ตอนยังไม่คิดหมกมุ่นก็ยังดีอยู่ แต่พอคิดต่อไปเรื่อยๆ สีหน้าศีลแปดก็ผิดปกติทันที ดวงตาสองข้างเริ่มเหม่อลอยทีละนิด จ้องภาพนั้นไม่ละสายตา มองจนเหมือนอารมณ์ตกอยู่ในสภาวะลุ่มหลง
รอไปได้ครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ตะโกนเรียก “เจ้ารอง!”
ผลก็คือพบว่าศีลแปดไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เหมียวอี้จึงยื่นหน้าไปมองแวบหนึ่ง ผลลัพธ์ทำให้ต้องตกใจ เห็นเพียงศีลแปดกำลังน้ำตาไหลเงียบๆ น้ำเอ่อไหลจากดวงตาไม่ขาดสาย ไหลอาบแก้มลงมา เหมียวอี้มองไปตามภาพที่เขามองแวบหนึ่ง ทำให้พอจะเข้าใจคร่าวๆ ว่าศีลแปดคงจะตกอยู่ในสภาพแบบที่ตัวเองเคยเป็นมาก่อน
เมื่อผ่านประสบการณ์มาก่อนแล้ว เหมียวอี้ก็รู้ว่าจะไม่เป็นอะไร จึงไม่ได้ไปรบกวนง่ายๆ หวังเช่นกันว่าศีลแปดจะสามารถมองเบาะแสบางอย่างออกจากสิ่งนี้ เพียงแต่แปลกใจนิดหน่อยว่าศีลแปดเห็นฉากอะไร ไม่น่าเชื่อว่าจะน้ำตาไหลพรากอย่างนี้ ศีลแปดร้องไห้จนเลอะเลือน ไม่รู้เหมือนกันว่าศีลแปดกำลังมองภาพไหน เมื่อเขาขบคิดถึงรสชาติที่เคยสัมผัสก็ค่อนข้างขัดแย้งเช่นกัน ไม่อยากเข้าไปอยู่ในฉากอย่างนั้นอีก
หลังจากรออยู่นาน ถึงได้ยินศีลแปดส่ายหน้าถอนหายใจอย่างเศร้าสลด ในระหว่างนั้นยังมีเสียงสะอื้นด้วย
เหมียวอี้รู้ว่าเขาได้สติแล้ว จึงถามว่า “เจ้ารอง เป็นอย่างที่ข้าบอกหรือเปล่า เจ้าเห็นอะไรมั้ย?”
ศีลแปดเหมือนจะไม่อยากเอ่ยถึงฉากในภาพนั้นอีก ส่ายหน้าตอบว่า “พี่ใหญ่ เหมือนข้าจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ท่านให้ข้าดูอีกสักหน่อย” เขายกแขนเสื้อปาดน้ำตา หันตัวไปเล็กน้อย แล้วย้ายสายตาไปยังภาพต่อไป
เมื่อได้ยินเขาบอกว่าเหมือนจะเข้าใจแล้วนิดหน่อย เหมียวอี้ก็เงียบทันที จึงไม่กล้าไปรบกวนง่ายๆ อีก
แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับศีลแปดตอนหลังกลับทำให้เหมียวอี้เริ่มขนลุก บางครั้งก็จะเห็นศีลแปดเงียบงันไม่พูดจา บางครั้งก็จะเห็นศีลแปดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง บางครั้งก็จะเห็นศีลแปดร้องไห้โดยไร้เสียง บางทีก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ บางครั้งก็ทำท่าจงเกลียดจงชังโลกอันเน่าเฟะ
สรุปก็คือสภาวะที่น่าหวาดกลัวต่างๆ ดูประหลาด เหมียวอี้กลัวว่าเขาจะบ้ามาทำอะไรตน จึงถลันตัวลงจากฐานดอกบัวเก้าชั้น อยู่ให้ห่างจากเขาหน่อย
หลังจากนั้นหลายวัน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจลึกดังมาจากบนฐานดอกบัว เหมือนเสียงถอนหายใจนั้นแฝงอารมณ์ไว้หลากหลาย เหมียวอี้จึงเงยหน้ามอง เห็นเพียงศีลแปดหลับตาแล้ว กำลังประนมมือสองข้างพึมพำ”มิใช่มารมิใช่เคราะห์ ไม่ยึดติดไม่เพ้อฝัน ไร้ฝุ่นไร้ราคี ไม่สัมผัสไม่คล้อยตาม อย่ารักอย่าโกรธ ยากจะหาจุดเริ่มต้น ยากจะหาจุดจบ หยิบยื่นบุปผา เป็นเพียงฝันฉากหนึ่ง…” เขาพึมพำซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น เหมือนกำลังชำระล้างความคิดต่างๆ ของตัวเอง
เหมียวอี้รู้ว่าศีลแปดได้สติกลับมาแล้ว จึงเหาะขึ้นไปบนฐานดอกบัวอีก ผลปรากฏว่ายังไม่เห็นศีลแปดหยุดพึมพำ
หลังจากศีลแปดพึมพำประโยคพวกนั้นสิบกว่ารอบ ทันใดนั้นก็ร่ายอิทธิฤทธิ์เปล่งเสียงว่า “อามิตตาพุทธ!” เพื่อเป็นการจบ จากนั้นลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาสองข้างใสสะอาด สดใส บนใบหน้าผุดผ่องไร้ราคี
ทว่าเสียงจากการร่ายอิทธิฤทธิ์กลับทำให้เกิดเสียงดังก้องไม่ขาดสายในห้องสมบัติลับ
ตอนแรกเสียงที่ดังก้องเป็นประโยค ‘อามิตตาพุทธ’ ของศีลแปด หลังจากดังซ้ำหลายครั้งเป็นท่วงทำนอง ก็ไม่น่าเชื่อว่าประโยค ‘อามิตตาพุทธ’ จะเปลี่ยนเสียงแล้ว กลายเป็นมี ‘หนานอู๋อามิตตาพุทธ’ ดังปะปน
“หนานอู๋อามิตตาพุทธ…หนานอู๋อามิตตาพุทธ…หนานอู๋อามิตตาพุทธ…”
ชั่วพริบตานั้นรอบข้างก็เหมือนจะเสียงเทพพุทธนับหมื่นกำลังเอ่ยนามพระพุทธเจ้าอย่างพร้อมเพรียงกัน เหมียวอี้มองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าตกใจ แล้วก็เหมือนจะได้ยินพระพุทธรูปสามองค์นั้นกำลังพูดเช่นกัน และความแตกต่างของเสียงหนักเสียงเบานั่น ก็เหมือนจะมาจากการผสมระหว่างพุทธะองค์ก่อนและพุทธะองค์ต่อไป ราวกับว่าเสียงประสานของเทพพุทธนับหมื่นที่อยู่ท่ามกลางพุทธะองค์ก่อน องค์ปัจจุบันและองค์ต่อไปได้ข้ามกาลเวลามารวมอยู่ที่นี่แล้ว ทำให้ในพื้นที่ว่างคลังสมบัติขนาดใหญ่เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่เคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์
จู่ๆ ร่างกายก็ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์นี้ เหมียวอี้ก็เหมือนจะสัมผัสได้อย่างแท้จริงถึงความยิ่งใหญ่ทรงพลัง น่าเกรงขาม สูงส่งของพุทธธรรม ตัวเองราวกับเล็กน้อยเหมือนฝุ่นผงในจักรวาลอันไร้ที่สิ้นสุด ฐานะแม่ทัพภาคแดนอเวจีอะไรนั่นก็เล็กน้อยจนไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง
ศีลแปดมีสีหน้าสงบนิ่ง ทั้งยังให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเงี่ยหูตั้งใจฟัง เหมือนกำลังตั้งใจฟังพุทธะองค์ก่อน แล้วก็เหมือนกำลังตั้งใจฟังองค์ต่อไป ทำให้รู้สึกลี้ลับที่สุด
ไม่รู้ว่าทำซ้ำไปกี่รอบ ตอนที่เสียงเริ่มบางเบาหายไปในความลึกลับ ในห้องสมบัติลับก็กลับมาสงบอีกครั้ง
“ฟู่ว!” เหมียวอี้ถอนหายใจยาว เมื่อครู่นี้รู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการชำระร่างกายใจที่สัมผัสถึงจิตวิญญาณ ทำเอาเขาแทบจะคุกเข่าทำความเคารพ พอได้สติกลับมาแล้ว ก็ถาม “ศีลแปด ความเคลื่อนไหวนี้เจ้าเป็นคนบรรลุเหรอ?”
สีหน้าผุดผ่องไร้ราคีบนใบหน้าศีลแปดหายไปแล้ว เขาตอบกลั้วหัวเราะ “พี่ใหญ่ ท่านประเมินข้าสูงไปแล้วมั้ง เมื่อครู่ข้าถูกปนเปื้อนจากอารมณ์ในภาพวาดเท่านั้น หลังจากลำบากพยายามทำจิตให้ว่าง ก็ยังรู้สึกถอนตัวไม่ค่อยไม่ขึ้น จึงเอ่ยนามพระพุทธเจ้าไม่หยุดเพี่อตัดความพะวงเล็กน้อยนั่น เดิมทีก็ทำโดยไม่ตั้งใจ นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเกิดความเคลื่อนไหวอย่างนั้น…ห้องสมบัติลับที่สำนักหนานอู๋สร้างขึ้นเหมือนจะทุ่มเทความคิดไปไม่น้อยเลย! ดูท่าแล้วห้องสมบัตินี้จะมีประโยชน์ต่อการฝึกตนจริงๆ”
พอเหมียวอี้ได้ฟังก็เข้าใจทันที เขามองไปรอบๆ มองจากจุดที่สร้างเสียงสะท้อน โครงสร้างพิเศษของห้องสมบัตินี้แปลกพิสดารจริงๆ ทุ่มเทความคอกไปไม่น้อยกว่าจะสร้างออกมาได้ ตอนที่สร้างห้องสมบัติก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสำนักหนานอู๋ทุ่มเทความคิดไปมากเท่าไร
“แต่ข้าก็บรรลุอะไรบางอย่างแล้วจริงๆ” ศีลแปดที่มองไปรอบห้องอย่างทอดถอนใจพลันกล่าวเสริม ก้มหน้าฐานดอกบัวใต้เท้าด้วยสี่หน้าหลากอารมณ์ “ข้าว่าข้าพอจะเข้าใจเจตนาที่สร้างฐานดอกบัวไว้ตรงนี้แล้ว”
“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้ถาม
ศีลแปดทอดถอนใจอย่างที่พบเห็นไม่บ่อย จากนั้นนั่งขัดสมาธิ “ก่อนหน้านี้ไม่มีเบาะแสเลยดูไม่ออก ตอนนี้ดูออกแล้วจึงพบว่ามันง่ายมาก ภาพที่สลักไว้บนผนังรอบๆ แฝงไว้ด้วยสภาพหลากหลายในโลก ตอนที่นั่งอยู่บนฐานสูง สามารถมองภาพสลักได้รอบห้อง ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็ล้วนมองเห็นสภาพหลากหลายในโลก สิ่งที่เรียกว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต ไม่มีสิ่งใดที่มิได้อยู่ในสภาพหลากหลายในโลกนี้ สภาพต่างๆ ในโลกยากจะหนีพ้นจากรูปพวกนี้ได้ เมื่อนั่งอยู่ตรงนี้ก็จะได้เผชิญหน้ากับอดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นการนำอดีต ปัจจุบันละอนาคตมารวมกันจริงๆ อยู่ที่นี่แม้จะไม่ได้ก้าวออกไปไหน แต่ก็จะเข้าใจสภาพหลากหลายในโลกอย่างถ่องแท้ มีประโยชน์ต่อการฝึกตนของศิษย์สำนักพุทธจริงๆ พอมานึกดูตอนนี้ เกรงว่าห้องสมบัติของสำนักหนานอู๋นี่จะเกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาศีลของข้าจริงๆ”
“เจ้าแน่ใจเหรอ?” เหมียวอี้ตื่นเต้นดีใจ
ศีลแปดเงียบไปครู่เดียว แล้วกล่าวอย่างลังเล “ก็ ‘มหาเคล็ดวิชาบรรลุแก่นธรรม’ ที่ข้าฝึกเน้นการบรรลุธรรม สิ่งที่ฝึกก็คือใจ ภาพในห้องนี้คือตัวเสริมที่ดีที่สุดในเคล็ดวิชาที่ข้าฝึก สามารถช่วยให้บรรลุธรรมได้ อีกทั้งบทนำอิทธิฤทธิ์จิตบนประตูก็คือหลักฐานพิสูจน์ที่ดีที่สุด ข้าก็แค่แปลกใจ เคล็ดวิชาที่สำนักหนานอู๋ฝึกไปโผล่ที่พิภพเล็กจนกลายเป็นวิชาศีลที่ข้าฝึกได้ยังไง ถ้าไมตั้งแต่ข้าฝึกวิชาศีลมายังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย?”
พอได้ยินเขาพูดอย่างนี้ ในที่สุดเหมียวอี้ก็แน่ใจแล้วว่าทำไมคนผู้นั้นถึงตั้งที่ซ่อนสมบัติสุดท้ายไว้ที่นี่ ทั้งยังเกี่ยวข้องกับการล่อให้ศีลแปดและอาจารย์ไปยังสถานที่ผนึกด้วย ก็เพราะต้องการให้ตนพาคนที่ฝึกวิชาศีลมาที่นี่
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็จมอยู่ในความคิดอีกครั้ง ในเมื่อต้องการให้ตนล่อคนที่ฝึกวิชาศีลมาที่นี่ ทำไมคนผู้นั้นไม่นำคนที่ฝึกวิชาศีลมาเองเลยล่ะ ทำไมต้องอ้อมค้อมแบบนี้ แล้วคนผู้นั้นนำคนที่ฝึกวิชาศีลไปยังสถานที่ผนึกเพราะมีจุดประสงค์อะไร?
เมื่อคิดไปคิดมา จู่ๆ เหมียวอี้ที่เริ่มเรียบเรียงความคิดได้ก็ทำสีหน้ากระจ่าง เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว เขามองศีลแปดอย่างตะลึงงันครู่หนึ่ง
“ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าที่นี่ไม่มีของอะไรทั้งนั้น สมบัติที่มีค่าให้สำนักหนานอู๋ซ่อนไว้ เกรงว่าคงจะเป็นภาพสลักที่อยู่เต็มห้องพวกนี้” ศีลแปดลุกขึ้นช้าๆ แล้วมองภาพสลักฝาผนังรอบห้องอีกครั้ง “ภาพสลักพวกนี้คงจะเป็นหยาดหงื่อแรงงานของพระชั้นสูงหลายยุคในสำนักหนานอู๋ ใช่สิ่งที่คนยุคเดียวจะสร้างได้ นี่ต่างหากสมบัติที่มิอาจประเมินค่าของสำนักหนานอู๋!”
จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเป็นพูดด้วยท่าทางจริงจัง เหมียวอี้กลับไม่ค่อยคุ้นเคย ถามว่า “รู้ได้ยังไงว่าเป็นฝีมือของพระชั้นสูงหลายยุคของสำนักหนานอู๋?”
ศีลแปดทำท่ากางแกนกอดไปรอบๆ “ภาพที่มีขนาดเพียงฝ่ามือ เรื่องราวที่มีแค่ไม่กี่หน้า ในพื้นที่ว่างที่ใหญ่ขนาดนี้จะมีสักกี่หน้ากันล่ะ? มีเรื่องราวสุขเศร้าสมหวังในโลกนี้มากมายเท่าไร? แม้คนในแดนฝึกตนจะยืดอายุขัยได้ แต่การมีชีวิตยาวนานก็หมายความว่าใช้เวลาในการฝึกตนยาวนานยิ่งกว่า ประสบการณ์ชีวิตของนักพรตคนหนึ่ง เกรงว่าอาจจะไม่เยอะไปกว่ามนุษย์ธรรมดาสักเท่าไร ขอถามพี่ใหญ่หน่อยว่าอยู่มานานขนาดนี้แล้ว เรื่องราวในโลกที่เคยได้เห็นมีเรื่องที่เหมือนสักสองสามเรื่องจากพันกว่าเรื่องในห้องนี้มั้ย?”
เหมียวอี้หันมองรอบห้อง คาดว่าเรื่องราวให้ห้องนี้คงจะนับได้เป็นแสนเป็นล้าน เรื่องราวหนึ่งในพันส่วน เรื่องราวที่ได้เห็นกับตาก็คงเกือบพันเรื่อง ตัวเองใช้ชีวิตมานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นเรื่องราวมากขนาดนี้เลย เพราะเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกตน
เขาส่ายหน้าตอบ “ไม่เคย!”
ศีลแปดไม่พูดอะไรมากกว่านี้แล้ว ชี้ไปที่มุมด้านล่างขวา “ตรงนั้นยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ คาดว่ายังไม่ทันบรรยายเรื่องราวครบ สำนักหนานอู๋ก็ถูกฆ่าล้างสำนักแล้ว ถ้าเป็นเรื่องที่บ่มเพาะไว้ตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ สำนักหนานอู๋คงอยู่มานานขนาดนี้ ถ้าจะทำงานให้เสร็จก็น่าจะเร็วมาก จากสิ่งนี้จะเห็นได้ถึงความเข้มงวดในการสลักภาพเรื่องราวของที่นี่ น่าจะไม่ได้สร้างจากจินตนาการ”
เหมียวอี้ไม่ได้สนใจสิ่งนี้ ถามว่า “เจ้าคิดว่าภาพพวกนี้เกี่ยวข้องกับพุทธธรรมไร้ขอบเขตที่สำนักหนานอู๋ซ่อนไว้หรือเปล่า?”
ศีลแปดพยักหน้าเงียบๆ “ความสุขความทุกข์ รสหวานรสขม รักโลภโกรธหลงในโลกนี้แทบจะมาอยู่ในภาพวาดที่นี่หมดแล้ว ภาพวาดพวกนี้นับว่าครอบคลุมสรรพชีวิตแล้วจริงๆ ถ้าฝึกตนได้ถึงระดับที่ห้องนี้แสดงไว้จริงๆ ก็เท่ากับฝึกตนสำเร็จแล้ว พุทธธรรมไร้ขอบเขตที่รวมปัจจุบันและอนาคตไว้ในกายเดียว เกรงว่าคงจะไม่มีใครฝึกสำเร็จได้”
“เพราะอะไร?” เหมียวอี้แปลกใจ
ศีลแปดหัวเราะร่าทันที “พี่ใหญ่ก็เคยลิ้มรสชาติตอนจิตเข้าไปอยู่ในภาพพวกนี้แล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าใครตระหนักรู้ภาพทั้งหมดได้จริงๆ ยังไม่ตองพูดถึงทุกภาพหรอก ต่อให้ตระหนักรู้สักหนึ่งในสิบภาพ แต่อารมณ์มากมายขนาดนั้นไปรวมอยู่บนตัวคนคนเดียว ท่านคิดดูสิว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง ต้องทำให้คนเป็นบ้าแน่นอน มีความเป็นไปได้สูงมากว่าเข้าไปในภาพแล้วจะออกมาไม่ได้อีก ถ้าอยากจะบรรลุแก่นธรรมก็ลำบากมาก!”
เหมียวอี้สูดหายใจลึกด้วยความตระหนก คิดไปคิดมาก็เป็นเหตุผลนี้จริงๆ อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ถ้าให้ระดับบรรลุธรรมอย่างไต้ซือศีลเจ็ดมาฝึกพุทธธรรมนี้จะเป็นยังไง?”
“ท่านหมายถึงตาแก่โล้นน่ะเหรอ?” ศีลแปดกลอกตา กล่าวกลั้วหัวเราะต่อ “ข้าว่านะพี่ใหญ่ นี่ท่านอยากจะทำร้ายเขาหรืออยากจะให้เขาสมปรารถนา? ข้าไม่ได้ว่าเขานะ อย่างเขาน่ะไม่นับว่าบรรลุธรรมอะไรหรอก แค่ถือว่าหัวรั้นเท่านั้น จะเรียกว่าคร่ำครึก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไปสักนิด แค่สร้างมาตรฐานคำว่า ‘ดีงาม’ ให้เขาสักมาตรฐาน เขาก็เชื่อแล้ว ทั้งยังดึงดันด้วย ไม่แยกแยะผิดถูกจริงๆ เป็นคนไม่เอาเรื่องเอาราวกับใครก็เท่านั้นเอง เกี่ยวบ้าอะไรกับบรรลุธรรมล่ะ สิ่งที่เรียกว่าบรรลุธรรมหมายถึงอะไร? มันก็คือการรู้จักถือรู้จักปล่อย ตาแก่โล้นนั่นไม่เคยถือเลย แล้วจะวางได้ยังไง? ข้ายกตัวอย่างให้ท่านแล้วกัน พูดถึงพระปีศาจหนานโป ปีศาจเฒ่านั่นเสียเวลากับข้าไปตั้งกี่ปี พูดจนปากจะฉีกแล้วก็ยังดลใจข้าไม่ได้เลย แต่พอตาแก่โล้นมา ก็จบเห่สิ แค่สองสามครั้งก็สยบให้หลักพุทธธรรมของปีศาจเฒ่านั่นแล้ว ทั้งยังเอาศีรษะโขกพื้นคารวะปีศาจเฒ่านั่นเป็นอาจารย์ โชคดีที่นะที่ข้าทุบเขาจนสลบ ไม่อย่างนั้นน่ะบันเทิงแน่ ด้วยจิตใจอย่างตาแก่โล้นน่ะ ท่านจะให้เขามาสัมผัสความรู้สึกพวกนี้เหรอ? ท่านเชื่อมั้ยว่าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปี เขาก็จะเป็นบ้าอยู่ที่นี่แล้ว นี่ไม่ใช่ว่าท่านทำร้ายเขาหรอกเหรอ?”
………………