“…” ชิงหยวนจุนแทบจะสำลักตาย นึกไม่ถึงเหมียวอี้จะให้คำตอบนี้ เขาอ้าปากค้างพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง ทำสีหน้าอัศจรรย์ใจมาก ไม่ง่ายเลยกว่าดึงสติกลับมาได้ “เจ้าไม่พอใจฝ่าบาทเหรอ?”
“องค์ชายเข้าใจผิดแล้วขอรับ” เหมียวอี้ตอบ
คำตอบจบลงตรงนี้ จากนั้นก็ปล่อยให้ชิงหยวนจุนถามอย่างไรก็ถามไป จะเป็นจะตายเขาก็ไม่ยอมพูดความจริงว่าปัสสาวะลงกระโถนเดียวกันไม่ได้หมายความว่าอะไร ไม่สนว่าเจ้าจะเดาไปในทางที่ดีหรือทางที่ร้าย เขาอยู่ในตำแหน่งนี้แล้ว ไม่เชื่อหรอกว่าประมุขชิงจะลงโทษเขาเพราะคำพูดที่เชื่อถือไม่ได้ประโยคเดียว
เมื่อเห็นเขาไม่ยอมพูดอะไรพวกนี้แล้วจริงๆ ชิงหยวนจุนก็ยิ้มบางๆ “ดูท่าแล้วหัวหน้าภาคหนิวจะยังพูดทุกอย่างกับข้าไม่ได้ แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ในภายหลังถ้าเจ้ากับข้าใช้เวลาด้วยกันมากๆ หน่อย เจ้าก็จะรู้ว่าข้าเป็นคนยังไง วันหลังถ้ามีโอกาส ข้าอาจจะไปเดินเล่นที่แดนรัตติกาล หัวหน้าภาคหนิวคงจะยินดีต้อนรับข้าใช่มั้ย?”
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “องค์ชายล้อเล่นแล้ว ผืนดินในใต้หล้า มิมีที่ใดที่ไม่ใช่ของราชัน ไม่ว่าองค์ชายจะไปไหนก็ไม่มีใครกล้าไม่ต้อนรับหรอกขอรับ”
หลังจากทั้งสองคุยกันอีกสักพัก บทสนทนาของการพบกันครั้งแรกก็จบลงเท่านี้ ต่างก็รู้ว่าเป็นการพบกันครั้งแรก เป็นไปไม่ได้ที่จะคุยกันลึกซึ้ง ถ้าเล่นละครตบตาต่อไปก็ไม่มีความหมายเช่นกัน กลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาปลอมเกินไปด้วยซ้ำ ควรจะหยุดพูดเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ที่จริงวันนี้ชิงหยวนจุนก็ถามเกินไปเช่นกัน
ที่จริงบางคำถามเหมียวอี้ก็สามารถปฏิเสธที่จะไม่ตอบได้เลย โอรสสวรรค์คนหนึ่งที่ไม่มีกำลังพลเป็นของตัวเองทำอะไรเหมียวอี้ไม่ได้ มิหนำซ้ำเหมียวอี้ก็ไม่ปล่อยให้เขาทุบตีด่าทอเหมือนนางในอยู่แล้ว เพราะเป็นเจ้าอาณาเขตที่ได้รับแต่งตั้งจากตำหนักสวรรค์ และยิ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงเพียงหนึ่งเดียวของมารดาเขาด้วย เขาเองก็ไม่กล้าล่วงเกินมากเกินไป ถ้ายั่วโมโหจนเหมียวอี้เอาใจออกห่างจากมารดาจริงๆ ก็จะทำให้มารดาของตนคุมกองทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนไม่ได้ เรื่องนี้จะทำให้มารดาเดือดดาลแน่ มารดาอยู่ที่วังสวรรค์อาจจะทำอะไรคนอื่นไม่ได้ แต่ในฐานะมารดาคนหนึ่ง ถ้าอยากจะทำโทษลูกชายจริงๆ เขาก็ไม่มีสิทธิ์บ่นอะไรเลย ถ้ากล้าทำเรื่องที่อกตัญญูต่อบิดามารดา ก็ยังต้องกังวลถึงทัศนคติของบิดาที่มีต่อเขาอีก ขอเพียงบิดาเต็มใจ ก็สามารถคลอดบุตรชายคนที่สองหรือคนที่สามได้อยู่แล้ว วังหลังไม่ขาดแคลนผู้หญิงที่จะคลอดลูกให้
“จุนเอ๋อร์ คุยกับหนิวโหย่วเต๋อเป็นยังไงบ้างลูก?”
เมื่อเห็นชิงหยวนจุนกลับมาแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่สวมชุดไว้ทุกข์ทั้งตัวก็ลุกขึ้นทันที แล้วถามด้วยแววตาที่เฝ้าคอยคำตอบ
ชิงหยวนจุนยิ้มเรียบๆ “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ค่อนข้างน่าสนใจ” เขาไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้ ลักษณะท่าทางยังสุขุมสง่างาม เพราะนี่คือสิ่งที่มารดาหวังจะเห็นตั้งแต่เด็กจนโต ถ้าเขาทำได้ไม่เหมาะสมเมื่อไร มารดาก็จะลงโทษเขาอย่างเข้มงวด ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้ามารดาเขาก็จะพยายามแสดงกิริยาวาจาให้เหมาะสมเต็มที่
ตอนเด็กยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดมารดาจึงโหดร้ายต่อเขาขนาดนี้ หลังจากเติบโตแล้วถึงเริ่มเข้าใจ ว่ามารดาและตระกูลที่อยู่เบื้องหลังมารดาไม่เป็นที่โปรดปรานของบิดา เข้าใจแล้วว่าผู้หญิงที่บิดาโปรดปรานคือคนอื่น เข้าใจแล้วว่ามารดากังวลอะไรที่สุด กังวลว่าทิ้งความรู้สึกไม่ดีไว้ให้ให้บิดา และเข้าใจเช่นกันว่าความมีเกียรติและความรุ่งโรจน์ของพวกเขาสองแม่ลูกนั้นเชื่อมโยงเป็นสิ่งเดียวกัน
เมื่อเห็นลูกชายมีท่าทีสุขุมเยือกเย็น เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็พยักหน้าด้วยความปลื้มอกปลื้มใจ ต่อให้ไม่สนใจความสัมพันธ์แม่ลูก แต่ลูกชายคนนี้ก็มีความสำคัญต่อนางมากจริงๆ อนาคตทั้งหมดของนางขึ้นอยู่กับลูกชายคนนี้
วันที่จัดพิธีฝังเซี่ยโห้วท่า ก็ฝังในหลุมใหญ่โตอย่างมีหน้ามีตา เพียงแต่สิ่งที่ฝังไปมีเพียงเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้
กำลังพลสายต่างๆ ทยอยกันกลับมา เมื่อพิธีศพจบแล้ว เว่ยซูก็เดินตามหลังเซี่ยโห้วลิ่งไปยังประตูใหญ่ของสวนต้องห้ามที่ไม่ได้อนุญาตให้ใครเข้าไปก็ได้
สำหรับเซี่ยโห้วลิ่ง การเดินมาที่นี่ในครั้งนี้กับครั้งก่อนให้ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น สวนต้องห้ามอาจไม่ได้หรูหรา กลับดูโบราณเรียบง่ายด้วยซ้ำ แต่ทุกคนของตระกูลเซี่ยโห้วต่างก็รู้ว่าการย้ายเข้ามาอยู่ที่สวนต้องห้ามหมายความว่าอะไร
เมื่อเซี่ยโห้วลิ่งก้าวเท้าเข้าประตูใหญ่สวนต้องห้าม แล้วไม่เห็นใครมาขวางเขา เขาก็รู้สึกชาวาบหนังศีรษะ ราวกับมีกระแสไฟฟ้าเลื้อยบนผิว ความรู้สึกตื่นเต้นแบบนั้นเป็นสิ่งที่คนนอกยากจะเข้าใจ เพราะคนนอกไม่รู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วเก็บซ่อนกำลังไว้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน
เขามองปราดเดียวก็เห็นต้นไม้โบราณในสวนต้นนั้นแล้ว เขาหันตัวเล็กน้อย เดินตรงไปใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น ยื่นมือลูบลำต้นใหญ่หยาบ มันหยาบหนามากจริงๆ แต่กลับทำให้คนรู้สึกได้ว่าต้นไม้ใหญ่ต้นนี้สงบเงียบดุจขุนเขาไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้
เขารู้ดี ว่าตั้งแต่นี้ไป เขาต่างหากที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงของสวนต้องห้ามแห่งนี้!
แต่กลับพูดอย่างนี้อย่างเปิดเผยไม่ได้ กลับถอนหายใจเบาๆ “ตอนนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าทำไมตอนท่านพ่อมีชีวิตอยู่ถึงชอบต้นไม้ต้นนี้ คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ต้องบังลมบังฝนให้ตระกูลเซี่ยโห้ว”
“ที่นายท่านพูดก็มีเหตุผล” เว่ยซูโค้งตัวเล็กน้อย
“แต่คนบางพวกล่ะ? ไม่เห็นบิดามารดาอยู่ในสายตา!” เซี่ยโห้วลิ่งพลันหันตัว ในดวงตาฉายแววเย็นเยียบ
พอพูดถึงเรื่องนี้ ในใจเขาก็ค่อนข้างเดือดดาล เพื่อปลอบโยนพี่น้องที่กุมอำนาจแต่ละฝ่ายของตระกูลเซี่ยโห้วในที่ลับ เขาอาศัยฐานะหัวหน้าตระกูลเรียกรวมพี่น้องในที่ลับมาคารวะศพ นับว่าเป็นการหยั่งเชิงเช่นกัน ใครจะไปคิดว่าผลลัพธ์ของการหยั่งเชิงจะน่าเวทนา ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครฟังคำสั่งเขา ไม่มีใครมาสักคน กลับบอกว่าทำแบบนั้นอาจจะถูกเปิดโปงได้ง่าย บ้างก็บอกว่าไม่มีทางปลีกตัวมาได้ จึงทำได้เพียงคารวะศพจากทางไกลเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง เซี่ยโห้วลิ่งจึงเข้าใจทันที ว่าในบรรดาพี่น้องที่ซ่อนตัวอยู่ไม่มีใครเชื่อใจเขาสักคน ทั้งยังแสดงบารมีให้เขาเห็นด้วย สิ่งนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? หมายความว่าแม้เขาจะรับช่วงต่อตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว แต่กลับไม่ได้ควบคุมอำนาจที่แท้จริงของตระกูลเซี่ยโห้ว
ไม่ว่าใครก็เข้าใจทั้งนั้น ว่าอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้อยู่ในที่แจ้งเลย สิ่งที่ทำให้คนหวาดกลัวอย่างแท้จริงนั้นอยู่ในที่ลับ ถ้าควบคุมอำนาจใต้ดินของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ ก็หมายความว่าเขาเป็นหัวหน้าตระกูลแค่เปลือกนอกเท่านั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ก่อนหน้านี้ ตอนที่บิดายังไม่ตาย เขาก็อดทนมาตลอด วันนี้ เขาต้องการเผยไพ่ต่อเว่ยซู!
เว่ยซูย่อมรู้ว่าเขาหมายถึงคนพวกไหน เขาก้มหน้าเล็กน้อย ไม่ตอบอะไร
“เว่ยซู ถ้าท่านพ่อยังอยู่ เมื่อเจอการขัดคำสั่งแบบนี้ ท่านพ่อจะจัดการยังไง?” เซี่ยโห้วลิ่งถามเสียงต่ำ
“ไท่ยอมทนเด็ดขาด ฆ่าหนึ่งเพื่อตักเตือนร้อย!” เว่ยซูกล่าวเสียงเบา
เซี่ยโห้วลิ่งจ้องเขา “งั้นเจ้าคิดว่าข้าควรทำไง?”
“ฆ่า!” เว่ยซูตอบ
สำหรับคำตอบนี้ เซี่ยโห้วลิ่งค่อนข้างโล่งใจ สายตาที่กำลังตรวจสอบก็อ่อนโยนลงเช่นกัน เขาเอามือไขว้หลังหันตัวมา “อย่างไรเสียก็เป็นพี่น้องกัน ถ้าไม่อับจนหนทางจริงๆ ก็อย่าทำอย่างนี้จะดีกว่า”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ตอนที่เขายังไม่เข้าใจก้นบึ้งของตระกูลเซี่ยโห้วก็ยังดีหน่อย แต่หลังจากเข้าใจแล้วก็ค่อนข้างเดือดดาล ปัญหายุ่งยากอยู่ที่โครงสร้างอำนาจใต้ดินของตระกูลเซี่ยโห้ว เขาพบว่าตัวเองที่เพิ่งรับตำแหน่งยากที่จะผูกขาดฟ้าดินอย่างท่านพ่อได้
เขาเอียงหน้ามองเว่ยซูพร้อมกล่าวเสริมอีกว่า “ตอนที่ท่านพ่อยังอยู่ คงจะมีวิธีคานอำนาจพี่น้องพวกนั้นของข้า”
เว่ยซูพยักหน้า “วิธีการคานอำนาจก็เรียบง่ายมาก ก็คือทำให้ทุกคนไม่รู้จักกำพืดของกันและกัน ทำให้คุณชายพวกนั้นหวาดกลัวเพราะไม่รู้ นี่ก็คือวิธีคานอำนาจที่ดีที่สุดขอรับ”
เซี่ยโห้วลิ่งพูดเสริมอีกว่า “ถ้ามีคนก่อกบฎจริงๆ ล่ะ?”
เว่ยซูอธิบายว่า “ไม่มีใครก่อกบฏง่ายๆ ขอรับ เพราะไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของทุกคน คุณชายเหล่านั้นแม้จะต่างคนต่างมีกำลังของตัวเอง แต่กลับแบ่งแยกชัดเจนเสมอมา พวกเขาสนับสนุนกันและกัน จุดสำคัญที่เชื่อมต่อคุณชายแต่ละท่านไว้ด้วยกันก็คือหัวหน้าตระกูล ตอนนายท่านยังมีชีวิตอยู่ก็รักษาโครงสร้างแบบนี้ไว้ตลอด รักษาความเป็นเอกเทศของทุกคนเอาไว้ ทั้งป้องกันไม่ให้กระทบคนอื่นเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพลาด และเพื่อป้องกันไม่ให้เติบโตจนควบคุมยาก หลังจากนายท่านทุ่มเทความพยายามสร้างรูปแบบนี้แล้ว บรรดาคุณชายก็จะไม่สอดมือเข้ามาแทรกแซงขอบเขตอำนาจของคุณชายท่านอื่นได้ง่ายๆ
………………………………