เฉาหม่านขมวดคิ้ว ครุ่นคิดเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
ผู้ที่มามองปฏิกิริยาของเขา แล้วโน้มน้าวต่อว่า “มาถึงขั้นนี้แล้ว สำหรับพี่น้องที่หลบอยู่ในที่ลับอย่างพวกเรา ต่อให้ไม่อยากเข้าใจแต่ก็ถูกท่านพ่อบีบให้เข้าใจอยู่ดี เจตนาของท่านพ่อคืออะไร เป็นเรื่องยากที่พวกเราจะไม่เข้าใจชัดเจน ตอนที่ยังหาเป้าหมายที่เหมาะสมกว่านี้ไม่เจอ ท่านพ่อไม่มีทางวางไข่ทุกใบไว้ในตะกร้าเดียวกัน แต่ใช้ขาหลายข้างเดินไปด้วยกัน เจตนาของท่านพ่อก็เรียบง่ายมาก หากพี่รองทำได้ดี ทุกอย่างก็ย่อมก้าวไปข้างหน้า ถ้าพี่รองไร้ฝีมือไม่สามารถทำให้พวกเราเชื่อใจและยอมรับได้ เช่นนั้นเขาก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะคว้าอำนาจทุกอย่างเอาไว้ในมือได้ เพราะแบบนั้นจะเป็นการทำลายตระกูลเซี่ยโห้ว สถานการณ์ในตอนนั้นก็คือพี่รองยืนอยู่ในที่แจ้งต่อไป พวกเราก็หลบอยู่ในที่ลับต่อไป ที่ลับกับที่แจ้งไม่รุกรานกัน ใช้วิธีการนี้รักษาอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วต่อไป ถ้าพี่รองเป็นพวกหัวสูงฝีมือต่ำแล้วทำซี้ซั้วอยู่อย่างนั้น พวกเราก็ไม่มีทางอื่นนอกจากร่วมมือกันแทนที่เขาแล้ว สรุปก็คือไม่สนว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ก็ต้องพยายามสุดความสามารถเพื่อรักษาอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วเอาไว้ ครั้งนี้ท่านพ่อผลักดันให้พี่รองเป็นหัวหน้าตระกูล ดูเผินๆ เหมือนไม่ยุติธรรมต่อพวกเรา แต่ภายใต้แผนที่ท่านพ่อวางไว้ ที่จริงได้เติมน้ำใส่ชามไว้เท่ากันแล้ว ไม่ได้ลำเอียงช่วยใคร พี่รองแค่ยืนอยู่หน้าแถวตามลำดับก่อนหลังก็เท่านั้นเอง สุดท้ายคนที่รับช่วงต่อตระกูลเซี่ยโห้วก็มีเพียงเงื่อนไขเดียวเท่านั้น ผู้ที่มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่ง!”
“เป็นข้าเองที่มองไม่ทะลุเพราะตัวอยู่ในสถานการณ์” จู่ๆ เฉาหม่านก็ถอนหายใจ เขาไม่ได้ยืนอยู่ในตำแหน่งของพี่น้องคนอื่น จึงมองไม่เห็นว่าตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่มีความหมายอย่างไร แต่พี่น้องคนอื่นๆ กลับถูกท่านพ่อบีบให้มองให้เห็นให้ชัดเจน ตอนนี้เจ้าหกเตือนแบบนี้แล้ว เรียกได้ว่ารู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ก่อนหน้านี้เขายังมีความคับแค้นต่อท่านพ่ออยู่บ้าง แต่พอมาคิดดูตอนนี้ ท่านพ่อไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างไร้ความยุติธรรม ก็เหมือนที่เจ้าหกบอก ท่านพ่อเทน้ำใส่ชามไว้เท่านั้นแล้ว คนมีความสามารถเท่านั้นจะได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง
เมื่อเห็นเขายอมรับแล้ว ผู้ที่มาก็พูดต่อไป “พี่สาม ตอนนี้ท่านน่าจะเข้าใจแล้วใช่มั้ย นายท่านแค่ให้พี่รองคุมตระกูลเซี่ยโห้วในฉากหน้าเท่านั้น และจะให้เขาควบคุมสถานการณ์บางอย่างของพวกเราพี่น้องแน่นอน ทำให้เขาได้เปรียบโดยธรรมชาติ แต่ท่านพ่อไม่มีทางปล่อยให้เขาเอาชะตากรรมของทั้งตระกูลมาทำซี้ซั้ว นั่นคือสิ่งที่ตระกูลเซี่ยโห้วเอาชีวิตคนมาเติมเท่าไรก็ไม่เต็ม ดังนั้นคนที่บีบอำนาจที่แท้จริงของตระกูลเซี่ยโห้วเอาไว้ก็คือท่านนะพี่สาม ที่จริงแล้วท่านพ่อมอบชีวิตของเหล่าพี่น้องไว้ในมือท่านแล้ว ตอนนี้ท่านจะแสร้งทำเลอะเลือนต่อไปได้อีกเหรอ?”
เฉาหม่านอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ท่านพ่อมีความคิดลึกล้ำ เฉาคนนี้เทียบไม่ติด!” กล่าวจบก็ไม่เปลืองคำพูดแล้ว ไม่พิสูจน์ตัวตนของน้องหกเช่นกัน ลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้บนระฆังดาราสองอันบนโต๊ะทันที สำหรับคนฉลาด เรื่องบางเรื่องแค่ชี้แนะนิดหน่อยก็รู้คำตอบแล้ว ไม่จำเป็นต้องสืบเสาะไปจนถึงราก
หลังจากต่างคนต่างหยิบระฆังดาราไปแล้ว เฉาหม่านก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เจ้าหก อย่างน้อยข้าก็ต้องรู้ว่าเจ้าควบคุมกำลังคนทางไหน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้น ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะติดต่อไปหาเจ้าหรือไม่”
“กลุ่มก๊วน!” ผู้ที่มากล่าวเบาๆ
เฉาหม่านพยักหน้าเบาๆ จดจำไว้แล้ว ถามอีกว่า “ตอนนี้ยังไม่ให้ข้าเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าอีกเหรอ?”
ผู้ที่มาแกว่งระฆังดาราในมือ “นี่คือจุดที่ชาญฉลาดของท่านพ่อ ตราอิทธิฤทธิ์ของพวกเราพี่น้องล้วนไม่ได้อยู่ในคลังเปรียบเทียบ และไม่ให้พวกเรารู้จักโฉมหน้าของกันและกันด้วย ใต้หล้ามีคนในกลุ่มก๊วนมากมาย ต่อให้พี่สามอยากจะสืบให้เจอข้าแต่ก็ยาก นี่ก็คือไพ่ลับใบสุดท้ายที่ข้าใช้ปกป้องตัวเอง ย่อมไม่บอกพี่สามง่ายๆ อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าวันไหนพี่สามทำซี้ซั้วขึ้นมา ใครจะยังคานอำนาจกับพี่สามได้ล่ะ? ขอเพียงพี่รองไม่ทำซี้ซั้ว ข้าก็ไม่ต่อต้านเขาง่ายๆ เช่นกัน ที่สร้างช่องทางติดต่อกับพี่สามโดยตรงก็เพื่อเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเอง ทำมากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น ใครจะไปรู้ว่าท่านพ่อเหลือแผนสำรองอะไรไว้อีกหรือเปล่า? ท่านพ่อไม่ได้อ่อนด้อยฝีมือ ที่จริงเป็นแบบนี้ก็ดีมากแล้ว อย่างน้อยถ้ามีจุดไหนสักจุดเกิดเรื่องขึ้น ก็จะไม่ถูกโจมตีรอบด้าน พี่สามไม่จำเป็นต้องสนใจโฉมหน้าที่แท้จริงของข้าหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็ต้องป้องกันพี่สามไม่ให้มีปัญหาอะไร ถูกไหมล่ะ?”
เฉาหม่านพยักหน้าเห็นด้วย
ที่มาเดินไปปักธูปหนึ่งดอกในกระถางธูป จากนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรมากอีก พอบรรลุจุดประสงค์แล้วก็จากไปเลย
เฉาหม่านเองก็ไม่ได้บอกว่าให้กลับดีๆ เดินมาปักธูปหนึ่งดอกในกระถางธูปเช่นกัน แล้วเดินเนิบนาบไปผลักบานหน้าต่างออก มองดูท้องฟ้าราตรีด้านนอกแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
เมื่อเรื่องบางเรื่องแจ่มชัด ก็ย่อมเป็นไปตามสิ่งที่คาดไว้ ไม่ใช่แค่เจ้าหกเท่านั้น อำนาจใต้ดินฝ่ายต่างๆ ที่ตระกูลเซี่ยโห้วซ่อนไว้ทยอยกันมาคารวะถึงประตูบ้าน เหตุใดจึงมากันในเวลานี้ เฉาหม่านก็เดาเหตุผลได้ไม่ยาก ประการแรกเป็นเพราะตระกูลเซี่ยโห้วกำลังจัดพิธีศพ ทำให้แบ่งสมาธิความสนใจของเซี่ยโห้วลิ่งไม่น้อยแน่นอน ไม่ค่อยได้จับตาดูทางฝั่งนี้สักเท่าไร ประการต่อมาเป็นเพราะทุกคนรีบร้อนสร้างช่องทางติดต่อกับเขา การถ่วงเวลาให้นานขึ้นไม่ใช่เรื่องดี หากเกิดปัญหาขึ้นก็ไม่อาจติดต่อกันโดยตรงได้
เรื่องนี้ย่อมทำให้ชีเจวี๋ยเกิดความสงสัย จู่ๆ ช่วงนี้ก็มีกลุ่มสหายของเถ้าแก่โผล่มา นี่มันสถานการณ์อะไร?
จวนท่านปู่สวรรค์ ผ้าขาวปลิวสะบัดราวกับธง มีคนเข้าออกไม่ขาดสาย
เหมียวอี้ที่สวมชุดดำทั้งตัวมาคนเดียว กำลังพลที่ติดตามถูกกันไว้ข้างนอก ไม่ให้เข้ามาที่นี่ มีอีกสถานที่หนึ่งเตรียมไว้แล้ว
คนที่รับแขกอยู่ตรงประตูก็เป็นคนมีประสบการณ์ความรู้เช่นกัน ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็เคยเป็นแม่ทัพภาคอุทยานหลวง ไม่ยากที่จะจำได้
“หัวหน้าภาคหนิว เชิญด้านใน!”
ลงตราอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบตัวตน หลังจากวางของขวัญไว้แล้ว ก็มีคนเชิญให้เขาเข้าประตูไป เส้นทางหลังจากนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครนำ เดินตรงไปตามเส้นทางที่มีธงขาวตั้งไว้ก็พอ ที่ตั้งโลงศพก็อยู่ในตำหนักหลักนี่เอง
เพิ่งจะก้าวขึ้นบนไดตำหนักใหญ่ ก็มีคนประกาศแล้วว่า “หนิวโหย่วเต๋อหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลมาถึงแล้ว!”
คนระดับหัวหน้าภาคเกรงว่าจะยังไม่มีสิทธิ์มาคารวะศพที่นี่ เหมียวอี้เป็นข้อยกเว้นจากคนกลุ่มนั้น
ตรงประตูมีคนส่งธูปให้เหมียวอี้ พอเดินเข้ามาข้างใน ก็เห็นโลงศพตั้งอยู่ด้านบน ด้านซ้ายและขวามีทั้งชายทั้งหญิงนั่งคุกเข่าตาแดงก่ำ ทยอยกันโค้งตัวขอบคุณเหมียวอี้
เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาหน้ากระถางธูปและเทียน หลังจากไหว้ปักธูปในกระถางธูปแล้ว ก็หันตัวไปหาพวกเซี่ยโห้วลิ่งที่อยู่ด้านข้าง แล้วกล่าวปลอบใจเสียงเบา “ขอแสดงความเสียใจด้วย”
พวกเซี่ยโห้วลิ่งกุมหมัดขอบคุณ ขณะเดียวกันก็จ้องประเมินเหมียวอี้อย่างตั้งใจ คนอื่นๆ ที่คุกเข่าปลอบใจอีกครั้ง
ทางนี้เพิ่งจะเดินลงบันไดตำหนักใหญ่ เอ๋อเหมยก็รออยู่ด้านล่างแล้ว ยื่นมือบอกใบ้ให้หมียวอี้เดินตามนางไป
เมื่อมีเอ๋อเหมยนำทาง ก็เดินผ่านฉลุยตลอดทาง เข้ามาในเรือนหลังหนึ่งในสวนของจวนท่านปู่สวรรค์ ตรงประตูมีทหารสวรรค์เฝ้าอยู่ มีจำนวนไม่น้อยเป็นแม่ทัพเกราะแดง ส่วนใหญ่เหมียวอี้รู้จักหมด ยังเคยดื่มสุราด้วยกัน ล้วนเป็นคนของกองทัพองครักษ์
พบหน้ากันแล้วทักทายกันสองสามประโยค ค้นตัวเหมียวอี้เสร็จแล้วถึงได้ปล่อยเข้าไป
พอเดินมาตลอดทางจนถึงโถงหลัก ก็เห็นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังนั่งสง่าอยู่ในนั้น
ตอนนี้ราชินีสวรรค์ตาแดงก่ำ สวมชุดสีขาวทั้งตัว ถอดเครื่องประดับบนศีรษะออกหมดแล้ว เกล้ามวยผมขึ้นอย่างเรียบง่าย กลับดูสบายตาน่ามองขึ้นกว่ายามปกติ
เหมียวอี้พึมพำในใจ รู้สึกว่าเวลาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่แต่งกายฉูดฉาดหรูหราเหมือนยามปกติ ก็ดูดีขึ้นหลายส่วน แน่นอน ต่อให้ตีเขาให้ตายเขาก็ไม่พูดสิ่งนี้ออกมา เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้า “ข้าน้อยหนิวโหย่วเต๋อคำนับเหนียงเหนียง ขอแสดงความเสียใจกับเหนียงเหนียงด้วยขอรับ!”
“เจ้ามาแล้วเหรอ ไม่ต้องมากพิธี” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พยักหน้า ในที่สุดก็ได้เจอคนที่ทำให้นางรู้สึกคลายกังวลได้บ้างแล้ว แต่จนใจที่ไม่สะดวกจะยิ้มในงานแบบนี้ หันกลับมาบอกกับคนข้างๆ ว่า “จุนเอ๋อร์ เหมือนพวกเจ้าจะไม่เคยเจอกันมาก่อนนะ นี่คือทหารใต้สังกัดของแม่โดยตรง หัวหน้าภาคแดนรัตติกาลหนิวโหย่วเต๋อ เป็นคนที่ควรค่าให้แม่เชื่อใจ”
เหมียวอี้เพิ่งจะย้ายความสนใจไปที่ตัวชายร่างสูงตระหง่านที่ยืนอยู่ข้างๆ สวมชุดผ้าแพรตัวยาวสีเขียว อาจจะเป็นเพราะเซี่ยโห้วท่าเพิ่งจากไป บนตัวจึงมีเสื้อกั๊กสีขาวตัวหนึ่ง หน้าตาไม่นับว่าหล่อเหลา แต่กลับมีสง่าราศีในตัวเอง เผยให้เห็นความสูงส่งโดยธรรมชาติ แววตามีประกาย หน้าตาคล้ายประมุขชิงอยู่หลายส่วน
มีทั้งคำว่า ‘จุนเอ๋อร์’ มีทั้งคำว่า ‘ท่านแม่’ ถ้ายังเดาไม่ออกว่าเป็นโอรสสวรรค์ชิงหยวนจุนลูกชายของประมุขชิง เหมียวอี้ก็ใกล้เคียงกับคนโง่แล้ว จึงรีบกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยคารวะองค์ชาย!”
ชิงหยวนจุนอมยิ้มในดวงตา พยักหน้าเบาๆ “หัวหน้าภาคหนิว ข้าได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว วันนี้เจอตัวจริง นับว่ามีลักษณะไม่ธรรมดา” สายตาที่มองประเมินเหมียวอี้ดูค่อนข้างสนใจใคร่รู้
มองออกว่าไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับเหมียวอี้ ถึงอย่างไรก็เป็นลูกน้องคนสนิทของมารดาตัวเอง
“มองออกเลยว่าพวกเจ้าสองคนถูกชะตากันมาก ถ้ามีโอกาสก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสักหน่อย” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ดันทุรังสรุปเอาเอง
“ขอรับ!” ชิงหยวนจุนกับเหมียวอี้กลับรีบกุมหมัดเอ่ยรับพร้อมกัน
“พักอยู่ที่ไหน เตรียมจะกลับเมื่อไร?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถามอีก
เหมียวอี้ตอบอย่างเคารพ “รอเสร็จพิธีศพของท่านปู่สวรรค์ก็จะกลับแล้วขอรับ ตอนนี้พักที่เรือนรับแขกด้านนอกชั่วคราว”
มีเอ๋อเหมยและคนอื่นๆ อยู่ด้วย เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ หลังจากพูดจาตามมารยาทโดยไม่มีความหมายอะไรสองสามประโยค นางก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าอ่อนเพลียนิดหน่อย คนหนุ่มอย่างพวกเจ้าไปเดินเล่นกันสักหน่อยเถอะ” นางโบกมือบอกชิงหยวนจุนที่อยู่ข้างๆ
“ขอรับ!” ทั้งสองกุมหมัดเอ่ยรับพร้อมกัน
หลังจากมองคล้อยหลังสองคนนี้เดินตามกันออกประตูไป เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็แอบพยักหน้าอย่างรู้สึกคลายกังวล
ทั้งสองที่ออกมาแล้วเดินเล่นอยู่ในสวน ไม่มีใครเอ่ยปากก่อนทั้งนั้น เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดถึงนิสัยใจคอของโอรสสวรรค์ พิจารณาว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร ขณะเดียวกันก็แอบทอดถอนใจ ในปีนั้นท่านนี้ยังอยู่ในท้องเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวก็โตขนาดนี้แล้ว ทำให้เขาพลันรู้สึกว่าตัวเองก็อายุไม่น้อยแล้วเช่นกัน
เพียงแต่คิดไปคิดมาก็ยอมรับ นั่นเป็นเรื่องเมื่อหนึ่งหมื่นปีที่แล้ว อีกฝ่ายจะไม่เติบโตได้อย่างไร
พอเดินเข้ามาในสวนดอกไม้ จู่ๆ ชิงหยวนจุนก็หยุดฝีเท้า แล้วหันขวับมาถาม “พวกเจ้าจะตามข้ามาทำไม?”
เหมียวอี้หันตัวมองตาม เห็นเพียงนางในสองคนตอบอย่างหวาดกลัวว่า “ข้างกายองค์ชายจะไร้คนปรนนิบัติได้อย่างไรเพคะ! บ่าว…”
“ไสหัวไป!” ชิงหยวนจุนตะคอกอย่างไม่เกรงใจ
สตรีทั้งสองตกใจจนหน้าซีด ก้มหน้าถอยออกไปทันที ตอนนี้ชิงหยวนจุนถึงได้หันกลับมายิ้มกับเหมียวอี้ “พี่หนิวอย่าเก็บมาใส่ใจเลย ตระกูลเซี่ยโห้วจับตาดูเข้มงวด เห็นแล้วรำคาญ ถ้าให้ตามอยู่ข้างกายจะทำให้เสียบรรยากาศ”
เหมียวอี้พยักหน้ายิ้ม เขาไม่รู้สึกผิดคาดเลยสักนิด ข้างกายเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มีแต่หูตาของตระกูลเซี่ยโห้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ปลื้ม ประมุขชิงก็ย่อมไม่ชอบเช่นกัน คนที่บิดามารดาตัวเองรำคาญ ลูกชายที่เห็นเองได้ยินเองจะชอบได้ก็แปลกแล้ว
เพียงแต่จะว่าไปแล้ว ก็มีเพียงชิงหยวนจุนที่กล้าชักสีหน้าใส่คนพวกนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่กล้าทำอย่างนี้ ประมุขชิงมีฐานะสูงส่งจึงรู้จักวางมาด เหมียวอี้เคยได้ยินอวิ๋นจือชิวเล่า ว่านางในข้างกายเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกโอรสสวรรค์ท่านนี้กลั่นแกล้งจนโดนตีตายไปหลายคนแล้ว แม้แต่เอ๋อเหมยก็ยังเคยโดนซ้อมไปยกหนึ่ง เพียงแต่ตีตายไปเท่าไร ตระกูลเซี่ยโห้วก็ส่งเข้ามาเพิ่มเท่านั้น เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่กล้าไม่รับไว้
……………………