สิ่งที่ต้องการก็คือความร่วมมือจากเขา ไม่อย่างนั้นเจ้าหมอนี่ก็จะพูดมากจนคนตายฟื้นได้ เวลาบ่นขึ้นมาก็ทำให้คนปวดหัว
เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง เก็บเขาไว้ในกระเป๋าสัตว์แล้ว จากนั้นเร่งเดินทางไปข้างหน้าต่อ ขณะเดียวกันก็นำแผนที่ฉบับหนึ่งขึ้นมาตรวจดู
เมื่อมีประสบการณ์ในอดีตมาแล้ว เขาแน่ใจได้ว่านี่คือแผนที่สำหรับไปแดนสุขาวดี แต่ก็ไม่ได้แน่ใจเสียทั้งหมด จนกระทั่งหาประตูดวงดาวที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่มาเปรียบเทียบกับแผนที่ดาว เมื่อแน่ใจว่ามาถึงอาณาเขตแดนสุขาวดีแล้วจริงๆ เขาถึงได้โล่งอก ไปหาดาวเคราะห์ที่ลับตาคนเพื่อหยุดพัก แล้วโบกมือเรียกศีลแปดออกมา
“สมบัติลับอยู่ที่ไหน?” พอศีลแปดออกมาก็กระตือรือร้นมากทันที ทำอย่างกับติดหนี้เขาอยู่ เหลียวซ้ายแลขวาพร้อมถามว่า “ที่นี่ที่ไหน?” แล้วก็รีบหยิบแผนที่ดาวออกมาตรวจดูอีก ตอนไม่ดูก็ยังไม่รู้ พอดูแล้วก็ตกใจ “แดนสุขาวดี? ทำไมโผล่มาที่นี่ได้?” เขาถลึงตาจ้องเหมียวอี้ กังวลว่าพี่ใหญ่จะร่วมมือกับอวี้หลัวช่าและขายเขาให้นาง เหมือนเอาใจคนต่ำทรามมาวัดใจสัตบุรุษ
“สมบัติลับของสำนักหนานอู๋ ถ้าไม่อยู่แดนสุขาวดีแล้วจะอยู่ไหน?” เหมียวอี้ถาม
“ไม่ถูกสิ ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เข้ามาในอาณาเขตดาวนิรนาม ทำมาโผล่ที่แดนสุขาวดีได้ล่ะ?” ศีลแปดถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าเจอทางลับอีกทางสำหรับเข้าแดนสุขาวดี หรือเจ้าอยากจะเสี่ยงเปิดโปงตัวตนเข้ามาทางอารามแปดทิศล่ะ? เลิกบ่นได้แล้ว มาที่นี่แล้วก็ต้องปลอมตัวเป็นพระ อย่าทำตัวเด่นเกินไป”
“สมบัติลับอยู่ตรงไหนเหรอ?” ศีลแปดอยากรู้อยากเห็นมาก สนใจแต่สมบัติลับ ไม่สนใจเลยสักนิดว่ามาทางลับของแดนสุขาวดี
“ไปถึงแล้วก็ย่อมรู้เอง” เมื่อยังไม่แน่ใจว่าจะไปถึงดาวพิษได้อย่างราบรื่น เหมียวอี้ก็ไม่เปิดเผยสถานที่จริงให้รู้
ทั้งสองช่วยกันปลอมแปลงใบหน้า ศีลแปดยังปลอมง่ายหน่อย เพราะเดิมทีก็ศีรษะโล้นอยู่แล้ว แค่ดึงผมปลอมออก ใส่หน้ากากปลอมนิดหน่อยก็ได้แล้ว ส่วนเหมียวอี้เพื่อที่จะปลอมตัวให้สมจริง ก็ต้องทุ่มเทมากสักหน่อย ให้ศีลแปดโกนศีรษะให้ เรื่องผมเป็นเรื่องเล็ก เก็บตัวฝึกตนสักระยะก็ผมยาวแล้ว
หลังจากทำซ้ำไปซ้ำมา เหมียวอี้เก็บศีลแปดเข้ากระเป๋าสัตว์อีกครั้ง แล้วนำแผนที่ดาวออกมาตัดสินทิศทาง
มาถึงดาวพิษอย่างไม่ลำบาก เข้าใกล้อาณาเขตดาวบริเวณดาวพิษได้ราบรื่นมาก แต่ครั้งก่อนมีประสบการณ์เคยบังเอิญเจอสำนักหลัวช่า ครั้งนี้เขาจึงระวังตัวมากขึ้น เขาหาสถานที่ลับตาคนแล้วเปิดใช้ตาทิพย์สำรวจดาวพิษและดาวเคราะห์บริเวณใกล้เคียง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไรถึงได้เดินทางต่อ
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เหมียวอี้จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ นั่นก็คือหลังจากมีตาทิพย์แล้ว ก็ให้ความช่วยเขาได้เยอะมากสำหรับการปฏิบัติการคนเดียว ช่วยเขาสอดส่องอันตรายได้มากมาย ไม่อย่างนั้นถ้ามีปฏิบัติการลับบางอย่างที่ไม่มียอดฝีมือติดตาม เขาก็ไม่กล้าเพ่นพ่านไปไหนคนเดียวเลย
ฝ่าชั้นบรรยากาศไปเหยียบลงบนพื้นของดาวพิษได้อย่างราบรื่น จากนั้นเหาะขนาบพื้นด้วยความเร็วสูงต่อไป พอมาถึงทะเลสาบหินหนืดตรงทางเข้าก็ทะลุเข้าไปโดยตรง แล้วก็เข้าไปตามทางที่เคยไป จนไปถึงริมแม่น้ำใต้ดินสายนั้นอีกครั้ง
จนกระทั่งตอนนี้ เขาถึงได้เรียกศีลแปดออกมาอีกครั้ง
พอศีลแปดโผล่หน้ามาก็หันซ้ายหันขวาถามทันที “ที่นี่ที่ไหน? นี่คือแม่น้ำใต้ดินเหรอ?”
มาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่น เหมียวอี้ไม่มีอะไรให้ปิดบังแล้ว “แม่น้ำใต้ดินของดาวพิษ”
เดิมทีศีลแปดไม่ค่อยรู้เรื่องดาวพิษ แต่ฟังมาจากอวี้หลัวช่าว่าสำนักหลัวช่ามาที่ดาวพิษแล้วบังเอิญเจอเหมียวอี้ จึงรู้แล้วว่าดาวพิษเป็นสถานที่แบบไหน จึงอุทานถามอย่างตกใจทันที “ไม่ใช่มั้ง สมบัติลับหนานอู๋อยู่ที่ดาวหนานอู๋เหรอ?”
“รู้แล้วยังถามอีก ไป ตามข้าไป” เหมียวอี้บอกเขา แล้วเหาะไปตามกระแสน้ำของแม่น้ำใต้ดิน
ศีลแปดตามไปด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ นี่คือการหาสมบัติเชียวนะ สมบัติลับที่แม้แต่อวี้หลัวช่ายังไม่เสียดายที่จะเสี่ยงอันตราย นี่ต้องเป็นทรัพย์สินมากมายขนาดไหนกัน คิดไปคิดมาก็รู้สึกฮึกเหิม นึกไม่ถึงว่าพอตัวเองหลุดพ้นจากสถานที่ผนึกแล้วก็เจอกับเรื่องดีๆ แบบนี้ เขาแอบโห่ร้องด้วยความดีใจไปตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ต้นร้ายปลายดีไงล่ะ!
เมื่อเดินทางไปข้างหน้าได้หลายร้อยลี้ จู่ๆ เหมียวอี้ที่อยู่ข้างหน้าก็หยุดกะทันหัน ศีลแปดถึงได้พบว่ามีปากถ้ำแห่งหนึ่งอยู่ด้านบนของแม่น้ำใต้ดิน เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือมนุษย์ขุดไว้ เหมียวอี้มุดเข้าไปก่อน แล้วศีลแปดก็ตามเข้าไปอย่างไม่ลังเล ในด้านนี้ศีลแปดรู้สึกวางใจมาก ไม่กังวลเลยสักนิดว่าพี่ใหญ่จะทำร้ายเขา
เดินตรงไปข้างหน้าหลายร้อยจั้ง แล้วก็เลี้ยวไปทางขนานที่อีกจั้ง ตรงหน้าก็จะเห็นจุดสิ้นสุดแล้ว บนพื้นยังมีเศษหินกองหนึ่ง
เหมียวอี้หยุดแล้ว ศีลแปดก็หยุดตาม ใช้เท้าเขี่ยกองเศษหินบนพื้นแล้วถามว่า “นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?”
“ตรงหน้าก็คือห้องสมบัติลับ เดิมทีตรงนี้มีผนังหินอุดไว้ แต่ข้าทำลายเปิดแล้ว” เหมียวอี้ตอบ
“ข้างหน้าก็คือห้องสมบัติลับ?” ศีลแปดมองข้ามเศษหินบนพื้นทันที รีบสาวเท้าเดินเข้าไป พบว่าเป็นผนังผลึกแดงบริสุทธิ์ที่ทนทานแข็งแรงมาก เขาเดาะลิ้นแล้วบอกว่า “เป็นห้องสมบัติลับจริงๆ ด้วย แค่ประตูบานนี้ก็มีมูลค่าไม่น้อยแล้ว” จากนั้นตรงทางเดินก็ปรากฏแสงสว่างวาบ ในมือเขาถือไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างลูบไล้ผนังโลหะพลางเดาะลิ้นไม่หยุด บางครั้งก็ลองตบเพื่อยืนยันความแข็งแรง หมายความว่ามันมีมูลค่ามากพอ
เหมียวอี้ที่เดินเข้ามาดูอยู่ข้างๆ เขาไม่พูดอะไร เพียงสังเกตปฏิกิริยาศีลแปด สีหน้าสื่อความหมายล้ำลึกอย่างเห็นได้ชัดเจน
จู่ๆ ศีลแปดที่เอามือคลำชื่นชมได้พักใหญ่ก็อึ้งไป เงยหน้าแล้วหันตัวกลับมาถาม “พี่ใหญ่ จะเปิดประตูนี้เข้าไปได้ยังไง?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ครั้งก่อนตอนข้ามาก็ยังไม่เห็นประตูนี้เลย มีแค่ประตูหินบานหนึ่งปิดไว้ข้างนอก ตอนข้าออกมาไปสัมผัสกับกลไกเข้า ถึงได้พบว่าประตูของห้องสมบัติลับนี้ปิดไว้สนิท เจ้ามีวิธีการเข้าไปหรือเปล่า?”
“อย่างนี้ไง!” ศีลแปดถือไข่มุกราตรีส่องทั้งล่างทั้งบนประตู แล้วก็ตบประตูเพื่อฟังเสียงอีก เขาส่ายหน้าบอกว่า “ประตูนี้แข็งแรงทนทานเกินไป ทั้งหมดทำจากผลึกแดงบริสุทธิ์ด้วย เกรงว่าต่อให้ขุดก็ขุดไม่ออก ตอนนี้ยุ่งยากแล้ว”
เขามองไปทั่วทุกที่ แล้วจู่ๆ ก็ชี้ผนังหินทางซ้ายและขวา “พี่ใหญ่ พวกเราแบ่งกันขุดสองฝั่ง ดูว่าฝั่งไหนจะขุดไปถึงจุดบอบบางของห้องสมบัติได้ จากนั้นค่อยทำลายกำแพงเข้าไปในห้องสมบัติ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าผนังทั้งห้องสมบัติจะเป็นผลึกแดงบริสุทธิ์ที่แข็งแรงแบบนี้หมด”
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะพยักหน้า “เจ้ารอง เข้าเดาถูกแล้วจริงๆ ทั้งห้องสมบัติล้วนทำจากผลึกแดงบริสุทธิ์ที่ทนทานมาก แข็งแรงจนไม่มีทางเข้าไปได้เลย”
“หา!” ศีลแปดงงเป็นไก่ตาแตกทันที จากนั้นก็ใช้เท้าเตะพลางถอนหายใจไม่หยุด “จะเข้าก็เข้าไม่ได้ แล้วยังจะเล่นอะไรได้อีก! ข้าว่านะพี่ใหญ่ ทำไมท่านเข้าออกสถานที่แบบนี้แล้วไม่รู้จักระวังบ้าง ถ้าไม่เข้าใจก็อย่าไปแตะต้องมันสิ ทำไมไปสัมผัสกลไกมันได้ล่ะ ตอนนี้เกิดปัญหาใหญ่แล้ว ถ้าอยากเปิดประตูบานนี้ก็เกรงว่าต้องใช้ความพยายามมากเลย”
เหมียวอี้เงียบงันไม่พูดอะไรแล้ว ดูแค่ปฏิกิริยาของเขา
พอเห็นเขาเป็นแบบนี้ ศีลแปดก็ยังนึกว่าพี่ใหญ่ไม่พอใจที่ตัวเองบน จึงกำหมัดไอแห้งๆ “ข้าหมายความว่า ขนาดแค่เปลือกนอกของห้องสมบัติลับยังสร้างจากผลึกแดงบริสุทธิ์ทั้งหมดเลย นี่ต้องมีมูลค่าเท่าไรกัน นี่ถ้าเอาไปไม่ได้จะไม่น่าเสียดายหรอกเหรอ…” จู่ๆ ก็เอามือลูบคาง จากนั้นก็หันตัวมองไปที่ประตู แล้วพึมพำว่า “ไม่ถูกสิ ภายใต้สถานการณ์ปกติ ต่อให้ประตูเข้าออกจะปิดอยู่ แต่ก็น่าจะมีวิธีการเปิดสิ คนที่ซ่อนสมบัติลับคงไม่ถึงขั้นให้ตัวเองเข้าไปไม่ได้หรอกมั้ง?”
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายเหมียวอี้ก็เตือนว่า “เจ้าพูดไม่ผิดหรอก ประตูนี้มีวิธีเปิดจริงๆ แต่เกรงว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเปิดได้”
ศีลแปดหันขวับ ถามด้วยแววตาลุกวาว “มีวิธีการไหนที่เปิดได้?”
“จะเปิดได้ยังไงข้าก็ไม่รู้หรอก แต่ข้ารู้ว่าประตูนี้สร้างไว้เพื่อศิษย์สำนักพุทธ คนที่สามารถเปิดได้ตามปกติจะต้องเป็นศิษย์สำนักพุทธแน่นอน” เหมียวอี้ตอบ
นี่ก็คือสาเหตุที่เขาพาศีลแปดมา ข้อความที่ทิ้งไว้ในในห้องสมบัติลับก็บอกชัดเจนแล้ว ว่าศิษย์สำนักพุทธที่สามารถเปิดประตูนี้ได้ก็คือเจ้าของห้องนี้ ตอนแรกเขาก็ยังไม่ได้คิดมากเท่าไร จนกระทั่งผ่านเรื่องราวต่างๆ มา เขาก็พอจะเดาบางอย่างได้นิดหน่อยแล้ว
ตรรกะที่เดาได้ก็ไม่ซับซ้อนเลย
เฉาหม่านเคยบอกเขาไว้ ว่าตามตำนานสำนักหนานอู๋มีสมบัติลับอยู่แห่งหนึ่ง สาเหตุที่พระปีศาจหนานโปทำลายสำนักหนานอู๋จนหมดสิ้น ก็เพราะหวาดกลัวสมบัติลับชิ้นนี้ ว่ากันว่าในสมบัติลับซ่อนบางอย่างที่สามารถควบคุมพระปีศาจหนานโปได้ และอวี้หลัวช่าก็บอกว่านางยอมสละตำแหน่งพุทธะเพื่อให้ได้สมบัติลับที่ว่านี้ เดิมทีนางก็เป็นศิษย์ที่เหลือรอดจากสำนักหนานอู๋ คำพูดของนางเป็นการพิสูจน์คำพูดของเฉาหม่านทางอ้อม
สมบัติลับหนานอู๋ พระปีศาจหนานโปกำจัดสำนักหนานอู๋แล้ว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปถูกผนึก มีความเป็นไปได้สูงว่าศีลแปดและอาจารย์จะถูกข่าวลือเรื่องสมบัติลับล่อให้ไปที่สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป แล้วทำไมคนคนนั้นจึงต้องให้ศีลแปดและอาจารย์ไปเฝ้าควบคุมวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปตรงสถานที่ผนึกด้วยล่ะ คนคนนั้นคอยอยู่หลังม่านและผลักดันให้เขาเดินมาทีละก้าวจนถึงวันนี้ ทำเรื่องแบบนี้แล้วไม่กลัวเขาจะไม่พอใจเหรอ?
หลังจากเห็นศีลแปดอยู่ที่สถานที่ผนึกแล้ว ในใจเขาก็ค่อนข้างไม่พอใจ แต่ก็ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เขาเริ่มคิดทบทวนถึงเรื่องนี้ สำนักหนานอู๋ สมบัติลับ พระปีศาจหนานโป ศีลแปดและอาจารย์ ระหว่างสี่สิ่งนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า? สำนักหนานอู๋ สมบัติลับ พระปีศาจหนานโป สามสิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องกัน แล้วทั้งหมดก็เกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ แล้วศีลแปดกับอาจารย์ที่เป็นศิษย์สำนักพุทธก็ดันเข้ามาเกี่ยวข้องกับสถานที่ผนึก ศีลแปดกับอาจารย์มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นหรือเปล่า? เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นคนคนนั้นไม่มีทางล่อให้ศีลแปดกับอาจารย์มาที่นี่โดยไม่มีเหตุผลหรอก
ตอนที่สร้างการคาดเดานี้ขึ้นมาเป็นพื้นฐาน เหมียวอี้ถึงได้ตัดสินใจพาศีลแปดมาทดสอบ
แน่นอน สมบัติลับที่แม้แต่ตัวละครใหญ่ๆ ยังอยากได้ เหมียวอี้ไม่ได้ใจกว้างถึงขั้นมอบให้คนอื่นโดยไม่มีเหตุผล เตรียมจะไม่ให้น้ำปุ๋ยไหลออกเข้านาคนอื่น
ตอนนี้ศีลแปดกลับแปลกใจ “ท่านรู้ได้ยังไงว่าประตูนี้สร้างไว้ให้ศิษย์สำนักพุทธ รู้ได้ยังไงว่าคนที่สามารถเปิดประตูได้ตามปกติจะต้องเป็นศิษย์สำนักพุทธ?”
“เพราะข้าเคยเข้ามาแล้ว” เหมียวอี้ตอบประโยคเดียวก็อุดปากอีกฝ่ายได้
“เอ่อ…” ศีลแปดพูดไม่ออก เหตุผลนี้ทำให้เขาพูดไม่ออก คาดว่าก่อนหน้านี้พี่ใหญ่คงเข้าห้องสมบัติไปแล้วเห็นคำชี้แนะบางอย่าง
“ข้าก็เป็นศิษย์สำนักพุทธเหมือนกัน…” ศีลแปดพึมพำ แล้วหันตัวไป เริ่มถือไข่มุกราตรีขึ้นมาส่องตรวจสอบประตูบานใหญ่อย่างจริงจัง เริ่มสังเกตตัวอักษรที่อยู่บนประตู พอมองไปมองมา จู่ๆ เขาก็อุทาน “เอ” เหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่าง
เหมียวอี้ถามทันที “เป็นอะไรไป? มองเบาะแสอะไรออก?” ถึงอย่างไรเขาก็ยังหวังให้สมบัติลับนี้ตกอยู่ในมือคนฝ่ายตัวเอง
ศีลแปดแปลกใจ “บนประตูที่ปิดอยู่น่าจะเป็นตัวอักษรจากคัมภีร์ เพียงแต่ดูแล้วค่อนข้างไร้ระเบียบ เหมือนจะสลับที่กัน เอ๋…สลับที่!” พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็เหมือนจะคลำเบาะแสอะไรได้แล้ว กลอกสายตาลอกแล่กไปมา สายตากวาดอ่านตัวอักษรคัมภีร์อย่างรวดเร็ว กวาดอ่านกลับไปกลับมา
………………