ประมุขชิงที่กำลังทำสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยเดินออกจากหลังโต๊ยาว พอเดินมาถึงตรงหน้านางกลับปลอบใจว่า “ในเมื่อท่านปู่สวรรค์ใกล้สิ้นอายุขัย ข้าก็ควรกลับไปดูเป็นเพื่อนเจ้า เอาอย่างนี้ เจ้ากลับตำหนักนารีสวรรค์ไปก่อน เดี๋ยวข้าจะเตรียมตัวสักหน่อย จะได้กลับไปด้วยกันกับเจ้า”
เขาพูดจาถึงขั้นนี้แล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะปฏิเสธได้เหรอ? แม้นางจะคิดหาทางกลับไปให้เร็วที่สุด แต่ตอนนี้ก็ทำได้เพียงเอ่ยรับทั้งน้ำตา “เพคะ!”
หลังจากนางออกไปแล้ว ประมุขชิงก็กวาดสายตามองซ้ายมองขวา “เรื่องนี้พวกเจ้ามีความเห็นอย่างไร” พูดจบก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาในตำหนัก ไม่น่าเชื่อว่าสีหน้าจะดูตื่นเต้นดีใจเล็กน้อย
อารมณ์ตกตะลึงในใจทุกคนยังไม่ทันหายไป ตาแก่ที่เคยโค่นล้มพระปีศาจหนานโปในยุคของพระปีศาจหนานโปกำลังจะตายแล้วจริงๆ เหรอ? จิ้งจอกเฒ่าที่ผ่านเหตุการณ์ความไม่แน่นอนและแอบตรึงใต้หล้าไว้กำลังจะตายแล้วจริงน่ะเหรอ?
ทุกคนพอจะตระหนักได้แล้ว ว่าถ้าเซี่ยโห้วท่าจากโลกนี้ไปจริงๆ เมื่อไร สถานการณ์ภาพรวมของใต้หล้าก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง
“ช่วงก่อนหน้านี้ตาแก่นั่นยังดูดีๆ อยู่เลย ทำไมจู่ๆ ใกล้สิ้นอายุขัยเสียแล้ว มีอะไรในกอไผ่หรือเปล่า?” โพ่จวินพลันทำลายความเงียบในตำหนัก
ประมุขชิงหันกลับมาถาม “จะมีอะไรในกอไผ่ได้?”
โพ่จวินขมวดคิ้ว “พอเขาล้มลง ฝ่าบาทก็จะต้องไปเยี่ยม เขาอยากจะล่อฝ่าบาทไปหรือเปล่า มีเจตนาที่ไม่ซื่อต่อฝ่าบาท?”
ประมุขชิงแสยะยิ้ม “ข้ารับมือด้วยง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
เกาก้วนที่ทำสีหน้าครุ่นคิดมาตลอดเอ่ยว่า “อาศัยวรยุทธ์ของเขา ถ้าอยู่ภายใต้สถานการณ์ปกติก็น่าจะประคับประคองขัดจำกัดอายุขัยได้สูงกว่านี้ ตาแก่นั่นแกล้งตายหรือเปล่า?”
“จุดประสงค์คือ?” ประมุขชิงถามกลับ
เกาก้วนเองก็บอกได้ไม่ชัดว่าจุดประสงค์อะไร ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ “ก่อนหน้านี้ไม่มีเค้าลางเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหัน ข้าน้อยรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จิ้งจอกเฒ่าตัวนี้แผนการล้ำลึก ไม่สะดวกจะคาดเดาเจตนา”
ซือหม่าเวิ่นเทียนบอกว่า “แม้พวกเราจะมีความกังวลด้านนี้ แต่เซี่ยโห้วท่าจะไม่รู้เชียวหรือว่าฝ่าบาทจะไปเยี่ยม? จะห้ามไม่ให้ฝ่าบาทไปเยี่ยมได้เหรอ? จะจริงหรือเท็จ ฝ่าบาทไปตรวจสอบต่อหน้าก็จะพบความจริงแล้ว ที่เรื่องราวกะทันหันเช่นนี้ เกรงว่าก่อนหน้านี้จิ้งจอกเฒ่านั่นคงจงใจปิดบัง สาเหตุก็เพื่อให้เตรียมตัวให้ครอบคลุมรอบด้าน ป้องกันไม่ให้คนฉวยโอกาสก่อกวน”
ทุกคนเงียบไป ประมุขชิงมองไปอีกด้าน ถามว่า “อู๋ฉวี่ เจ้าคิดว่ายังไง?”
อู๋ฉวี่ส่ายหน้าอย่างลังเล “ถ้าเป็นคนอื่นก็ยังบอกง่ายหน่อย แต่จิ้งจอกเฒ่านี่ผ่านเหตุการณ์ความไม่แน่นอนมานาน เขาพลิกอุบายพลิกมือคว่ำเมฆหงายมือเสกฝน วางแผนการล้ำลึกจนคาดเดาได้ยากจริงๆ ขอรับ”
ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ แล้วมองไปทางซ่างกวนชิงอีก “ซ่างกวน เจ้ามีความเห็นอย่างไร?”
บรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ ไม่ได้เป็นแค่ลูกน้องคนสนิทของเขาเท่านั้น เพราะถ้ามองจากบางมุม คนเหล่านี้ก็เป็นกลุ่มมันสมองของเขาด้วย เวลาเขาเจอปัญหาที่คิดไม่ตก ก็มักจะขอความเห็นจากทุกคน
ซ่างกวนชิงเดินเข้ามาจากด้านข้างโต๊ะยาว เดินมาอยู่ข้างกายประมุขชิง “ข้าน้อยรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเรื่องเท็จ”
ทุกคนจ้องเขาทันที ประมุขชิงถามว่า “เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น?”
ซ่างกวนชิงตอบว่า “ถ้าจะบอกว่าคิดจะวางแผนร้ายต่อฝ่าบาท แต่ด้วยความองอาจของฝ่าบาท ถ้าอยากจะรั้งฝ่าบาทไว้ก็เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น และตระกูลเซี่ยโห้วเองก็รับผลที่ตามมาไม่ไหวเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น การใช้กำลังปะทะตรงๆ ก็ไม่ใช้ลักษณะของเซี่ยโห้วท่า มีอยู่จุดหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นก็คือเมื่อเซี่ยโห้วท่าตายแล้วจะมีประโยชน์อะไรต่อตระกูลเซี่ยโห้ว?”
คำถามนี้พูดถึงประเด็นสำคัญแล้ว ทุกคนกำลังครุ่นคิดพลางพยักหน้าเบาๆ พอเซี่ยโห้วท่าตายไป ช้าเร็วตระกูลเซี่ยโห้วก็ต้องเผชิญการจู่โจมจากพายุคลั่ง อันดับแรกภายในตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะเสียระเบียบ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเห็นครอบครัวตัวเองเกิดสถานการณ์อย่างนี้
“แกล้งตายสร้างสถานการณ์ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ตระกูลเซี่ยโห้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่า เซี่ยโห้วท่าอาจจะใกล้สิ้นอายุขัยแล้วจริงๆ!” ประมุขชิงกล่าวช้าๆ จากนั้นก็แสยะหัวเราะไม่หยุด ออกคำสั่งตรงนั้นเลยว่า “สั่งให้กองทัพองครักษ์เตรียมตัว ข้าจะไปตรวจสอบความจริงก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
“ขอรับ!” หลังจากโพ่จวินกับอู๋ฉวี่รับบัญชาพร้อมกัน โพ่จวินก็กล่าวเสียงดังอีกว่า “ฝ่าบาท ไม่ควรจะให้โอรสสวรรค์ติดตามไปด้วยขอรับ”
ประมุขชิงเงียบไปครู่หนึ่ง เข้าใจความหมายของเขาแล้ว ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วกล้าลงมือกับเขาจริงๆ นั่นก็แสดงว่าเตรียมพร้อมที่จะทำให้สำเร็จแน่นอนแล้ว สองพ่อลูกไม่ควรตกอยู่ในสถานการณ์นี้พร้อมกัน จึงพยักหน้าเบาๆ “หยวนจุน ข้าส่งต่อให้เจ้าก่อนแล้วกัน”
โพ่จวินกุมหมัดคารวะ
ผ่านไปไม่นาน ก็เตรียมเกี้ยวมังกรไว้เรียบร้อย ประมุขชิงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขึ้นเกี้ยวมังกรด้วยกัน ทหารสวรรค์กลุ่มใหญ่ติดตาม เร่งเดินทางไปยังจุดลึกในดาราจักร
จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม เซี่ยโห้วลิ่งเดินไปเดินมาอยู่นอกประตูห้องด้วยสีหน้าเครียดขรึม เห็นได้ชัดว่าจิตใจไม่สงบสุข เมื่อเห็นเว่ยซูมาแล้ว ก็รีบเดินเข้าไปรับ แล้วโบกมือเรียกเว่ยซูไปด้านข้าง ทั้งสองเดินไปใต้ต้นไม้โบราณที่เซี่ยโห้วท่าเคยชอบเดินไปเดินมาอยู่ตรงนั้นบ่อยๆ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ตอนแรกยังเห็นท่านพ่อดีๆ อยู่เลย ทำไมจู่ๆ กลายเป็นอย่างนี้ไปแล้ว?” เซี่ยโห้วลิ่งถามเสียงต่ำ จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังทำใจเชื่อได้ยาก
เว่ยซูกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าโศก “ไม่ใช่ว่ากะทันหันหรอกขอรับ ที่จริงก่อนหน้านี้นายท่านก็รู้สึกแล้วว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเริ่มสลายไปทีละนิด รู้แล้วว่าขีดจำกัดใกล้เข้ามา เพียงแต่มีบางเรื่องยังไม่ได้เตรียมไว้ ก่อนที่จะเตรียมการเสร็จ เกรงว่าถ้ามีข่าวหลุดไปจะไม่เป็นผลดีต่อตระกูลเซี่ยโห้ว เพราะแบบนี้ถึงสั่งให้ข้าน้อยพยายามไม่เปิดเผยให้ใครรู้ทั้งนั้น”
เซี่ยโห้วลิ่งเม้มริมฝีปาก หลังจากในดวงตาฉายแววดุร้ายพักหนึ่ง ก็ถามตรงๆ เลยว่า “ก่อนหน้าที่ท่านพ่อเรียกคนจำนวนหนึ่งไปคุยด้วยไม่หยุดเพราะมีเจตนาอะไร?”
เว่ยซูอึ้งไปชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ยังถอนหายใจแล้วบอกว่า “คุณชายรองคิดมากไปแล้ว นายท่านตัดสินใจอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะมอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลให้คุณชายรอง ที่เรียกคนพวกนั้นไปคุย ก็เพราะจะแสดงท่าทีให้ชัดเจนเช่นกัน พร้อมทั้งต้องการสังเกตปฏิกิริยาของคนพวกนั้นด้วย นายท่านบอกคนพวกนั้นไปชัดเจนแล้ว ว่าหลังจากนายท่านไม่อยู่ คุณชายรองก็จะเป็นหัวหน้าตระกูลรุ่นสามของตระกูลเซี่ยโห้ว!”
ตอนแรกเซี่ยโห้วลิ่งยังสุขุมใจเย็นอยู่ แต่พอได้ยินแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น คว้าข้อมือเว่ยซูเอาไว้แล้วถามว่า “พูดจริงเหรอ?”
เว่ยซูจ้องตาเขา พร้อมกล่าวเสียงต่ำ “คุณชายรอง เวลานี้จะดีใจจนลืมตัวไม่ได้เด็ดขาด!”
“ใช่ๆๆ!” เซี่ยโห้วลิ่งรีบปล่อยมือเขา รู้เช่นกันว่าตัวเองค่อนข้างเสียอาการ หลัวจากกุมหมัดขอบคุณเว่ยซูด้วยความจริงใจ ก็ถามหยั่งเชิงต่อว่า “แล้วทำไมท่านพ่อถึงกับริเวณข้าไว้ในสวนต้องห้าม ไม่อนุญาตให้ข้าออกข้างนอก ไม่อนุญาตให้ข้าติดต่อกับใครด้วยเหรอ?”
เว่ยซูถอนหายใจ “ในใจของนายท่านกระจ่างดุจแก้วใส ถามหน่อยว่าหากคุณชายรองรู้ล่วงหน้าแล้วสามารถออกจากสวนต้องห้ามได้ทุกเมื่อ คุณชายรองจะเตรียมการบางอย่างหรือไม่? นายท่านอยากจะให้บรรดาพี่น้องของคุณชายรองมีเวลาเตรียมตัวถอยสักหน่อย นายท่านกลัวว่าคุณชายรองจะรีบสังหารพี่น้องตายหมด!”
เซี่ยโห้วลิ่งรีบบอกว่า “พี่น้องสายเลือดเดียวกัน ข้าจะเข่นฆ่ากันเองได้ยังไง!”
เว่ยซูคิดในใจว่า เจ้าเชื่อคำพูดตัวเองหรือเปล่าล่ะ? แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ในเวลานี้หากยั่วให้เซี่ยโห้วท่าไม่พอใจขึ้นมา ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของเซี่ยโห้วลิ่งคงจะหลุดมือไป ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เซี่ยโห้วลิ่งถูกกักบริเวณอยู่ในสวนต้องห้าม ทั้งติดต่อกับภายนอกไม่ได้ ทั้งเรียกระดมพลไม่ได้ หากเซี่ยโห้วท่าออกคำสั่งคำเดียวก็สามารถทำให้เซี่ยโห้วลิ่งถึงแก่ชีวิตได้ มีหรือที่เซี่ยโห้วลิ่งจะกล้าปากดี
แต่ปากย่อมพูดแบบนี้ไม่ได้อยู่แล้ว กลับพูดปลอบใจโน้มน้ามว่า “การที่นายท่านกักบริเวณคุณชายรองไว้ในสวนต้องห้ามก็เพราะหวังดีกับคุณชายรอง นายท่านทั้งกลัวว่าคุณชายรองจะสังหารพี่น้องจนหมด ทั้งกลัวว่าจะมีคนจนตรอกเป็นสุนัขกระโดดกำแพงเพราะคุณชายรอง ในเวลาแบบนี้ พี่น้องทุกคนของคุณชายรองไม่มีใครได้เจอหน้านายท่านด้วยซ้ำ มีเพียงคุณชายรองที่ได้อยู่ข้างกายนายท่าน ท่าทีของนายท่านชัดเจนที่สุดแล้ว!”
เซี่ยโห้วลิ่งฟังแล้วพยักหน้าซ้ำๆ ในดวงตาฉายแววสดใสอย่างปิดบังได้ยาก กุมหมัดคารวะบอกว่า “คำชี้แนะของพ่อบ้านในวันนี้ ลิ่งจดจำไว้ในใจแล้ว”
เว่ยซูพูดให้เขาสงบใจต่อไป “นายท่านสั่งให้บ่าวแจ้งข่าวต่อราชินีสวรรค์แล้ว คาดว่าประมุขชิงได้ข่าวแล้วคงจะรีบมาตรวจสอบความจริง ถึงตอนนั้นนายท่านจะประกาศต่อหน้าทุกคนว่าคุณชายรองคือหัวหน้าตระกูลรุ่นสามของตระกูลเซี่ยโห้ว พร้อมทั้งขอฝ่าบาทให้อนุญาตให้คุณชายรองรับฐานันดรท่านปู่สวรรค์ต่อด้วย” พอพูดเรื่องนี้จบแล้ว เว่ยซูก็กุมหมัดคารวะขอตัวออกไปเอง
เซี่ยโห้วลิ่งที่มองคล้อยหลังยากจะข่มอารมณ์ให้สงบ เขาถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง การที่เว่ยซูพูดอะไรพวกนี้กับเขาได้ ต่อเท่ากับแสดงความจงรักภักดีต่อเขาแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นยามปกติก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพูดอะไรอย่างนี้กับเขา…
กำลังพลกลุ่มใหญ่ของกองทัพองครักษ์มาถึงก่อน เก็บกวาดรอบจวนท่านปู่สวรรค์ ควบคุมเอาไว้แล้ว
พอเกี้ยวมังกรเหยียบลงพื้น ในที่สุดเซี่ยโห้วลิ่งก็ออกจากประตูแล้ว โดยมีเว่ยซูติดตามอยู่ข้างกาย ออกมาต้อนรับแล้ว
ประมุขชิงประคองแขนข้างหนึ่งของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ พอเดินลงจากเกี้ยวมังกรพร้อมกันแล้วถึงได้ปล่อย ส่วนพวกเซี่ยโห้วลิ่งก็ต้อนรับทำความเคารพด้วยเสียงดัง
ไม่ว่าความรู้สึกระหว่างประมุขชิงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะเป็นอย่างไร แต่เมื่ออยู่ข้างนอกก็ไว้หน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เต็มที่ ทำให้สมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิงของตระกูลเซี่ยโห้วอิจฉาไม่หาย
ประมุขชิงกับเซี่ยโห้วลิ่งพูดจาปราศัยกันสองสามประโยค จากนั้นโบกมือบอกใบ้ให้คนนำทาง เมื่อเจอเซี่ยโห้วท่าแล้วถึงจะพูดคุยประเด็นหลักกัน
เซี่ยโห้วลิ่งมานำทางอยู่ข้างหน้าด้วยตัวเอง ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนเข้ามาพร้อมกันแล้ว ทั้งสองตามอยู่ข้างหลังประมุขชิง สายตากำลังมองสำรวจทุกคนที่อยู่ทางซ้ายและขวา
ทูตตรวจการซ้ายและทูตตรวจการขวาติดตามมาด้วย ประการแรกเป็นเพราะซือหม่าเวิ่นเทียนต้องการจะติดต่อกับสายลับที่แทรกไว้กับตระกูลเซี่ยโห้ว ประการต่อมาเป็นเพราะต้องการทำหน้าที่เป็นทหารองครักษ์ของประมุขชิง เพราะในบางสถานการณ์ ตระกูลเซี่ยโห้วก็เหมือนถ้ำเสือบ่อมังกรที่เต็มไปด้วยอันตราย
ขณะเดียวกันก็มีทหารสวรรค์นับพันติดตามเข้าไป ล้วนเป็นยอดฝีมือของกองทัพองครักษ์ ภายนอกเห็นมีแค่พันเดียว แต่ที่จริงแล้วแอบซ่อนกำลังพลไว้เท่าไรก็บอกได้ไม่ชัดเจน ที่สำคัญคือภายใต้สถานการณ์แบบนี้ไม่มีใครกล้าตรวจสอบพวกเขา
พอคนพวกนี้เข้ามา ก็เตรียมระแวดระวังตามจุดสำคัญที่ควบคุมไว้ระหว่างทางทันที มองไปรอบๆ อย่างดุร้าย ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ทำให้คนรอบข้างไม่กล้าเข้าใกล้ได้ง่ายๆ
นอกจวนท่านปู่สวรรค์ก็ยิ่งมีทัพใหญ่มากมายดุจเมฆบนฟ้า นอกดาวเคราะห์ก็ยิ่งมีกำลังพลกลุ่มใหญ่ลาดตระเวนขวักไขว่
สวนต้องห้าม ในตำหนักนอน นอกจากซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนที่ติดตามประมุขชิงและราชินีสวรรค์เข้าไป ส่วนคนอื่นๆ ก็เฝ้าอยู่ข้างนอก
บนเตียงไม้ที่มีลักษณะโบราณ เซี่ยโห้วท่าที่หลังค่อมกำลังนั่งสมาธิ สีหน้าดูแย่มาก เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้เขาดูแก่ชราลงไม่น้อย
“นายท่าน!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พลันเดินออกจากข้างกายประมุขชิง โผเข้ามาคุกเข่าข้างเตียง คว้ามือเซี่ยโห้วท่าเอาไว้ น้ำตาไหลพรากราวกับน้ำฝน ถามเสียงสะอื้นว่า “ท่านปู่ ร่างกายท่านยังดีๆ อยู่เลย ทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้คะ?”
เซี่ยโห้วท่าลืมตาขึ้นช้าๆ ในดวงตาชายแววเศร้ารันทด ดวงตาชราเหลือบมอง แล้วลุกขึ้นยืน “ฝ่าบาท เหนียงเหนียงมาแล้ว ข้าน้อยเสียมารยาม…”
ประมุขชิงรีบก้าวมาข้างหน้า ประคองเขาเอาไว้ ไม่ให้เขายืนขึ้น “ท่านปู่สวรรค์ไม่ต้องมากพิธี” มองประเมินเขาอย่างละเอียด แล้วถือโอกาสยื่นมือไปตรวจชีพจนเขา “ท่านปู่สวรรค์ยังดีๆ อยู่ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้?”
ตอนยังไม่ตรวจก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอตรวจสอบแล้ว ประมุขชิงก็เริ่มมีสีหน้าตึงเครียด เพราะพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างกายเซี่ยโห้วท่าขาดความมีพลังแล้ว เปลี่ยนเป็นอ่อนแอแล้ว คุณภาพเท่ากับนักพรตระดับบงกชทองขั้นต้นเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์ที่พลังอิทธิฤทธิ์ถดถอยแบบนี้ ก็อธิบายได้ว่ากายเนื้อขาดพลังอิทธิฤทธิ์ควบคุม และกายเนื้อของเซี่ยโห้วท่าเองก็เสื่อมโทรมอย่างรุนแรงเช่นกัน สภาพในตอนนี้แค่ประคับประคองไว้เท่านั้น น่าจะประคองตัวได้อีกไม่นานแล้ว
……………………