสริมพลังด้วย!
เหมียวอี้พลันหัวเราะเบาๆ ยังมีมนุษย์ที่ไม่กลัวปราณปีศาจโลหิตอยู่ คนคนนั้นก็คือเขาเอง!
เหมียวอี้พลิกฝ่ามือนำยาเม็ดโลหิตออกมาอีกเม็ด นั่งขัดสมาธิ ใช้สองมือกำไว้ข้างละเม็ด พอร่ายวิชาอัคนีดารา เปลวเพลิงไร้รูปร่างสองกลุ่มก็ห่อหุ้มยาเม็ดโลหิตสองเม็ดที่อยู่ในมือ ผนึกไม่ให้ปราณปีศาจโลหิตซึมออกมาข้างนอก รีบร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดารากลั่นกรองปราณปีศาจโลหิตที่อยู่ในยาเม็ดโลหิตอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นาน หมอกสองกลุ่มก็ซึมออกมาจากฝ่ามือที่เขากำอยู่ จากนั้นก็เลื้อยวนอยู่บนข้อมือเขาราวกับมังกรบินสองตัว ทะลวงเข้าไปในแขนเสื้อของเขาโดยตรง ภายใต้อากาศที่อยู่ในนั้นจำนวนมาก ทำให้ในเสื้อผ้าของเขาเริ่มพองตัวขึ้นมาทีละนิด ตรงคอเสื้อที่พองออกมีหมอกลอยวนเวียน แล้วกลายเป็นควันสามสายสูดเข้าจมูกของเขา แม้แต่รูขุมขนบนร่างกายก็ดูดซับพลังจิตวิญญาณกลุ่มนั้นอย่างเต็มอิ่มเช่นกัน
บนใบหน้าเหมียวอี้เผยรอยยิ้ม เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ เป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย พลังจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในยาเม็ดโลหิตน่าทึ่งจริงๆ ราวกับใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมดไป พอกลั่นกรองออกมาก็ปรากฏรูปร่างเดิมที่เหมือนหมอกทันที ปกติยามใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาเพื่อรวมรวมพลังจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินมาดูดซับ ก็จะไม่เห็นภาพอะไรแบบนี้ ประสิทธิภาพไม่ได้ด้อยไปกว่าการใช้ของประเภทยาแก่นเซียนเลย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไรแล้ว เหมียวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย หยุดกลั่นกรองยาเม็ดโลหิตสองเม็ดที่กำอยู่ในมือ เสื้อผ้าที่โป่งพองก็ค่อยๆ แบนลีบลงเช่นกัน เมื่อหมอกกลุ่มสุดท้ายถูกเขาอ้าปากสูบเข้าท้อง เขาก็ลืมตาขึ้นแล้ว
เขากุมยาเม็ดโลหิตสองเม็ดไว้ในมือข้างเดียวกัน ในมืออีกข้างถือระฆังดารา มันกำลังมีเสียงดัง อวิ๋นจือชิวส่งข่าวมาว่า : ฟ้ามืดแล้ว เจ้าไปอยู่ไหน? คงไม่ได้ทรยศทิ้งข้าไปอีกใช่มั้ย?
เหมียวอี้พูดไม่ออก เขาทั้งรักทั้งเกลียดผู้หญิงคนนี้ เมื่อมีผู้หญิงคนนี้อยู่ เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องในบ้านเลย นางเตรียมการทุกอย่างได้ดีมาก เจ้าสามารถทำตัวเป็นเจ้านายได้เลย ประกอบกับเสน่ห์ดึงดูดทางเพศที่อยู่ในตัวของผู้หญิงคนนี้ รสชาติของเรื่องบนเตียงทำให้เขาถึงอกถึงใจจริงๆ แต่ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจนาง นางก็จะทำให้เจ้าโมโหเดือดดาลมาก
ทำให้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ต้องประนีประนอมกับอวิ๋นจือชิวทุกเรื่อง ทำให้เขากลายเป็นผู้ชายที่กลัวเมีย เขารู้สึกไม่ยอมจริงๆ แบบนั้นเสียหน้ามากเกินไป แต่พอทะเลาะกันทีไรก็มักจะโดนอวิ๋นจือชิวบีบจุดอ่อนเสมอ เมียที่อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตหามา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแม่เสือตัวหนึ่ง มันทรมานเหมือนกันนะ!
เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดาราเพื่อบอกให้รู้ว่าไม่ได้ไปไหนไกล กำลังศึกษาบัวโลหิต จะกลับไปเดี๋ยวนี้
เมื่อเก็บระฆังดาราแล้ว เขาก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แต่พอมองยาเม็ดโลหิตในมือก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาอีก ใช้เวลากลั่นกรองอีกเกือบครึ่งวัน ยาเม็ดโลหิตนี้ดูเผินๆ เหมือนไม่มีปฏิกิริยาอะไร สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่าพลังจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในนั้นมีมากเพียงพอ
พอเก็บยาเม็ดโลหิตแล้ว เขาก็เหาะออกมาจากเส้นทางคดเคี้ยวในถ้ำ พอลอยขึ้นกลางอากาศ ก็พบว่าท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว เขาจึงรีบกางแขนเหาะกลับไป
เมื่อเหยียบลงตรงประตูตำหนักหลัง บัณฑิตก็รีบปล่อยเขาเข้าไปโดยที่เขาไม่ต้องบอกอะไร แต่อีกฝ่ายก็ไม่ลืมที่จะเตือนว่า “เมื่อครู่นี้ฮูหยินตามหาท่านไปทั่ว”
ในลานนอกตำหนัก อวิ๋นจือชิวที่วางมาดมารดาแห่งใต้หล้ากำลังลากกระโปรงยาวเดินไปเดินมาอยู่ในนั้น ค่อนข้างกังวลว่าตัวเองกดดันเหมียวอี้โหดไปหรือเปล่า กลัวว่าจะกดดันจนเหมียวอี้หาข้ออ้างหนีไปอีก
เมื่อเห็นเหมียวอี้กลับมา นางก็โล่งใจเหมือนยกก้อนหินออกจากอก รีบก้าวเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมื่ออยู่ต่อหน้ากลุ่มนางใน นางยังโค้งกายคำนับเขาอย่างเรียบร้อยอีกด้วย “นายท่านกลับมาแล้วหรือคะ!”
กลุ่มนางในคำนับตามทันที “คำนับนายท่านเจ้าค่ะ!”
เหมียวอี้ตอบ ‘อืม’ คำเดียว วางมาดเต็มที่เช่นกัน เดินก้าวยาวไปข้างหน้าต่อโดยไม่เหล่ตามองแม้แต่น้อย
อวิ๋นจือชิวรีบเดินตามทันที พร้อมทั้งกำชับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ว่าให้จัดโต๊ะอาหารได้แล้ว