เหมียวอี้ก็สังเกตได้เช่นกันว่าเขามองเบาะแสบางอย่างออกแล้ว จึงยืนเงียบอยู่ข้างๆ ไม่รบกวนความคิดของศีลแปด
ขณะที่ศีลแปดมองดู จู่ๆ ก็อุทานอีก “เอ๋” แล้วใช้นิ้วแตะตัวอักษรคัมภีร์ แตะไล่ไปเรื่อยๆ เหมือนจะกำลังนับจำนวนคัมภีร์
หลังนับเสร็จแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าศีลแปดเหม่อไป นิ้วที่ชี้นับตัวอักษรค้างอยู่กลางอากาศ เหมือนจะดึงสติกลับมาได้ยาก
เหมียวอี้รออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เป็นอะไรไป?”
ศีลแปดไม่ได้ตอบเขา แต่กลับยื่นนิ้วออกมานิ้วหนึ่ง แตะคัมภีร์ที่วุ่นวายไร้ระเบียบบนประตู ตอนแรกแตะตัวอักษร ‘หนาน’ ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร เขาออกแรงกดอีกเล็กน้อย เห็นเพียงอักษร ‘หนาน’ ส่งเสียงดังแกร๊กแล้วจมลงในประตูใหญ่
ศีลแปดหันกลับมามองเหมียวอี้ ทั้งสองมองหน้ากันเลิกลั่ก
ศีลแปดขยับลูกกระเดือกกลืนน้ำลาย แล้วถามอย่างร้อนรนนิดหน่อย “พี่ใหญ่ ใช่แบบนี้หรือเปล่า?”
เหมียวอี้กลอกตา “เจ้าถามข้า? แล้วข้าจะไปถามใคร?”
ศีลแปดยิ้มแห้ง “ก็ได้! งั้นข้าจะทดลองต่อไป ถ้าทำผิดจนประตูปิดตายไป ท่านอย่ามาโทษข้านะ”
เหมียวอี้บุ้ยปากบอกใบ้ให้เขาทำต่อ “เจ้าทำดูสิ ถึงยังไงพวกเราก็เปิดไม่ออกอยู่ดี จะปิดตายก็ปิดตายไปเถอะ รักษาม้าตายประดุจม้าเป็น[1]”
“พี่ใหญ่พูดมีเหตุผล!” ศีลแปดพยักหน้า ถ้าทำเสียเรื่องก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เขาก็มีความมั่นใจทันที หันกลับไปที่ประตูใหญ่อีก คลายนิ้วที่กดตัวอักษร ‘หนาน’ เข้าประตูออก ตัวอักษร ‘หนาน’ ยังไม่ทันเด้งขึ้นมา เขาก็ย้ายนิ้วไปกดคำว่า ‘อู๋’ ในคัมภีร์ที่ไร้ระเบียบแล้ว พร้อมทั้งกดลงไปจนมีเสียงแกร๊ก แล้วนิ้วก็ย้ายไปกคำว่า ‘อา’ ต่อ กดทีละคำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
เหมียวอี้ดูอยู่ข้างๆ เห็นกับตาว่าศีลแปดกดต่อเนื่องจนเป็นคำว่า ‘หนานอู๋อามิตตาพุทธ’
หลังงจากกดหกตัวอักษรนี้แล้ว ศีลแปดก็เหมือนจะแน่ใจอะไรบางอย่าง นิ้วที่กดขยับเร็วขึ้นเรื่อยๆ เสียงดังแกร๊กต่อเนื่องกันบนประตูบานใหญ่ ใช้เวลาไม่นาน คัมภีร์ที่ประกอบด้วยตัวอักษรสามร้อยกว่าตัวก็จมลงในประตูทั้งหมด ศีลแปดเรียกได้ว่ากดได้อย่างไหลลื่นมา ทำเสร็จภายในอึดใจเดียว
หลังจากศีลแปดกดตัวอักษรตัวสุดท้ายเสร็จแล้วเพิ่งจะคลายมือออก ก็ได้ยินเสียงปั้งดังมาก ตัวอักษรคัมภีร์สามร้อยกว่าตัวที่บุ๋มลงในประตูก็เด้งขึ้นมาพร้อมกัน กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้งตามติดด้วยเสียงกระแทกดังทึบดังมาจากจุดลึกตรงไหนสักที่ เสียงดังก้องมาตรงหน้าทั้งสอง เห็นเพียงประตูใหญ่ที่ถูกผนึกไว้เริ่มเปิดออก มันลอยขึ้นช้าๆ ด้านล่างประตูมีแสงซึมออกมา
หลังจากประตูที่ใหญ่หนาทนทานทั้งบานเลื่อนขึ้นสุดบานประตู ห้องสมบัติลับตรงหน้าที่มีแสงสว่างจากโคมไฟก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าทั้งสองแล้ว
ศีลแปดที่มาหาสมบัติด้วยอารมณ์ตื่นเต้นดีใจ ในเวลานี้เหมือนจะไม่ใส่ใจสมบัติลับตรงหน้า กลับยืนตะลึงเหม่อ พึมพำกับตัวเองว่า “พี่ใหญ่ พวกเรานี่ล้อเล่นกันมากเกินไปหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นประตูเปิดออกเพราะศีลแปด เหมียวอี้เรียกได้ว่าตื่นเต้นประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก เขาตบบ่าศีลแปด “เจ้ารอง นี่ไม่ใช่การล้อเล่น นี่คือความจริง เจ้าดูซะให้ตาลาย สมบัติลับนี่เป็นของเจ้า เจ้าควรจะดีใจสิถึงจะถูก”
ศีลแปดที่เปิดประตูห้องสมบัติแล้วไม่มีท่าทีดีใจเลยสักนิด กลับยืนกลืนน้ำลายไม่หยุด ราวกับกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
ความรู้สึกของเขาตอนนี้เหมือนจะไม่อยู่กับสมบัติลับเลยสักนิด เงยหน้ามองประตูใหญ่ที่หดขึ้นไปด้านบนอย่างตะลึงงัน แล้วพูดเหมือนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง “พี่ใหญ่ ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล ท่านไม่อยากรู้เหรอว่าอาตมาเปิดประตูบานใหญ่นี้ได้ยังไง?”
พอพูดถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็แปลกใจเช่นกัน “ท่านเปิดได้ยังไง?”
ศีลแปดยื่นมือแตะ “ก็แตะออกแบบนี้ไง มันง่ายเกินไปหรือเปล่า?” เขายังทำท่าเหมือนทำใจเชื่อได้ยาก
เหมียวอี้กลอกตามองบน “เหลวไหล! ข้าก็ดูอยู่ข้างๆ เจ้า ย่อมรู้ว่าเจ้าแตะเปิดมันแบบนี้ ข้าถามหน่อยว่าเจ้ากดให้มันเด้งขึ้นตามลำดับได้ยังไง คัมภีร์ไร้ระเบียบพวกนี้เห็นได้ชัดว่าต้องกดตามลำดับให้ถูกหมดถึงจะเปิดได้ คงไม่ได้กดมั่วแล้วเปิดได้หรอกใช่มั้ย? ข้าว่าเจ้ากดได้ไหลลื่นมาก หรือว่าเจ้าคุ้นเคยกับอักขรานุกรมที่ถูกต้องของคัมภีร์นี้?”
“แม่งเอ๊ย ก็เพราะข้าคุ้นเคยไงมันเลยแปลก!” ศีลแปดพลันหันตัวมา กล่าวด้วยสีหน้าที่เหมือนจะประสาทเสีย “ที่ข้ากดไปคืออิทธิฤทธิ์จิตส่วนสำคัญในบทนำ ‘มหาเคล็ดวิชาบรรลุแก่นธรรม’ ที่ข้าฝึก ข้าท่องจนคล่องแล้ว คุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยยังไง ท่านว่าข้าจะเรียงอักขระคัมภีร์บทนี้ถูกต้องมั้ยล่ะ?”
“…” เหมียวอี้ตกใจมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นอิทธิฤทธิ์จิตส่วนสำคัญในบทนำของเคล็ดวิชาที่เป็นศีลแปดฝึก จึงอดไม่ได้ที่จะถามซักไซ้ “เจ้าแน่ใจนะ?”
ศีลแปดเกาศีรษะล้านพร้อมกล่าวด้วยสีหน้ามึนงง “ท่านจะให้ข้ายืนยันเหรอ? ข้าจะไปยืนยันกับใครได้ล่ะ? ตอนที่ข้าตรวจอ่านดู ข้าก็แค่พบว่าตัวอักษรบนคัมภีร์พวกนี้ดูคุ้นๆ พอเลือกมาแต่งเป็นวลีถึงได้สอดคล้องกับบทนำอิทธิฤทธิ์จิตของเคล็ดวิชาที่ข้าฝึก ข้ายังนึกว่าข้ามองผิดไป ผลปรากฏว่าอักษรที่เลือกมาไม่ได้สอดคล้องแค่ประโยคเดียว เหมือนจะสอดคล้องกันทั้งหมด ข้าก็เลยนับตัวอักษรใหม่อีกรอบไง ไม่ผิดแน่ สอดคล้องกับจำนวนอักษรในบทนำอิทธิฤทธิ์จิตของเคล็ดวิชาที่ข้าฝึกทั้งหมด ทั้งยังไม่ขาดไม่เกินแม้แต่ตัวเดียว ข้าก็เลยลองกดไปตามลำดับประโยคบทนำอิทธิฤทธิ์จิต เหมือนเจอผีเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะเปิดออก นี่ไม่ใช่ว่ากำลังล้อเล่นหรอกเหรอ?”
เหมียวอี้กลับหัวเราะลั่น “นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรือไงล่ะ? พอเปิดได้แล้วก็หมายความว่าเจ้าจะได้สมบัติลับได้ ยังไม่ทันได้ดีใจเลย มาเห็นผีอะไรกัน?”
ตอนนี้เขาอารมณ์ดีมาก เขาพบว่าในที่สุดก็ได้พิสูจน์การคาดเดาของตัวเองแล้ว คนคนนั้นล่อศีลแปดกับอาจารย์ไปยังสถานที่ผนึกเพราะมีสาเหตุจริงๆ ด้วย ระหว่างศีลแปด อาจารย์ พระปีศาจหนานโปและสมบัติลับมีความเกี่ยวข้องกันจริงๆ แม้เขาจะไม่รู้ชัดว่าเกี่ยวข้องอะไรกัน แต่คนผู้นั้นไม่มีทางยิงธนูโดยไร้เป้า ทำแบบนี้จะต้องมีสาเหตุแน่นอน อย่างน้อยการทำให้ศีลแปดได้รับสมบัติลับก็ไม่ใช่การทำร้ายศีลแปด
“ดีอะไรกันล่ะ! ปัญหาใหญ่แล้วล่ะ” ศีลแปดราวกับแมวโดยเหยียบหาง กล่าวอย่างตกใจว่า “พี่ใหญ่ ท่านลองคิดดูสิ การฝึกจิตของวิชาศีลวิชาศีลจะไปสลักอยู่บนประตูห้องสมบัติสำนักหนานอู๋ได้ยังไง ท่านไม่รู้สึกแปลกใจเหรอ?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่เดียว ก่อนจะบอกว่า “ขนาดหกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่ยังถ่ายทอดไปถึงพิภพเล็กได้เลย อิทธิฤทธิ์จิตของสำนักหนานอู๋จะไปตกอยู่ในมือคนฝึกวิชาศีลอย่างพวกเจ้าที่พิภพเล็กก็ไม่เหมือนจะไม่แปลกมั้ง?”
ศีลแปดกล่าวอย่างแน่ใจว่า “แบบนี้สิแปลก! เรื่องหกเคล็ดวิชาพิเศษถ่ายทอดไปที่พิภพเล็กน่ะไม่มีปัญหาหรอก ตามตำนานบอกว่ามีศึกใหญ่หนึ่งแสนปีก่อน เกิดแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง หกเคล็ดวิชาพิเศษถึงได้โผล่มาที่พิภพเล็ก นี่คือสิ่งที่มีหลักฐาน แต่อิทธิฤทธิ์จิตของวิชาศีลไม่เหมือนกัน ศีลหกอาจารย์ของตาแก่โล้นวรยุทธ์หยุดอยู่แก่บงกชทองขั้นหนึ่ง อายุไม่ยืน ตายไปตั้งแต่หนึ่งแสนห้าหมื่นปีก่อนแล้ว ศีลห้าก็ตกอยู่ในสถานการณ์นี้เหมือนกัน สองแสนปีก่อนก็มรณะภาพท่านั่งสมาธิ เรื่องอื่นของวิชาศีลข้าก็ไม่ค่อยรู้ชัดแล้ว แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่ข้ารู้ นั่นก็คืออิทธิฤทธิ์จิตของวิชาศีลมีอยู่ที่พิภพเล็กมาแล้วอย่างน้อยสองแสนปี ไม่เหมือนที่หกเคล็ดวิชาพิเศษถ่ายทอดมาที่พิภพเล็กเลย ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันเลย ทำไมมาสลักเป็นอักขรานุกรมเปิดประตูอยู่บนประตูห้องสมบัติลับสำนักหนานอู๋ได้ แบบนี้ไม่เหลวไหลไปหน่อยเหรอ?”
เหมียวอี้เงียบไป พอพูดแบบนี้ ก็ฟังดูแปลกจริงๆ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
“หรือว่าคัมภีร์ระระเบียบพวกนี้ยังสามารถรวมกันเป็นคัมภีร์บทอื่นได้อีก?” ศีลแปดสงสัย
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ภายใต้สถานการณ์ที่ตัวอักษรสอดคล้องกันหมด มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่จะรวมกันเป็นคัมภีร์อีกบท แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ประเด็นสำคัญคือสามารถเปิดประตูบานนี้ได้ตามอิทธิฤทธิ์จิตที่เจ้าฝึก นั่นก็น่าจะไม่ผิด คงไม่ใช่ว่ากดลำดับมั่วแล้วจะเปิดได้เหมือนกันหรอกใช่มั้ย? ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเห็นตัวอักษรตอนที่เจ้าเริ่มกดเหมือนจะเป็น ‘อู๋หนานอามิตตาพุทธ’ สินะ? อักษรสองตัวในบทนำของอิทธิฤทธิ์จิตของวิชาศีลเหมือนจะประทับรอยตราบน ‘หนานอู๋’ แล้ว พอดูจากมุมนี้ ก็เหมือนจะเกี่ยวข้องกับสำนักหนานอู๋เหมือนกันนะ”
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ไม่ได้ ข้าต้องไปถามตาแก่โล้น ตาแก่โล้นคงไม่ได้มีอะไรปิดบังข้าหรอกใช่มั้ย?” ศีลแปดรีบหยิบระฆังดาราออกมา ขณะเตรียมจะติดต่อไต้ซือศีลเจ็ด เขาก็ตบหน้าตัวเองอีก พบว่าตัวเองเลอะเลือนแล้วจริงๆ ศีลเจ็ดอยู่ที่สถานที่ผนึก ถ้าติดต่อได้ก็แปลกแล้ว
เขากำลังจะเก็บระฆังดารา แต่เหมียวอี้กลับเตือนว่า “บางทีไต้ซือศีลเจ็ดอาจจะสลับไปเลี้ยงลูกเจ้าที่ดาวเคราะห์อีกดวงแล้ว”
ศีลแปดพยักหน้า แล้วเขย่าระฆังดาราติดต่อทันที ไม่นานก็ตาเป็นประกาย “ติดต่อได้แล้ว อยู่ที่นั้นจริงๆ ด้วย แม่งเอ๊ย ไม่น่าตบหน้าตัวเอง!”
เหมียวอี้เตือนอีกครั้ง “อย่าเปิดเผยเรื่องสมบัติลับที่นี่นะ”
“เข้าใจๆ ถ้าโดนตาแก่โล้นขอทานขึ้นมา อาตมาจะไปร้องไห้ที่ไหนได้ล่ะ” ศีลแปดหัวเราะแห้งๆ แล้วก็เริ่มรวบรวมสมาธิติดต่อกับไต้ซือศีลเจ็ด
หลังจากผ่านพักใหญ่ ศีลแปดถึงได้หยุดติดต่อ ขมวดคิ้วเก็บระฆังดาราเงียบๆ
“เป็นยังไงบ้าง?” เหมียวอี้ถาม
ศีลแปดส่ายหน้า “ตาแก่โล้นก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกันว่าวิชาศีลกับสำนักหนานอู๋จะเกี่ยวข้องอะไรกันได้ ไม่เคยได้ยินอาจารย์คนอื่นเอ่ยถึงเลย ตาแก่โล้นน่าจะไม่ได้โกหก เรื่องนี้แปลกจริงๆ”
ในเมื่อตอนนี้ยังคลายปริศนาก้อนนี้ไม่ได้ เหมียวอี้ก็ไม่คิดจะหัวพันกับปัญหานี้อีก เขาเชื่อว่าคนผู้นั้นจะต้องมีเหตุผลแน่นอน เหมียวอี้ถาม “เจ้ารอง นี่ไม่เหมือนเจ้าเลยนะ มีสมบัติลับอยู่ตรงหน้าดันไม่สนใจ เจ้ายังมีกะจิตกะใจมากังวลเรื่องนี้อีกเหรอ?”
“เอ๋…” ศีลแปดยกมือตบศีรษะล้าน แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “ใช่แล้วๆ พี่ใหญ่พูดถูก อาตมาเลอะเลือนแล้ว จะไม่สนใจสาเหตุทำไม พวกเราต้องกวาดสมบัติลับก่อนสิถึงจะเป็นงานหลัก” เขาหันตัวไปมองห้องสมบัติลับที่มีแสงจากโคมไฟด้วยดวงตาลุกวาว แต่ก็ยังถามอย่างระมัดระวังอีก “พี่ใหญ่ ในห้องสมบัติลับนี่คงไม่ได้มีกลไกอะไรที่เล่นงานถึงตายใช่มั้ย?”
“เจ้าคิดว่าคนสำนักพุทธสกปรกโสมมเหมือนเจ้าหมดเลยเหรอ?” เหมียวอี้ยื่นมือไปออกแรงผลักหลังเขา ผลักจนโซเซเข้าไปข้างใน จากนั้นเหมียวอี้ก็ตามเข้าไป
สองพี่น้องเดินเคียงข้างกันเข้าไป เดินลงไปตามธรรมจักรฐานบัวในห้องสมบัติ เหมียวอี้เดินลงบันได แต่ศีลแปดกลับยืนมองห้องสมบัติอันกว้างใหญ่ห้องนี้อยู่บนบันไดอย่างเหม่อลอย
แม้ก่อนหน้านี้จะได้ยินเหมียวอี้บอกแล้วว่าทั้งห้องสมบัติล้วนทำจากผลึกแดงบริสุทธิ์ แต่ต่อให้นอนฝันเขาก็นึกไม่ถึงว่าห้องสมบัติจะใหญ่โตขนาดนี้ ระดับความสูงของพื้นที่ว่างน่าจะสูงนับร้อยจั้ง ขนาดเท่านี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าจะใช้ผลึกแดงบริสุทธิ์ไปมากขนาดไหน
…………………………
[1] รักษาม้าตายประดุจม้าเป็น 死马当活马医 อุปมาว่าแม้จะรู้ว่ามีความหวังน้อยนิดแต่ก็ยังพยายาม