“หลักการเหตุผลนี้ของพี่ใหญ่ อาจจะไม่ยุติธรรมสำหรับผู้หญิงไปหน่อยหรือเปล่า” อวี้หลัวช่ากล่าว
เหมียวอี้บอกว่า “นี่ไม่ใช่ปัญหาว่ายุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม ความคู่ควรของสรรพสิ่งในโลกย่อมแฝงวิถีทางที่ถูกต้องเอาไว้ ไม่ว่าเดินไปถึงขั้นไหนก็ล้วนมีเวรกรรมเหมือนที่ชาวพุทธอย่างพวกเจ้าบอกไว้ ไม่ใช่สิ่งที่กำลังมนุษย์จะควบคุมได้ จะโทษผู้ชายหรือผู้หญิงไม่ได้หรอก ไม่มีใครลำบากกว่าใคร ที่จริงในใจทุกคนล้วนเข้าใจหลักการชัดเจน เพียงแต่ในด้านความรู้สึกนั้นยากจะรับไหว ถึงได้มีบุญคุณความแค้นเกิดขึ้นไง”
อวี้หลัวช่ารู้ว่าพูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ เรียกได้ว่าความหวังสุดท้ายถูกทำลายแล้ว จึงไม่พัวพันกับปัญหานี้อีก นางมองลูกน้อยในอ้อมกอด แล้วกล่าวเสียงเรียบ “รอสักประเดี๋ยว ศีลแปดกำลังไปเชิญอาจารย์กับปีศาจโลหิตแล้ว ข้าจะให้คำชี้แจงกับพวกเขา”
รอไม่นานเท่าไรนัก ก็เห็นศีลแปดนำไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตมาแล้ว ทั้งสองแทบจะถูกศีลแปดดึงให้วิ่งมา
“มาแล้ว มาแล้ว” ศีลแปดที่วิ่งกลับมาหอบหายใจ เมื่อเห็นทั้งสองยังไม่ลงมือ ก็นับว่าโล่งใจแล้ว
ไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตก็เหนื่อยหอบแทบทนไม่ไหวเหมือนกัน ทั้งคู่หอบหายใจ
เมื่อเห็นกระบี่ในมือเหมียวอี้ ไต้ซือศีลเจ็ดก็เหมือนตระหนักอะไรได้ ไม่สนใจว่าตัวเองกำลังหอบหายใจ รีบเกลี้ยกล่อมทันที “โยม จะจองเวรจองกรรมกันถึงเมื่อไร?”
เหมียวอี้จ้องอวี้หลัวช่าอย่างเย็นเยียบ “เจ้าอยากจะดึงไต้ซือมาถ่วงเวลาเหรอ? ใครขวางข้า ตาย!”
ประโยคเดียวก็แสดงความตั้งใจหมดแล้ว!
ศีลแปดได้ยินแล้วหวาดระแวงกลัว ประกาศชัดเจนมาก ว่าถ้าตาแก่โล้นกล้ามาขวาง พี่ใหญ่ก็จะเอาชีวิตตาแก่โล้นด้วย
อวี้หลัวช่าไม่สนใจสิ่งนี้ นางมองปีศาจโลหิต “ได้ยินศีลแปดบอก ว่าเจ้าก็จะไม่ไปเหมือนกัน อยากจะอยู่เฝ้าเป็นเพื่อนไต้ซือที่นี่”
ปีศาจโลหิตย่อมสังเกตได้ว่าบรรยากาศไม่ชอบมาพากล นางมองคนพวกนี้วแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบว่า “อาตมาตัดทางโลกแล้ว ไปที่ไหนก็เหมือนกัน สมาคมวีรชนมีหูตาเยอะเกินไป หากข้าออกไปจากที่นี่ ก็มีแต่จะวุ่นวายใจเพิ่ม ไม่สู้อยู่อย่างสงบที่นี่ดีกว่า”
อวี้หลัวช่าพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก นางก้าวช้าๆ มาตรงหน้าไต้ซือศีลเจ็ด แล้วคุกเข่าตรงหน้าเขา
สายลมพัดอ่อน ผิวทะเลสาบกระเพื่อมเป็นคลื่น ต้นไม้ใบหญ้าริมทะเลสาบโยกไหว การคุกเข่านี้ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ บนใบหน้าอวี้หลัวช่าเริ่มฉายแววเศร้าสลดหดหู่
ทุกคนอึ้งทันที ไต้ซือศีลเจ็ดถามอย่างตกใจ “เหตุใดต้องทำขนาดนี้ รีบลุกขึ้นเถิด” เขาผายมือทั้งสอง
ใครจะคิดว่าอวี้หลัวช่าจะชูเด็กขึ้นมาอย่างช้าๆ ยื่นให้ตรงหน้าไต้ซือศีลเจ็ด “ท่านอาจารย์ ข้าฝากลูกไว้ที่ใครก็ไม่วางใจทั้งนั้น รวมทั้งพ่อของแด็กด้วย มอบให้อาจารย์ผู้เดียวเท่านั้น…” พอพูดจบก็ไม่มีทางสงบนิ่งต่อไปได้อีกแล้ว นางควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ น้ำตาไหลพราก ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่เป็นภาษา
เด็กน้อยนอนหลับปุ๋ยอยู่ในห่อผ้า ไม่รับรู้เรื่องโลกภายนอกเลย
“พุทธะหน้าหยก นี่เจ้า…นี่…” ไต้ซือศีลเจ็ดทำอะไรไม่ถูกนิดหน่อย ไม่รู้ว่าควรจะรับหรือไม่รับดี
“นี่เจ้าคิดจะทำอะไร? จะให้ลูกอยู่ที่นี่ได้ยังไง อยู่ที่นี่ไม่มีทางฝึกตนได้เลย จะทนใช้ชีวิตยาวนานได้ยังไง?” ศีลแปดพูดติดอ่าง
เป็นอย่างที่เขาพูด แม้เด็กคนนี้จะไม่ได้ผ่านการเคี่ยวกรำจากครรภ์วิญญาณมาก่อน แต่โชคดีที่เกิดมาเป็นคนประเภทมีที่คุณสมบัติฝึกตนโดยธรรมชาติ แต่ต่อจะให้มีคุณสมบัติอย่างไร แต่อยู่ที่นี่ก็ถูกค่ายกลใหญ่ควบคุม ทำให้ก้าวเข้าสู่ประตูฝึกตนลำบาก
อวี้หลัวช่าเอียงหน้ามองเหมียวอี้ พร้อมกล่าวเสียงสะอื้น “ทิ้งงูมังกรไว้ที่นี่ ข้าย่อมกำชับงูมังกรได้ จะได้สะดวกให้พวกเขาไปมาระหว่างดาวเคราะห์สองดวงนี้ ที่สำคัญคือมันจะปกป้องพวกเขาได้ด้วย”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องลูก ข้าย่อมพาไปดูแลด้วยอยู่แล้ว”
อวี้หลัวช่าถามกลับ “เจ้าจะดูแลเหรอ? เจ้าเข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายของตำหนักสวรรค์แล้ว อาจจะเอาตัวเองไม่รอดด้วยซ้ำ จะเอาอะไรมาดูแลลูกชายข้า?”
“…” ประโยคนี้อุดปากเหมียวอี้แล้ว ทำให้เขาไม่รู้จะเถียงอย่างไร
ไต้ซือศีลเจ็ดประนมมือ “อามิตตาพุทธ ลูกของพุทธะหน้าหยกเอง ก็ควรจะดูแลเอง เด็กยังเล็กและอ่อนแอขนาดนี้ ยังไม่หย่านม พุทธะหน้าหยกจะทำใจแยกจากลูกได้อย่างไร?”
อวี้หลัวช่ายิ้มทั้งน้ำตา ส่ายหน้าบอกว่า “ตั้งแต่เด็กข้าไม่เคยมีทางเลือกเลย ข้าไม่อยากให้ในภายหลังลูกชายข้าไม่มีทางเลือก หลังจากลูกข้าเติบโตแล้ว อย่าให้เขารู้ว่าพ่อแม่เขาเป็นใคร อย่าให้เขารู้ว่าข้าเป็นแม่เขา บาปกรรมทั้งหมดไม่เกี่ยวกับเด็ก ให้เขาได้เติบโตแข็งแรงอย่างสะอาดบริสุทธิ์ เรื่องนี้ไม่มีใครเหมาะสมจะสั่งสอนเขาเท่าอาจารย์แล้ว ข้าขอร้องให้ไต้ซือรับปากข้า!” พูดจบก็ชูเด็กน้อยขึ้นพร้อมเอาหน้าตัวเองแนบพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วจริงๆ แม้จะพยายามควบคุมเสียงร้อง แต่ไม่ว่าใครก็มองออกว่าผู้หญิงคนนี้กำลังเจ็บปวดเข้ากระดูก
เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็เข้าใจทันทีถึงสาเหตุที่นางไม่ยอมพาเด็กไปเลี้ยงเอง ศีลแปดมีสีหน้าเศร้าสลด
“อามิตตาพุทธ!” ใบหน้าไต้ซือศีลเจ็ดเต็มไปด้วยความเมตตา ไม่ได้ปฏิเสธอีก เพียงถอนหายใจเบาๆ แล้วใช้สองมือรับเด็กไว้ อุ้มไว้ในอ้อมกอดอย่างเบามือ
ปีศาจโลหิตก็ประนมมือสวดมนต์เช่นกัน เหมียวอี้กำกระบี่แน่น เม้มริมฝีปากตึงแน่น
“ขอบคุณท่านอาจารย์!” อวี้หลัวช่าใช้สองมือหมอบกราบ โขกศีรษะกับพื้นสามครั้ง จากนั้นก็ย้ายเข่า หมอบกราบปีศาจโลหิตอีกสามครั้ง
เหตุผลนี้ไม่ว่าใครก็เข้าใจ ถ้าไต้ซือศีลเจ็ดคนเดียวต้องควบคุมพระปีศาจด้วยและต้องดูแลเด็กด้วยก็จะยุ่งมากจนทำไม่ไหว ปีศาจโลหิตจะต้องช่วยดูแลเด็กแน่นอน การหมอบกราบสามครั้งก็เท่ากับเป็นการฝากฝังปีศาจโลหิต
“อามิตตาพุทธ! บาปกรรม บาปกรรม” ปีศาจโลหิตประนมมืออย่างหวาดกลัว ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนระดับอ๋องสวรรค์จะมาหมอบกราบนาง จึงรีบเข้ามาประคองอวี้หลัวช่า “พุทธะหน้าหยกวางใจเถอะ อาตมาจะพยายามสุดความสามารถแน่นอน”
“ขอบคุณมาก!” อวี้หลัวช่าที่เงยหน้าขึ้นมาน้ำตานองหน้าแล้ว ที่หน้าผากมีเลือดไหลสดๆ เรียกได้ว่าโขกหัวด้วยความจริงใจ
ทว่าพอยกแขนเสื้อปาดน้ำตา อวี้หลัวช่าก็พลันยืนขึ้นอีก หันตัวเดินไปหาเหมียวอี้ ไปยืนตรงหน้าเขา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มปนน้ำตา “ความรู้สึกของพี่ใหญ่ข้าเข้าใจได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นข้ายืนในมุมของพี่ใหญ่ ก็จะต้องทำแบบเดียวกัน ถ้าพี่ใหญ่ต้องการคำชี้แจ้ง ข้าก็จะให้ท่าน ข้ายืนอยู่ตรงนี้แล้ว จะไม่โต้ตอบแน่นอน ลงมือเถอะ!”
ชวิ้ง! เหมียวอี้ทำสีหน้าดุร้าย แสงสะท้อนคมกระบี่วับวาบ กระบี่คมจ่ออยู่บนคออวี้หลัวช่าแล้ว
“พี่ใหญ่!”
“อย่า!”
“หยุดนะ!”
ศีลแปด ปีศาจโลหิต ไต้ซือศีลเจ็ดร้องอุทานพร้อมกัน เสียงของทั้งสามคนนี้ทำให้เด็กในห่อผ้าตกใจตื่นร้อง “อุแว้ๆ” ทันที
ให้ความรู้สึกราวกับว่าเด็กรับรู้ได้ว่ามารดาตัวเองกำลังมีอันตราย อวี้หลัวช่าหลับตาลง น้ำตาไหลอาบแก้ม
เหมียวอี้เองก็ว้าวุ่นใจเพราะเสียงเด็กร้องไห้เช่นกัน ขณะที่กระบี่จ่อบนคออวี้หลัวช่า เขาก็กล่าวอย่างเคียดแค้น “อย่ามาเล่นบทเศร้า เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าเหรอ?”
“พี่ใหญ่ พวกเราค่อยปรึกษากันอีกทีเถอะ” ศีลแปดกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น
เหมียวอี้หันกลับตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “ถ้านางกำลังเล่นลูกไม้อะไรจริงๆ เจ้าเคยคิดถึงผลที่ตามมาหรือเปล่า? ถึงตอนนั้นนางจะไม่ให้ใครมีชีวิตรอดกลับไปเปิดเผยควาลับของนาง ตอนที่ค่ายกลใหญ่หยุดทำงาน ไม่ว่าใครก็หยุดนางไม่ได้ทั้งนั้น ทุกคนจะต้องตายอยู่ที่นี่!”
ศีลแปดจ้องอวี้หลัวช่าพร้อมตะโกนราวกับประสาทเสีย “นี่คือผลลัพธ์ที่เจ้าต้องการใช่มั้ย? เจ้าต้องมอบหลักประกันที่น่าเชื่อถือให้พี่ใหญ่สิ!”
อวี้หลัวช่าลืมตาช้าๆ จ้องเหมียวอี้พร้อมกล่าวว่า “เรื่องแบบนี้มีแต่ต้องดูว่าเขาจะเชื่อใจข้าหรือไม่ ไม่อย่างนั้นรับประกันอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งเดียวที่รับประกันได้ก็คือสังหารข้าซะ ถ้าเขาเชื่อใจข้า ข้าก็มีวิธีการแก้ไขปัญหานี้ได้!”
เหมียวอี้ใช้คมกระบี่ดัน บนคออวี้หลัวช่าเกิดรอยเลือด ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “บอกวิธีการมา!”
อวี้หลัวช่าบอกว่า “ขอแค่เจ้าเชื่อว่าข้าจะไม่ลงมือกับพวกเจ้าตอนที่ค่ายกลใหญ่หยุดทำงาน พอพลังอิทธิฤทธิ์ของพวกเจ้ากลับมา ก็สามารถผนึกวรยุทธ์ของข้าไว้ชั่วคราวได้ ควบคุมไม่ให้ข้าร่ายอิทธิฤทธิ์ ข้าจะไม่ขัดขืนเลย พวกเจ้าสามารถฉวยโอกาสนี้บอกความลับของข้าที่นี่ให้คนที่ไว้ใจได้รู้เพื่อเป็นไพ่ลับ หลังจากออกไปแล้วข้าก็ย่อมไม่กล้าทำอะไรพวกเจ้าง่ายๆ”
“ข้าจะเอาอะไรมาเชื่อว่าตอนค่ายกลใหญ่หยุดทำงานเจ้าจะไม่ลงมือ?” เหมียวอี้ถาม
ศีลแปดตะโกนบอกว่า “พี่ใหญ่ ข้ามีวิธี ตอนนี้ข้าหาที่ซ่อนตัวได้แล้ว ตอนค่ายกลใหญ่หยุดทำงานข้าจะติดต่อภายนอกทันที ข้าจะบอกความลับเรื่องนางให้คนที่ไว้ใจได้รู้ ถ้าพวกเราไม่สามารถรอดชีวิตกลับไปได้ ความลับของนางก็จะรักษาไว้ไม่ได้เหมือนกัน”
“เจ้าจะวิ่งไปได้ไกลแค่ไหนเชียว? อาศัยวรยุทธ์ของนาง พอพลังอิทธิฤทธิ์กลับมาเมื่อไร นางก็สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์ค้นหาครอบคลุมขอบเขตที่เจ้าหนีได้ง่ายๆ นางหาเจ้าพบได้ทุกเมื่อ ไม่ทันรอให้เจ้าบอกความลับกับภายนอก นางก็กำจัดเจ้าแล้ว! แล้วอีกอย่าง เจ้าคิดจริงเหรอว่าสิ่งที่เจ้าเรียกว่าความลับพวกนี้จะบีบนางได้? ถ้านางโดนกดดันจนรักษาสิ่งที่เรียกว่าความลับนี้ไม่ได้จริงๆ แค่บอกเรื่องสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปให้ประมุขพุทธะรู้ นางก็จะได้สร้างผลงานใหญ่ ปัญหาทุกอย่างก็จะถูกแก้ไขแล้ว นางจำเป็นต้องถูกพวกเราบีบในภายหลังด้วยเหรอ? อีกทั้งการที่พวกเราปิดบังสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป ผลที่ตามมาจะเป็นยังไงล่ะ? ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับพวกเราก็จะติดร่างแหไปด้วย พี่สะใภ้ของเจ้าไม่รู้สถานการณ์ที่นี่ชัดเจน นางจะเป็นคนแรกที่ถูกตำหนักสวรรค์ควบคุมตัวไว้ เจ้าคิดบ้างหรือเปล่าว่าพวกพี่สะใภ้ของเจ้าจะมีจุดจบยังไง?” เหมียวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
“เห็นแก่หน้าลูก นางไม่ทำอย่างนั้นหนอก!” ศีลแปดกล่าวอย่างจนใจ
“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ! ถ้าฆ่าพวกเราทิ้งแล้ว นางก็นำเด็กไปเลี้ยงที่อื่นได้ ใครจะไปรู้เรื่องที่นางมีลูกล่ะ? หรือว่านางเล่นบทเศร้าพวกนี้แล้วทำให้เจ้าหลงกลได้?” เหมียวอี้ตะคอก
ปีศาจโลหิตกับไต้ซือศีลเจ็ดก็อับจนปัญหาแล้วเช่นกัน ต่อให้เป็นไต้ซือศีลเจ็ดก็ไม่กล้ารับประกันว่าอวี้หลัวช่าจะไม่ทำสิ่งที่เหมียวอี้กล่าวหา
ศีลแปดใช้สองมือเกาศีรษะ คิดวนเวียนสับสนมาก ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังแทบตาย เสียใจว่าไม่ควรสนุกจนสร้างเด็กคนหนึ่งขึ้นมาเลย
อวี้หลัวช่าบอกว่า “ข้าก็เลยบอกไงว่าความเชื่อใจคือกุญแจสำคัญ ถ้าไม่เชื่อใจ ปัญหานี้ก็ไม่มีทางแก้ไขได้เลย พี่ใหญ่ ถ้าไม่เชื่อใจข้าจริงๆ ก็ลงมือเถอะ! ถ้าข้าตายแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าเหรอ?” เหมียวอี้ตะคอกอย่างดุดัน พอออกแรงดันกระบี่ในมือ ก็พบว่าอวี้หลัวช่าไมได้หลบจริงๆ เลือดสดบนคอเริ่มไหลออกมาตามกระบี่
“พี่ใหญ่!” ศีลแปดร้องตกใจ
ไต้ซือศีลเจ็ดก้าวเข้ามา ยื่นมือไปคว้าข้อมือเหมียวอี้ไว้ ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรมอย่างที่ยากจะปิดบัง ส่ายหน้าบอกใบ้ว่า ขอเพียงทำให้เจ้าระงับโทสะได้ หากอาตมาไม่ลงนรกแล้วใครจะลงนรก
“เห้อ!” จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถอนหายใจยาว ชักกระบี่กลับมา แล้วปักไว้ที่พื้นดังฉึก หันหลังให้อวี้หลัวช่า กัดฟันบอกว่า “ข้าจะเอาชีวิตของทุกคนมาเดิมพันกับเจ้าสักครั้ง!”
ท่าทีของเขาไม่ต่างอะไรกับการล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าอวี้หลัวช่า ไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตอุทานอย่างโล่งใจพร้อมกัน “อามิตตาพุทธ!”
“ขอบคุณที่พี่ใหญ่เชื่อใจ!” อวี้หลัวช่าโค้งตัวขอบคุณ แต่หลังจากยืนตรงแล้ว กลับพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “พี่ใหญ่เชื่อใจข้าขนาดนี้ แต่ข้าเกรงว่าจะต้องไม่รู้จักกาลเทศะอีกสักครั้ง ข้าอยากได้การรับประกันเรื่องบางอย่างจากพี่ใหญ่ ถ้าพี่ใหญ่ไม่รับปาก ก็ใช้กระบี่สังหารข้าเสียเลย ไม่ต้องเดิมพันอะไรทั้งนั้น เพราะถ้าไม่ได้การรับประกันเรื่องนี้ ในภายหลังข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำเรื่องอะไรได้บ้าง!”
………………………