หลังจากขอตัวออกไปแล้ว สวีถังหรานที่ออกมาถึงตำหนักในก็ทักทายพวกเฟยหง หลินผิงผิงบนลานกว้างหน้าตำหนัก ขณะเดียวกันก็บอกใบ้ให้มองตรงแท่นสังเกตการณ์ ทำให้พวกนางพบว่าเหมียวอี้กำลังมองพวกนางอยู่จากข้างบน จึงอดไม่ได้ที่จะแยกย้ายกันไปเพราะความเขินอาย สงสัยว่าท่าทางเสียกิริยาอาการของตัวเองตอนเล่นกันอยู่ในสายตานายท่านหัวหน้าภาคแล้วหรือเปล่า
ถ้าไม่ไล่พวกนี้ให้แยกย้ายไป แล้วตัวเองจะดึงตัวตัวฮูหยินกลับไปหาความสำราญได้อย่างไร สวีถังหรานหัวเราะแห้ง แล้วดึงมือเสวี่ยหลิงหลงเดินออกไป
“สวีถังหรานคนนี้นี่นะ!” เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ส่ายหน้าหัวเราะ จากนั้นก็เดินลงมาข้างล่าง
หลังจากกลับเข้ามาในห้อง ก็เห็นอวิ๋นจือชิวนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยสีหน้าเศร้าสลด เหมียวอี้ปล่อยให้เชียนเอ๋อร์ถอดเสื้อผ้าให้แล้วเดินไปข้างหลังอวิ๋นจือชิว ใช้สองมือประคองไหล่นาง แล้วถามอย่างแปลกใจ “เป็นอะไรไป? เพราะไม่ได้เจอลี่หัวเหรอ หรือเป็นเพราะคนปราสาทดำเนินจันทร์ชักสีหน้าใส่เจ้า?”
ไม่ใช่แพราะอะไรพวกนั้นเลย อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า นางจ้องตัวเองในกระจกพลางถามว่า “หนิวเอ้อร์ ยิ่งนับวันข้ายิ่งดูอัปลักษณ์ลงใช่มั้ย?”
เหมียวอี้งงทันที ชำเลืองอวิ๋นจือชิวที่กำลังจ้องกระจกแวบหนึ่ง แล้วตอบว่า “นี่ก็สวยมากแล้วไม่ใช่เหรอ? ข้าว่าผู้ชายข้างนอกที่เห็นความงามของฮูหยินแล้วเฝ้าคะนึงหาคงมีเป็นโขยงใหญ่แล้วล่ะ”
“อย่ามาพูดเล่นหน่อยเลย!” อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขา แล้วใช้ข้อศอกกระทุ้งเหมียวอี้เบาๆ ไม่ได้รู้สึกดีใจหลังจากได้ฟังคำพูดหวานไพเราะเลย กลับยกมือชี้หางตาตัวเอง “ตรงนี้ของข้ามีริ้วรอยแล้ว เจ้าไม่เห็นเหรอ?”
ริ้วรอย? เหมียวอี้ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งนี้เลยจริงๆ ย้ายไปมองหน้าตรงของอวิ๋นจือชิว ใช้สองมือประคองใบหน้างามของนาง มองตามจุดที่นางชี้ เห็นเพียงตรงหางตาบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาดุจหยกมีริ้วรอยเส้นหนึ่งจริงๆ จึงอดไม่ได้ที่จะหลุดขำ “ยังนึกว่าเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก ก็ริ้วรอยเล็กน้อยเองไม่ใช่เหรอ ควรค่าให้เจ้าเศร้าสลดขนาดนี้ด้วยเหรอ?”
ผู้ชายไม่มีวันเข้าใจระดับความใส่ใจที่ผู้หญิงมีต่อความงามของตัวเอง อวิ๋นจือชิวไม่ใช่แค่กำจัดอารมณ์นี้ไม่ได้ กลับเสียความรู้สึกยิ่งกว่าเดิม “หนิวเอ้อร์ เจ้าบอกความจริงมา อย่ามาตบตาข้า ข้าแก่แล้วใช่มั้ย?”
“ฮ่าๆ!” เหมียวอี้หัวเราะไม่หยุด ส่ายหน้าบอกว่า “ถ้ามีริ้วรอยเดียวแปลว่าแก่ แล้วเจ้าจะให้หลินผิงผิงรู้สึกยังไง? วันหลังอย่าไปพูดแบบนี้ต่อหน้าหลินผิงผิงเชียว ไม่อย่างนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่านางจะพร่ำบ่นร้องทุกข์ต่อหน้าเจาชิงยังไงอีก”
อวิ๋นจือชิวพลันยืนขึ้น โผเข้าอ้อมกอดเขา เอามือคล้องคลอแล้วซบบ่าเขา “หนิวเอ้อร์ ข้าเริ่มกลัวแล้ว”
เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนี้ เชียนเอ๋อร์ก็ถอยออกจากห้องทันที แล้วปิดประตูไว้
เหมียวอี้เอามือลูบหลังอวิ๋นจือชิว “ผ่านลมผ่านฝนมาเยอะขนาดนี้ มีอะไรน่ากลัว สรรพสิ่งอยู่ที่คนกำหนด”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่ได้หมายถึงสิ่งนี้ ข้าอายุมากกว่าเจ้าตั้งเยอะ รอจนเจ้าถึงช่วงอายุที่รุ่งโรจน์ ข้ากลับกลายเป็นผู้หญิงแก่ไปแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าจะยังชอบข้าหรือเปล่า?”
เหมียวอี้หนักใจทันที ที่แท้ก็กังวลเรื่องนี้ จึงตบหลังนางเบาๆ “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าแก่ไวกว่าเจ้าแน่นอน เจ้าไม่ดูเสียบ้างล่ะว่าปกติเจ้าใช้เวลาบำรุงใบหน้าขนาดไหน ต่อให้ข้าประจบก็ยังเทียบไม่ติด”
“ผู้ชายอย่างพวกเจ้าไม่เหมือนผู้หญิงอย่างพวกเรา จะแก่ไปหน่อยก็ไม่เป็นไร กลับจะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ” อวิ๋นจือชิวบ่นอย่างเสียความรู้สึกนิดหน่อย “รอจนหน้าตาข้าไม่สวยสดใสแล้ว เจ้าจะรู้สึกขัดตาข้าหรือเปล่า พอเห็นข้าแล้วจะรู้สึกรำคาญหรือเปล่า เวลาข้าอาละวาดเจ้าก็จะทนไม่ได้อีกใช่มั้ย จะเหม็นขี้หน้าข้าและใส่อารมณ์กับข้าหรือเปล่า? แค่ข้าคิดว่าถึงตอนนั้นเจ้าจะมองข้าด้วยสายตาแบบนั้น ข้าก็กลัวแล้ว ความกลัวอุดอยู่ในใจ” พอพูดถึงตรงนี้นางก็น้ำตาไหลแล้ว
เหมียวอี้นึกไม่ถึงว่าริ้วรอยเส้นเดียวจะทำให้นางนึกเชื่อมโยงไปมากมายขนาดนี้ เขาหันหน้ามาจูบคอนาง แล้วกล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องชิว เจ้าไม่ต้องห่วง เจ้าจะเป็นฮูหยินของข้าตลอดไป ผู้หญิงในใต้หล้านี้มีแค่เจ้าคนเดียวที่ใส่อารมณ์กับข้าได้ ข้าอนุญาตให้เจ้าอาละวาดใส่ข้าไปทั้งชีวิต ตั้งแต่วันที่ข้าแต่งงานกับเจ้า เหมียวอี้คนนี้ก็ไม่เปลี่ยนใจจากเจ้าแล้ว ชีวิตนี้ไม่นึกเสียใจ!”
อวิ๋นจือชิวยิ้มทั้งน้ำตาทันที ในใจรู้สึกอบอุ่นมีความสุข กอดคอเขาไว้แนบแน่น “เจ้าพูดจริงเหรอ?”
“จริงจนไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว เจ้าวางใจได้ ในเมื่อเจ้ารักสวยรักงามขนาดนี้ ข้าจะพยายามหาของที่ช่วยรักษาความอ่อนเยาว์ของเจ้าตลอดไป”
“หนิวเอ้อร์ การที่ชีวิตนี้ข้าได้แต่งงานกับเจ้า เป็นสิ่งที่ดีงามในใจข้า…มือเจ้าคลำอะไรน่ะ?” ขณะที่กำลังพูด จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็เงยหน้าถลึงตา เอามือข้างหนึ่งคว้ามือบนก้นตัวเองไว้
“ข้าต้องตรวจสอบสักหน่อย ดูว่าตรงอื่นมีรอยย่นอีกหรือเปล่า” เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไร้ยางอาย…อ๊ะ!” อวิ๋นจือชิวสะบัดมือเขาเตรียมจะเดินหนี ผลปรากฏว่าต้องร้องอุทาน เพราะถูกเหมียวอี้ดึงกลับมา แล้วอุ้มเดินไปที่เตียงทันที
อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปาก มองเขาอย่างเสน่หารักใคร่ ดวงตาหยาดเยิ้มฉ่ำน้ำ ค่อนข้างออดอ้อน…
หลังจากนั้นไม่กี่วัน นางคณิกาคนหนึ่งในหออาวรณ์รับแขกในห้องแล้วไม่ออกมาเสียที กระทั่งคนในหอเข้าไปดู ถึงได้เห็นนางนอนเปลือยเลือดไหลอยู่บนเตียง ร่างกายกับศีรษะอยู่แยกกันคนละที่แล้ว ตายตาไม่หลับ ส่วนแขกก็หายไปไหนตั้งนานแล้วก็ไม่รู้
หลังจากส่งกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่ประจำอยู่ตลาดสวรรค์ไปตรวจสอบ ก็ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างขอไปทีเท่านั้น ถ้าทวงความยุติธรรมให้คนตายประเภทนี้อย่างเอาจริงเอาจัง ก็จะทำให้คนที่เหยียบนางไม่พอใจ เรื่องน้อยดีกว่าเรื่องเยอะ จึงใช้เสื่อม้วนโยนศพลงไปฝังแล้วเพื่อจบเรื่องแล้ว
แต่ถึงอย่างไรก็มีการฆ่าคนที่ตลาดสวรรค์แล้ว ทั้งยังเป็นในหอนางโลมของทางการด้วย เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการวิพากวิจารณ์กันเกิดขึ้น
สิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์กันก็คือสาเหตุการตาย หนึ่งคือเจอแขกที่วิปริต สองคือเจอศัตรูในอดีตมาล้างแค้น สามคือคนเบื้องบนที่เหยียบนางไว้ไม่อยากให้นางได้กลับตัว จึงกำจัดนางทิ้งเสียเลย สี่คือไปมีเรื่องกับคนที่ไม่สมควรจะมีเรื่องด้วย
สาเหตุข้อหนึ่งกับข้อสองถูกตัดทิ้งง่ายมาก การฆ่าคนที่ตลาดสวรรค์แบกรับความเสี่ยงมากเกินไป คนที่เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าจะให้เสี่ยงอันตรายอีกก็ไม่คุ้มค่า ข้อสามก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเหยียบกันถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่ใช่เพราะอยากทรมานให้รับความอัปยศหรอกเหรอ ถ้าจะฆ่าก็ฆ่าไปนานแล้ว ดังนั้นความเป็นไปได้มากที่สุดก็น่าจะเป็นข้อสี่แล้ว
เมื่อนึกเชื่อมโยงกับคำพูดหาเรื่องคนอื่นที่ผู้ตายพูดช่วงนี้ ก็ทำให้คนไม่น้อยชี้ตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว เพียงแต่เรื่องแบบนี้ไม่มีหลักฐาน
อวิ๋นจือชิวที่กำลังคิดหาทางช่วยให้นางหลุดพ้นได้ยินข่าวแล้วตกใจทันที จึงให้สวีถังหรานไปสืบทันทีว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ ใครจะคิดว่าพอสวีถังหรานตอบตะกุกตะกัก อวิ๋นจือชิวก็เข้าใจทันทีว่าอะไรเป็นอะไร นางบุกเข้ามาหาเหมียวอี้ที่กำลังฝึกตนในห้องสมาธิแล้ว
“มีผู้หญิงในหออาวรณ์ตาย เป็นเจ้าใช่มั้ยที่ส่งคนไปจัดการ?” อวิ๋นจือชิวเจอหน้าแล้วถามทันที
เหมียวอี้ที่กำลังนั่งสมาธิบนเตียงหินตอบเสียงเรียบว่า “ควบคุมปากตัวเองไม่ได้ ช่วยไว้ก็เป็นตัวถ่วงอยู่ดี”
เขาพูดแบบนี้เท่ากับยอมรับแล้วว่าตัวเองทำ อวิ๋นจือชิวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ข้าจะไม่รู้เชียวเหรอว่านางปากร้าย? ข้าอยากจะฉีกปากนางยิ่งกว่าเจ้าอีก แต่ถึงยังไงในปีนั้นนางก็เคยมีไมตรีกับข้าอยู่บ้าง แล้วพวกที่ข้าผูกมิตรด้วยเหล่านั้น ใครจะกล้ารับประกันว่าในอนาคตตัวเองจะไม่เกิดเรื่อง? คำวิจารณ์ช่วงนี้ต่างก็สงสัยว่าข้าเป็นคนทำ แล้วเจ้าจะให้สตรีชั้นสูงพวกนั้นที่ข้าผูกมิตรด้วยคิดยังไง จะไม่ผิดหวังท้อใจกันเหรอ? ข้าจะเอานางมาสร้างศีลธรรมเพื่อให้คนอื่นเห็น แต่ด฿เจ้าทำสิ ทำเรื่องพังหมดแล้ว!”
เหมียวอี้เอามือเกาศีรษะ หย่อนขาสองข้างลงจากเตียง “ต้องใส่อารมณ์ขนาดนั้นเลยเหรอ คนประเภทนี้ไม่ทำให้เสียเรื่องหรอก”
“เจ้า…นี่มันไม่เหมือนการต่อสู้เข่นฆ่ากัน ความสัมพันธ์น่ะต้องสร้างทีละนิด การจะเอาใจคนอื่นน่ะยากมาก แต่การทำให้คนอื่นเกลียดกลับเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว แต่เจ้ากลับพูดอย่างสบายๆ… ” อวิ๋นจือชิวใส่อารมณ์แล้ว สุดท้ายก็ทำให้เหมียวอี้จนใจเช่นกัน กอปรกับเหมียวอี้เองก็หวังดีเพื่อนาง และนางก็จะไม่ยอมเลิกถ้าไม่ได้ฟังเหตุผล สุดท้ายจึงทำได้เพียงเตือนอย่างโมโหมากว่า “ต่อไปถ้ามีเรื่องแบบนี้อีกก็ต้องบอกข้าก่อน ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
“อ้าว! จะไม่เกรงใจยังไง ไหนลองมาให้ฟังซิ”
“แม่ก็จะจับเจ้าตอนซะ!”
“…”
ในหุบเขาที่ทิวทัศน์งดงามแห่งหนึ่ง มีกระท่อมใบจากที่รูปร่างประณีตสองสามหลัง ลำธารคดเคี้ยวอยู่ระหว่างหุบเขา บนหินก้อนใหญ่ที่แช่อยู่ในน้ำครึ่งเดียวมีเก้าอี้พับตัวหนึ่ง เซี่ยโห้วท่ากำลังนั่งขัดสมาธิตกปลา สะบัดคันเบ็ดดึงปลาตัวเล็กขึ้นจากผิวน้ำเป็นระยะ
เว่ยซูเดินมาจากกระท่อมทางด้านนั้น ใช้ตาข่ายเล็กขยุ้มปลาน้อยกลุ่มหนึ่งจากในถังแล้วเดินออกไป หลังจากกลับมา เว่ยซูก็หยิบคันเบ็ดจากบนพื้น นั่งข้างกายเซี่ยโห้วท่า แล้วสะบัดสายเบ็ดโยนลงไปในน้ำ
“เจ้ารองกำลังยุ่งอยู่หรือ?” เซี่ยโห้วท่าเอ่ยถามเสียงเรียบ
“คุณชายรองกำลังเตรียมเข้าครัวขอรับ” เว่ยซูที่นั่งขัดสมาธิลุกขึ้นทันที “ข้าน้อยจะไปเรียกคุณชายรองมาเดี๋ยวนี้”
เซี่ยโห้วท่าเอามือกด บอกใบ้ให้เขานั่งลง เว่ยซูรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดไป จึงมองเขาพลางนั่งลงช้าๆ
หลังจากจับปลาน้อยที่ติดเบ็ดโยนลงถังไม้แล้วโยนเบ็ดลงน้ำอีกครั้ง เซี่ยโห้วท่าถึงได้ถามเนิบๆ ว่า “ช่วงนี้แต่ละพื้นที่มีความผิดปกติอะไรหรือไม่?”
เว่ยซูตอบว่า “ที่มีความเคลื่อนไหวมากหน่อยก็ยังเป็นตระกูลพวกนั้น ทั้งยังกวาดล้างลูกน้องเบื้องล่างด้วย ส่วนในด้านอื่นก็ยังเหมือนเดิม”
“ทางด้านหนิวโหย่วเต๋อล่ะ?” เซี่ยโห้วท่าถาม
เว่ยซูตอบว่า “ส่วนใหญ่ทางเขาไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว นอกจากลาดตระกูลที่แดนรัตติกาลในบางครั้ง ส่วนใหญ่ก็อยู่แต่ในจวนหัวหน้าภาคไม่ออกไปไหน จะปลอมตัวออกไปเงียบๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้ชัด ไม่สะดวกจะแทรกคนไปอยู่ทางนั้น สถานการณ์บางอย่างคุณชายหกถามมาจากเพื่อนร่วมงาน กลับเป็นอวิ๋นจือชิวฮูหยินของเขาที่ค่อนข้างแข็งขัน ก่อนจะมาหาตระกูลเซี่ยโห้วครั้งนี้ นางก็ไปพบเหนียงเหนียงที่ตำหนักนารีสวรรค์มาอีกแล้วขอรับ”
เซี่ยโห้วท่ายิ้มบางๆ “ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา เชี่ยวชาญการเข้าสังคมมาก ใช้ประโยชน์จากโถงชุมนุมอัจฉริยะสะสมกำลังทรัพย์จำนวนมากให้หนิวโหย่วเต๋อ หนิวโหย่วเต๋อได้ภรรยามีความสามารถ!”
เว่ยซูพยักหน้า คนอื่นไม่รู้ชัด แต่ตระกูลเซี่ยโห้วกลับรู้สถานการณ์ภายในโถงชุมนุมอัจฉริยะชัดเจน
เซี่ยโห้วท่าเงียบไปครู่หนึ่งแล้วบอกอีกว่า “ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะไม่มีปฏิสัมพันธ์อะไรกับหกลัทธิเลย ผิดคาดพอสมควร”
“มีปฏิสัมพันธ์กันแต่พวกเราไม่รู้ หรือไม่ก็กำลังสั่งสมกำลังขอรับ” เว่ยซูกล่าว
“ถ้าเป็นอย่างแรกก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ เกรงว่าพวกเราคงจะประเมินความหมายของการปรากฏตัวของเขาต่ำไป” เซี่ยโห้วท่ากล่าว
เว่ยซูแปลกใจเล็กน้อย ถามว่า “ตามความเห็นของบ่าว การที่เขาสั่งสมกำลังอย่างสงบเสงี่ยมต่างหากที่เป็นการกระทำที่ชาญฉลาด”
เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าเบาๆ “ทางหกลัทธิเงียบสงบเกินไปแล้ว ถึงขั้นเก็บสำรวมอาการ พยายามไม่ก่อเรื่องด้วย เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่สงบเสงี่ยมตามหกลัทธิ หรือเป็นหกลัทธิที่ให้ความร่วมมือกับหนิวโหย่วเต๋อ นอนจำศีลไม่สร้างปัญหาให้หนิวโหย่วเต๋อ? ความสัมพันธ์ที่อยู่ในนั้นควรค่าให้ครุ่นคิด”
เว่ยซูได้ยินแล้วทำสีหน้าจริงจัง ชั่วพริบตานั้นเขาเข้าใจเจตนาเซี่ยโห้วท่าแล้ว ถ้าเป็นอย่างหลัง อิทธิพลของหนิวโหย่วเต๋อที่มีต่อหกลัทธิก็เหนือกว่าที่ฝั่งนี้จินตนาการเอาไว้
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอันราบเรียบของเซี่ยโห้วท่ากล่าวว่า “ข้าใกล้ถึงขีดจำกัดอายุขัยแล้ว!”
…………………………