พอเขาเอ่ยปาก อวี้หลัวช่าก็เงียบลงครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ “ในเมื่อพี่ใหญ่พูดแบบนี้ งั้นเอาไว้ทีหลังก็ได้”
ศีลแปดแอบโล่งอก ขณะเดียวกันก็เดือดดาลมาก จะดีจะร้ายข้าก็เป็นผู้ชายที่ทำอย่างนั้นกับเจ้านะ ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดของข้าจะไม่ได้ผลเท่าพี่ใหญ่ นี่เจ้าต้องไม่เชื่อใจข้าขนาดไหนกัน?
อวี้หลัวช่าพูดเสริมอีก “พี่ใหญ่ต้องระวังตัวหน่อยนะ หลังจากตำหนักสวรรค์จับปีศาจจิ้งจอกสามหางได้ ก็วาดภาพศีลแปดกับไต้ซือศีลเจ็ดจากคำบรรยายของปีศาจจิ้งจอกสามหางแล้ว แม้ข้าจะไม่เคยสนใจดู และไม่รู้ด้วยว่าจะวาดเหมือนหรือไม่เหมือน แต่ก็ยังต้องระวังเอาไว้”
เหมียวอี้พยักหน้า แล้วบอกศีลแปด “ปลอมตัวเถอะ”
ศีลแปดรีบนำหน้ากากมาใส่บนหน้าตัวเอง สุดท้ายอวี้หลัวช่าที่แสยะยิ้มมองอยู่ข้างๆ ก็ก้าวเข้ามาช่วยจัดให้ศีลแปด
ทว่าศีลแปดเป็นคนได้คืบจะเอาศอก เมื่อเห็นอวี้หลัวช่ามีท่าทีดีขึ้นหน่อย เขาก็ตีงูตามไม้กระบอง[1] ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้ามีตำแหน่งสูง น่าจะไม่ขาดเงินใช้ใช่มั้ย?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็แทบจะเตะน้องชายอีก เขารู้จักนิสัยเจ้ารองดีเกินไป ถ้าเอ่ยปากแสดงว่ามีเจตนาแน่นอน ทั้งยังมีเจตนาชัดเจนด้วย
ทว่าอวี้หลัวช่ากับศีลแปดก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันไม่น้อยเช่นกัน นอนด้วยกันบ่อขนาดนี้ นางจะไม่รู้จักนิสัยศีลแปดสักนิดเชียวหรือ นางเลิกคิ้วเล่นไปตามน้ำ “ก็พอได้ เจ้ารู้สึกว่ามีปัญหาเหรอ?”
ศีลแปดรีบบอกว่า “ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา นี่เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดีมาก คืออย่างนี้นะ อาตมาโดนขังอยู่ที่นั่นนานขนาดนั้น เลยขัดสนเงินทองนิดหน่อย เจ้าให้อาตมายืมเงินสักนิดได้มั้ย?”
ไอ๊หยา เหมียวอี้ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว เขาหันหลังให้แล้วจัดหน้ากากบนหน้าตัวเอง ขณะเดียวกันก็กระแอม “แค่กๆ” เตือนไม่ให้ศีลแปดทำเดินไป
อวี้หลัวช่าฟังออกว่าเหมียวอี้กระแอมทำไม แต่นางกลับแกล้งทำเป็นไม่รู้ ถามเสียงเรียบว่า “ข้าได้ยินปาไห่บอก ว่าสมบัติของคนจำนวนไม่น้อยในสถานที่ผนึกตกอยู่ในมือเจ้าหมดแล้ว เจ้าน่ะเหรอจะขาดเงิน?”
ศีลแปดก็ฟังออกเช่นกันว่าเหมียวอี้กระแอมเตือน แต่เขาก็ยังไม่ยอมเลิก “คนที่ไปที่นั่นได้ส่วนใหญ่มีแต่คนจน บนตัวไม่มีของล้ำค่าสักเท่าไรเลย แล้วอีกอย่างตอนที่อาตมาออกมา ก็อาจจะเอาไปไม่หมดเหมือนกัน ของส่วนใหญ่อยู่ที่อาจารย์กับปาไห่แล้ว พวกเขาเลี้ยงเด็กก็ลำบากเหมือนกัน ใช่มั้ยล่ะ?”
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” อวี้หลัวช่ากล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ
ศีลแปดหัวเราะแห้ง “ถ้าเจ้ามี ก็แบ่งให้อาตมายืมก่อนสักหน่อย รอให้อาตมามีเหลือเฟือแล้วจะคืนให้เจ้า”
“ก็ได้ เจ้าอยากได้เท่าไรล่ะ?” อวี้หลัวช่าถาม
ศีลแปดตอบอย่างหน้าด้านว่า “แล้วแต่เจ้า ให้ยืมสักหน่อยก็พอแล้ว”
เหมียวอี้ทนฟังไม่ไหวแล้วจริงๆ หันตัวมาแล้วห้ามนาง “เจ้าอย่าไปฟังเขาพูดเหลวไหล ถ้าเขาขาดเงินข้าก็ให้เขาได้”
ใครจะคิดว่าอวี้หลัวช่าจะยกมือห้ามเขา นางบอกว่า “ที่พี่ใหญ่ให้ก็ส่วนพี่ใหญ่ให้ ที่ข้าให้ก็คือส่วนที่ข้าให้ ไม่เหมือนกัน” พูดจบก็พลิกมือนำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมา ยื่นให้ศีลแปดพร้อมบอกว่า “ในนี้น่าจะพอให้เจ้าใช้สักระยะ ถ้าไม่มีเงินใช้ก็มาหาข้า เศษเงินเล็กน้อยข้าให้เจ้าไหวอยู่แล้ว”
ศีลแปดรีบรับมาตรวจดู เพียงมองปราดเดียว ก็เห็นเขายิ้มมุมปากแล้ว “เจ้าไม่ต้องห่วง รออาตมามีแล้วจะคืนเจ้าแน่นอน”
รอเจ้าคืนเหรอ? งั้นต้องรอไปถึงเมื่อไรกัน? เหมียวอี้หมั่นไส้จนคันฟัน พอเห็นท่าทางแบบนั้นของศีลแปด ก็รู้แล้วว่าอวี้หลัวช่าต้องให้ไม่น้อยแน่
“ไม่ต้องรีบ เจ้าใช้ไปก่อน รอเจ้ามีเงินก่อนแล้วค่อยว่ากัน” อวี้หลัวช่าใจเย็น
หลังจากทั้งสองสวมหน้ากากเสร็จแล้ว ก็คุยอะไรกับอวี้หลัวช่าอีกนิดหน่อย เสร็จแล้วถึงได้บอกลา เหาะขึ้นฟ้าจากไปแล้ว
อวี้หลัวช่ามองคล้อยหลังศีลแปดหายไป แล้วพึมพำด้วยสีหน้าสับสนเป็นพิเศษ “ศัตรู!”
จากนั้นก็หลุดขำอีก อยู่คลุกคลีกับสองพี่น้องที่สถานที่ผนึกมานานขนาดนี้ นางก็พอจะเดาถึงฉากต่อไปได้แล้ว คาดว่าศีลแปดที่ได้เงินไปคงเหมือนได้เผือกที่ร้อนมือ เหมียวอี้คงจะซ้อมศีลแปดอีกยก จากที่เหมียวอี้กระแอมตอนแรกนางก็ฟังออกแล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ พอไปถึงดาราจัก ในที่สุดเหมียวอี้ก็ระเบิดอารมณ์ “เจ้าว่านะเจ้ารอง เจ้ายังมียางอายอยู่มั้ย? เจ้าไม่อาย แต่ข้าอายนะ!”
“พี่ใหญ่ คำพูดท่านฟังดูไม่มีเหตุผลเลย ทำไมข้ากลายเป็นไร้ยางอายไปแล้วล่ะ?” ศีลแปดกลับแปลกใจ
“เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก แบมือขอเงินผู้หญิงไม่ละอายบ้างเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
ศีลแปดตอบกลั้วหัวเราะ “มีอะไรน่าอายล่ะ? ข้าขอยืมเงินนาง ใช่ว่าจะไม่คืนนางเสียหน่อย ท่านต้องพูดแรงขนาดนั้นด้วยเหรอ?”
“เจ้ามันไม่เคยทำงานเลี้ยงชีพอย่างจริงจัง ต่อให้เจ้าออกไปปล้น แต่อาศัยวรยุทธ์อย่างเจ้าก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะปล้นใครกันแน่ เจ้าจะไปหาเงินจากไหนมาคืนนาง?” เหมียวอี้เริ่มหัวร้อน
“งั้นก็ค่อยๆ คืนก็ได้ ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะรีบคืน แล้วอีกอย่าง ด้วยฐานะอย่างนางน่ะไม่ขาดเงินหรอก ไม่รีบให้ข้าคืนหรอก” ศีลแปดตอบ
“เจ้าไร้ยางอายทั้งยังไร้เหตุผลจริงๆ ใช่มั้ย?” เหมียวอี้ค่อนข้างหัวร้อน เอามือคว้าเขาเอาไว้ ทั้งสองหยุดอยู่ในดาราจักร
ศีลแปดถอนหายใจ “แค่ยืมเงินนิดหน่อยเกี่ยวอะไรกับน่าไม่อาย? พี่ใหญ่ ท่านคิดมากไปแล้ว”
เหมียวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห “ยืมเงิน? ข้าว่าเจ้าไม่คิดจะคืนหรอก! นางเป็นผู้หญิง เจ้านอนกับนางแล้ว แถมนางยังช่วยคลอดลูกให้เจ้าด้วย เจ้ายังมีหน้าไปแบมือขอเงินจากนางอีกเหรอ มีผู้ชายที่ไหนทำตัวอย่างเจ้าบ้าง? ชอบเงินของนางใช่มั้ย? ตอนแรกนางให้เจ้าไปกับนาง ทำไมเจ้าไม่ไปล่ะ? บอกว่าไม่เกาะผู้หญิงกินไม่ใช่เหรอ? ที่เจ้าทำต่างอะไรกับเกาะผู้หญิงกิน! ถ้าไม่มีเงินใช้ก็บอกข้าสิ ข้าจะไม่ให้เจ้าเชียวเหรอ?”
ศีลแปดเอามือเกาผมปลอมบนศีรษะ พบว่าความคิดของทั้งสองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้ามัวพัวพันกับประเด็นนี้จะต้องถูกซ้อมแน่นอน อีกฝ่ายถึงขั้นกำหมัดแล้ว เขาถอนหายใจอีกครั้ง “พี่ใหญ่ เราเป็นคนละประเภทกัน ข้าเป็นคนออกบวช มีความแตกต่างกับท่าน พี่ใหญ่ ท่านมีครอบครัวมีกิจการทั้งยังได้เป็นเจ้าอาณาเขต ไม่ขาดเงินให้ใช้ ข้าเข้าใจ! แต่อาตมาแตกต่างกับท่าน อาตมาบวชเป็นพระตั้งแต่เด็ก เคยชินกับการแบมือขอเงินคนอื่นตั้งนานแล้ว…อ้อใช่ ท่านยังไม่เคยบิณฑบาตใช่มั้ย? อาตมาติดตามตาแก่โล้นออกไปบิณฑบาตตั้งแต่เด็ก ทำไมถึงเรียกว่าบิณฑบาตล่ะ? ทำไมต้องบิณฑบาต? ก็เพราะต้องการให้คนออกบวชวางศักดิ์ศรีหน้าตาลง เป็นการวางอัตตาลงด้วย มีประโยชน์ต่อการฝึกตน! ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เรียกว่าบิณฑบาตให้ฟังดูดีเฉยๆ ถ้าพูดแบบชาวบ้านๆ หน่อย ที่จริงการบิณฑบาตก็คือการออกมาขอข้าวคนอื่น ข้าขอข้าวคนอื่นมาตั้งกี่ปีแล้วล่ะ ถ้ามัวห่วงหน้าตาศักดิ์ศรี ข้าจะไม่อดตายไปตั้งนานแล้วหรอกเหรอ? แล้วอีกอย่างนะ ท่านเคยเห็นพระที่ไหนบิณฑบาตแล้วต้องคืนของกลับไปบ้างล่ะ? เอ่อ…แน่นอน อาตมาแตกต่างกับคนหัวโล้นพวกนั้นอยู่แล้ว อาตมาจะคืนแน่นอน พี่ใหญ่ อวี้หลัวช่าก็เป็นชาวพุทธ นางเข้าใจจุดนี้ดีกว่าท่าน ไม่เก็บไปใส่ใจหรอก ท่านคิดมากไปเอง บิณฑบาตจะไปเกี่ยวกับไร้ยางอายได้ยังไง ข้ายอมท่านเลยจริงๆ!”
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้าง หรือว่าข้าจะพูดผิดไป? เขาเกือบถูกคำพูดศีลแปดทำให้พูดไม่ออก หลังจากหายอึ้งแล้วถึงได้เข้าใจ สงสารความไร้ยางอายจะมีคำอธิบายอย่างนี้ การที่พระออกบิณฑบาตไม่ใช่แค่การแบมือขอจากคนอื่นหรอกเหรอ
เขาไม่ลองนึกดูบ้างล่ะ ตอนเจอศีลแปดผมยาวเต็มศีรษะครั้งแรกที่สถานที่ผนึก ถามศีลแปดว่าสึกแล้วใช่มั้ย ตอนนั้นศีลแปดก็ตอบไว้ชัดเจนแล้ว : สึกเสิกอะไรกัน เป็นพระก็ดีมากอยู่แล้ว สามารถเป็นคนได้สองด้าน!
แต่นี่คือคำพูดจากใจเขาเลย นี่ก็คือข้อดีของการเป็นพระ เวลาไม่มีอะไรทำก็ใช้ชีวิตทางโลก แต่พอสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลก็วางมาดคนออกบวชทันที อย่างไรเสียก็ล้วนอธิบายเหตุผลได้ เขาชอบเส้นทางนี้มาก ไม่อยากสึกจากใจจริง
เพียงแต่เหมียวอี้ก็ยังค่อยๆ ปล่อยมือ ที่จริงคำพูดบางคำของศีลแปดทำให้เขาปวดใจอยู่บ้าง ศีลแปดบอกว่าต้องออกบิณฑบาตตั้งแต่เด็ก นี่ก็คือการขอข้าวกิน ทำเอาในใจเหมียวอี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด หมัดที่กำแน่นทุบบนใบหน้าศีลแปดไม่ลง
หลังจากปล่อยมือแล้ว เหมียวอี้ก็กล่าวเสียงต่ำ “ครั้งนี้ช่างเถอะ ต่อไปนี้ไม่ต้องแบมือขอเงินอวี้หลัวช่าแล้ว เจ้าไม่อายแต่ข้าอาย แล้วอีกอย่าง เจ้าดูไม่ออกเหรอ นางอยากให้เจ้าพึ่งพานาง ถ้าเจ้าอยากจะเป็นอิสระ ก็ต้องติดหนี้อีกฝ่ายน้อยๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นต่อไปเวลาอยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย เจ้าก็ยืดอกพูดไม่ได้แล้ว”
ศีลแปดตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าจะจำไว้ ข้าจะจำไว้ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่มีครั้งหน้าแล้ว” เมื่อเห็นเหมียวอี้มีท่าทีอ่อนลง เขาก็รีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา “พี่ใหญ่ ตอนนี้พวกเราจะไปไหนดี? ท่านคงไม่ได้มีเรื่องอะไรให้ข้าทำจริงๆ หรอกใช่มั้ย ท่านเองก็รู้ ว่าข้าวรยุทธ์ต่ำ เรื่องอันตรายท่านก็ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ อาตมากลัวจะแบกรับหน้าที่หนักไม่ไหว!”
เขาได้ยินเรื่องราวอันน่าทึ่งของพี่ใหญ่มาจากอวี้หลัวช่า เรียกได้ว่าฟังจนหวาดเสียว เขาพบว่าพี่ใหญ่ทำเรื่องอันตรายมาเกือบหมดแล้ว ทั้งยังไม่ใช่เรื่องอันตรายธรรมดา เป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่กล้าไปแตะต้อง แปลกจนน่าตกใจ ตอนนี้เขารู้สึกหวาดระแวงล่วงหน้า
เหมียวอี้หยิบแผนที่ดาวออกมาเทียบ หลังจากเก็บแผนที่ดาวแล้ว ก็โบกมือบอกว่า “อย่าบ่นเยอะเลย ตามข้าไปก็พอ พอไปถึงที่นั่นแล้วเจ้าก็จะเข้าใจเอง”
“อ้อ!” ศีลแปดขานรับอย่างจนใจ ทำได้เพียงเหาะตามเหมียวอี้ไปยังจุดลึกของดาราจักรอย่างรวดเร็ว
ส่วนทางด้านอวิ๋นจือชิว พอเหมียวอี้ได้พลังอิทธิฤทธิ์กลับมาไม่นานก็ติดต่อไปแล้ว ที่แดนรัตติกาลยังไม่มีเรื่องอะไร ทุกอย่างยังปกติ เหมียวอี้กลัวว่าอวิ๋นจือชิวจะจงใจทำให้เขาโล่งใจ จึงติดต่อไปถามคนอื่นๆ อีก ถึงได้รู้ว่ามีทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เกิดขึ้นนิดหน่อย อาณาเขตใหญ่ขนาดนั้น คนเยอะขนาดนั้น จะไม่มีเรื่องเลยสักนิดได้อย่างไร เพียงแต่อวิ๋นจือชิวออกหน้ารับมือหมดแล้ว ตอนนี้จึงยังไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ ส่วนเรื่องในบ้าน อวิ๋นจือชิวก็จัดการได้เหมาะสมทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้เอง เหมียวอี้ถึงได้ตัดสินใจพาศีลแปดไปทำเรื่องอื่นอีกเรื่อง นับว่าทดลองดูก็แล้วกัน ถึงอย่างไรตอนนี้ศีลแปดก็ไม่สะดวกจะเปิดเผยตัวตน ไม่สะดวกจะให้ปรากฏตัวที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล
“พี่ใหญ่ ไม่ถูกสิ พวกเรามาถึงอาณาเขตดาวนิรนามแล้วแล้ว นี่พวกเรากำลังจะไปไหนกัน?”
หลังจากนั้นหนึ่งเดือนเต็ม ศีลแปดที่หลบร้อนรนอยู่ในกระเป๋าสัตว์ก็ถูกเหมียวอี้เรียกออกมา ในมือศีลแปดถือแผนที่ดาวฉบับหนึ่ง พอโผล่หน้าออกมาก็ร้องโวยวายทันที เหลียวซ้ายแลขวามองไปทั่ว ทำท่าราวกับเห็นผี
ตอนนี้เขาเป็นพวกโดนงูกัดครั้งเดียวแล้วกลัวเชือกไปสิบปี พอเห็นอาณาเขตดาวนิรนามในใจก็เกิดความกลัวเล็กน้อย ถ้าไม่บอกให้ชัดเจนเขาก็จะไม่ไป
มาถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้ก็ไม่คิดจะปิดบังเขาแล้ว ขี้คร้านจะพูดมากกับเจ้าหมอนี่เหมือนกัน ถามว่า “เจ้ารู้มั้ยว่าทำไมอวี้หลัวช่าถึงโดนข้าหลอกล่อไปที่สถานที่ผนึกได้?”
ศีลแปดตอบกลั้วหัวเราะ “รู้สิ ก็ท่านใช้เรื่องสมบัติลับหนานอู๋อะไรนั่นล่อไปไม่ใช่เหรอ ผู้หญิงคนนั้นก็…” เสียงพูดเขาหยุดชะงัก แล้วมองไปรอบด้านด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ พร้อมถามอย่างหวาดระแวงว่า “พี่ใหญ่ คงไม่ได้มีสมบัติลับหนานอู๋อะไรนั่นจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ผิดหรอก ข้าใช้เรื่องสมบัติลับมาปิดบังเรื่องสถานที่ผนึก ที่จริงสมบัติลับของสำนักหนานอู๋มีอยู่จริง เพียงแต่ข้าไม่กล้าบอกเรื่องนั้นกับอวี้หลัวช่า ถ้ายั่วให้นางทะเยอทะยานขึ้นมา พวกเราสองพี่น้องไม่ได้มีจุดจบที่ดี”
“ถูกแล้ว ใช่แล้ว ข้าว่านะพี่ใหญ่ ท่านยังลังเลอะไรอีก รีบไปสิ แต่ว่าข้าเหาะได้ช้า ท่านให้ข้าเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ จะได้ไม่ทำให้ท่านเสียเวลา พวกเรารีบๆ หน่อย” ศีลแปดทำสีหน้าร้อนรน เป็นฝ่ายเสนอตัวให้ความร่วมมือ
…………………………
[1] ตีงูตามไม้กระบอง 打蛇顺棍 หมายถึงฉวยโอกาสโจมตีกลับตามสถานการณ์