ตอนนี้โพล่งเรื่องระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมา จินม่านที่เป็นเจ้าของเรื่องนี้โดยตรงเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร หมายความว่าอายุของทั้งสองไม่ได้ห่างกันแบบธรรมดา
จินม่านหันตัวมาจ้อง “เจ้ารังเกียจที่ข้าอายุมากเกินไปเหรอ?”
หยางชิ่งยังคงหันหลังให้ “คนในแดนฝึกตนมีใครสนใจเรื่องอายุบ้าง ผิวหนังไม่เหี่ยวย่นก็มองข้ามอายุได้”
“งั้นเจ้าหมายความว่ายังไง?” จินม่านถาม
หยางชิ่งตอบว่า “ถ้าเจ้าไม่สามารถบรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เจ้าคงจะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าข้าอีกหน่อย ตอนที่เจ้าเข้าใกล้ระดับนั้น เจ้ารู้หรือเล่าว่าเจ้าจะมีสภาพจิตใจยังไง ดังนั้นมีบางเรื่องที่เจ้าจะต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง”
จินม่านเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ เขาไม่ได้ปฏิเสธนาง จึงเดินกลับมาด้วยแววตาเป็นประกาย มายืนอยู่ข้างหลังเขา แล้วกล่าวอย่างรู้สึกขำเล็กน้อย “เจ้าน่ะอะไรก็ดีหมด แต่กับบางเรื่องก็ห่วงหน้าพะวงหลังเกินไป”
“ข้าเคยได้ยินบางอย่างมา เป็นเรื่องระหว่างเจ้าและประมุขไป๋” หยางชิ่งกล่าว
จินม่านหรุบตาลงเล็กน้อย “ไม่ผิดหรอก เมื่อก่อนข้าเคยรักประมุขไป๋ แต่นั่นเป็นแค่รักข้างเดียว ในปีนั้นผู้หญิงที่เคยรักประมุขไป๋ไม่ได้มีข้าคนเดียว ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด ระหว่างข้ากับเขาไม่ได้มีอะไรกัน”
หยางชิ่งหันตัวมา แล้วถามอย่างแปลก “อย่าบอกนะว่าเจ้ารู้สึกว่าข้าดีกว่าประมุขไป๋?”
จินม่านเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่มีทางเทียบกันได้ ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเอาตัวเองไปเทียบกับเขาดีกว่า จะทำให้เจ้ารู้สึกต่ำต้อยเสียเปล่าๆ น่าเสียดายที่เจ้าไม่เคยเห็นเขา ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเข้าใจว่าข้าหมายความว่าอะไร”
หยางชิ่งอดไม่ได้ที่จะเอามือลูบจมูก คำพูดนี้ฟังแล้วค่อนข้างสะเทือนใจ เขาใช้มือข้างเดียวรองไหสุราดื่มอีกอึก แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มเจื่อน “ข้าก็เลยไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเจ้า”
จินม่านจึงบอกว่า “คนบางคนเป็นได้แค่ความฝันเท่านั้น ส่วนบางคนก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริง ต้องสิ่งนี้ไม่ได้ขัดแย้งกัน เจ้าก็คือความจริงที่อยู่ตรงหน้าข้า เรื่องความรู้สึกข้าเองก็พูดได้ไม่ชัดเจน อยู่ดีๆ ข้าก็เกิดความรู้สึกกับเจ้าโดยไม่มีเหตุผล ทั้งยังรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน ตัวข้าเองยากจะควบคุมได้ ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าอธิบาย ข้าก็ไม่มีทางอธิบายได้ อายุมากแล้วผ่านลมคาวฝนเลือดมาแล้วไม่น้อย นิสัยสุกงอมเป็นผู้ใหญ่เกินไป จะให้ทำตัวเหมือนสาวน้อยข้าก็ทำไม่ไหวแล้ว ข้าบอกได้เพียงว่าไม่หลอกหัวใจตัวเอง!”
“ด้วยฐานะของเจ้ากับข้า ถ้าอยู่ด้วยกันจะรู้สึกอ่อนไหวไปหน่อย จะมีคนเดาว่าเจ้าควบคุมข้า หรือเป็นข้าที่ควบคุมเจ้า” หยางชิ่งกล่าว
จินม่านใช้ฝ่ามือแนบตรงหัวใจ จ้องเขาพร้อมบอกว่า “ข้าถามเจ้าสักคำ ถ้าข้าไม่ได้อยู่ในฐานะนี้ ด้วยความงามอย่างข้าจะทำให้เจ้ามีความปรารถนาบางหรือเปล่า? ความปรารถนาที่ชายมีต่อหญิง มีหรือเปล่า?”
หยางชิ่งครุ่ยคิดเล็กน้อย แล้วพยักหน้าบอกว่า “ไม่จำเป็นต้องตัดเงื่อนไขอะไร ฐานะของเจ้าทำให้ได้คะแนนเพิ่ม แต่ข้ายังไม่ได้คิดดูให้ชัดเจน ให้ข้าไตร่ตรองดูสักหน่อย”
จินม่านหันตัวไป ขณะที่เดินไปก็กล่าวอย่างผิดหวังว่า “รู้จักเจ้ามาหลายปีขนาดนี้ ข้าค้นพบจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเจ้า เจ้าชอบเก็บทุกเรื่องมาคิดทำความเข้าใจก่อนแล้วค่อยทำ แต่เรื่องความรู้สึกนั้นสามารถคิดทำความเข้าใจได้เหรอ? อย่างเจ้าเรียกว่าตกหลุมพรางความฉลาดของตัวเอง พูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ เจ้าห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่สามารถเกิดความรู้สึกกับใครเพราะอารมณ์ชั่ววูบ จะเอามาทำอะไรได้ล่ะ? เจ้าลองค่อยๆ คิดดูเถอะ ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าวันไหนปีไหนเจ้าถึงจะคิดได้…วันนี้ ข้าไม่มีอารมณ์เตรียมสุราอาหารแล้ว รอข้าอารมณ์ดีก่อนค่อยว่ากัน บางทีอาจจะกลายเป็นข้าเองที่คิดได้แล้วเลิกสนใจเจ้าก็ได้” เสียงเงียบไป คนเดินไปไกลแล้ว
ลมทะเลกระพือชุดคลุมตีหลังหยางชิ่ง เขาใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งรองไหสุรา ก้มหน้ามองน้ำสุราใสในไหเงียบๆ ใต้หน้าผาด้านหลังมีเสียงคลื่นซัดกระทบฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า…
ริมชายหาด ในหม้อบนกองไฟเดือดปุดๆ ในนั้นเต็มไปด้วยอาหารทะเล หัวหน้าภาคหนิวตกปลาและถือทัพพีคนด้วยตัวเอง กลิ่นหอมโชยไปทั่วทิศ
เฟยหงที่อาบน้ำสะอาดแล้วพาสาวใช้ทั้งสองจัดโต๊ะและเก้าอี้อยู่ด้านข้าง เฟยหงค่อนข้างตื่นเต้นดีใจ เพราะนายท่านลงครัวทำอาหารให้นางด้วยตัวเอง ตอนอยู่ที่บ้านมักเป็นฮูหยินที่ดูแลเรื่องอาหารการกินของนายท่าน ดังนั้นแม้แต่ฮูหยินเองก็ไม่เคยได้ดื่มด่ำกับการบริการนี้
ทว่ายังไม่ทันต้มอาหารจนสุก งานก็เข้าแล้ว เหมียวอี้หยิบระฆังดาราขึ้นมา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ส่งข่าวมาแล้ว เหมียวอี้จึงเรียกเฟยหงแล้วส่งทัพพีให้นาง ส่วนตัวเองก็ถือระฆังดาราติดต่อกับใครบางคนอยู่ข้างๆ
หลังจากทักทายอย่างสุภาพ เหมียวอี้ก็ถามว่า : ไม่ทราบว่าเหนียงเหนียงมีอะไรจะกำชับขอรับ?
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : ข้ามีเรื่องต้องฝากฝังให้เจ้าไปทำ
เหมียวอี้ย่อมตอบว่า : เหนียงเหนียงกำชับมาได้เลยขอรับ
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เองก็ไม่เกรงใจ : สนมฉิน ช่วยข้ากำจัดนางที ข้าต้องการให้ทั้งครอบครัวนางไม่ตายดี!
“…” เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตกทันที ก่อนหน้านี้ผังก้วนจอมพลสายเถาะได้บอกทิศทางการเคลื่อนไหวให้เขารู้แล้ว ทางฝั่งนี้เพิ่งปรึกษากับหยางชิ่งได้ไม่นาน กำลังดีใจที่ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าจะทำไม่สำเร็จ นึกไม่ถึงว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะหาเรื่องแบบนี้มาให้เขาทำ
หลังจากเหม่อไปประเดี๋ยวเดียว มีหรือที่อยู่ดีๆ เหมียวอี้จะหาเรื่องใส่ตัว รีบปฏิเสธว่า : เหนียงเหนียง การทำเรื่องแบบนี้ อาศัยกำลังของตระกูลเซี่ยโห้วน่าจะเหมาะสมที่สุด
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : พอตระกูลเซี่ยโห้วเปลี่ยนเจ้าบ้านแล้ว กระบวนการความคิดก็แตกต่างจากเมื่อก่อน ข้าเคยบอกไปแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ตอบตกลง ข้าเองก็รู้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยากสำหรับเจ้า กำลังพลของหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลล้วนอยู่ในที่แจ้ง แต่ในมือเจ้ายังมีโถงชุมนุมอัจฉริยะไม่ใช่เหรอ?
โถงชุมนุมอัจฉริยะบ้านแปะเจ้าสิ! เหมียวอี้ไม่รู้จะด่านางอย่างไรแล้วจริงๆ ตอนนี้หวังจัวบิดาของสนมฉินเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาคแล้ว กลายเป็นเจ้าอาณาเขตแล้ว มีกำลังพลเยอะกว่าคนของเขาเสียอีก จุดที่อีกฝ่ายพักอยู่จะต้องมีกำลังทหารคุมแน่นหนาแน่นอน จะไม่ให้นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์สังเกตเห็นตอนเข้าใกล้ก็คงยาก ถ้าจะลอบสังหารก็เหนื่อยพอสมควร อย่างไรเสียถ้าเกิดความเคลื่อนไหวขึ้น กำลังพลของหวังจัวก็จะปิดล้อมประตูดวงดาวทางเข้าออกบริเวณนั้นทันที ทั้งยังมีกำลังพลในอาณาเขตอื่นที่จะรีบเข้ามาสมทบอีก ถ้าทำให้ทัพตะวันออกกระจายกำลังค้นหาเป็นวงกว้างเมื่อไร นั่นก็จะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว กำลังพลตำหนักสวรรค์จะโดนสังหารง่ายๆ อย่างนั้นได้อย่างไร นึกถึงตอนแรกที่พวกอวิ๋นอ้าวเทียนสังหารผู้บัญชาการตลาดสวรรค์แค่ไม่กี่คนสิ ถ้าไม่ใช่เพราะหนีเข้าแดนอเวจี ก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว
ถ้าคิดจะอาศัยกำลังพลน้อยนิดลอบสังหารเจ้าอาณาเขตสักคนนั้นเป็นเรื่องเพ้อฝัน อย่างน้อยก็ต้องเสี่ยงอันตรายมาก เรียกได้ว่ายากกว่าลอบสังหารเหมียวอี้เสียอีก เบื้องหลังเหมียวอี้ไม่มีเครือข่ายกำลังพลสนับสนุน หลังจากทำสำเร็จแล้วก็หลบหนีได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ดีไม่ดีหลังจากสนมฉินก่อเรื่องแล้ว ตระกูลอิ๋งก็อาจจะส่งยอดฝีมือไปคุ้มกันแล้วก็ได้
นอกเสียจากจะส่งกำลังพลจำนวนมากไปโจมตี สังหารเข้าไปและสังหารฝ่าออกมาตลอดทาง แต่กำลังพลจำนวนมากของโถงชุมนุมอัจฉริยะจะทำเรื่องนี้อย่างเปิดเผยได้เหรอ? นี่ไม่ต่างอะไรกับการก่อกบฎ ต่อไปนอกจากจะถูกตำหนักสวรรค์ประกาศยกเลิกแล้ว เหมียวอี้ก็เลิกคิดที่จะทำมาหากินไปได้เลย
เรื่องนี้มีแต่ต้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วลงมือเองถึงจะเหมาะสมที่สุด ตระกูลเซี่ยโห้วมีช่องทางข่าวารรวดเร็ว สามารถหาโอกาสเหมาะลงมือได้ สามารถหายตัวไปอย่างเงียบๆ ได้ก่อนที่จะเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โต
ดังนั้นเหมียวอี้จึงอธิบายความลำบากให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รู้ : เหนียงเหนียง บงการให้กลุ่มนักเลงสังหารคนตำแหน่งใหญ่ของตำหนักสวรรค์ นอกเสียจากจะปิดบังความลับได้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ไม่อยากจะจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย!
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เองก็เน้นย้ำความลำบากของตัวเองเช่นกัน : ถูกคนใช้วิธีการชั้นต่ำเล่นงานแบบนี้ ข้าทนเก็บความแค้นนี้ไม่ไหวจริงๆ ถ้านางตัวดีนั่นไม่ถูกกำจัด ข้าก็กินอยู่ไม่เป็นสุข!
นี่น่ะเหรอความลำบากของนาง เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก
เหมียวอี้เองก็ตระหนักได้เช่นกันว่าการบอกปัดตรงๆ ไม่ใช่วิธีการที่ดี จึงปฏิเสธอ้อมๆ : เรื่องนี้จะบุ่มบ่ามไม่ได้เด็ดขาด เหนียงเหนียงให้เวลาข้าน้อยไตร่ตรองสักหน่อย
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : ท่านหนิว เรื่องนี้ข้าหวังพึ่งเข้าได้คนเดียวเท่านั้น อย่าทำให้ข้าผิดหวังเด็ดขาด!
นี่มันเรื่องอะไรกัน! เมื่อคุยกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็ถือระฆังดารายืนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
เฟยหงที่กำลังถือทัพพีกวนอาหารมองมาทางนี้ เหมียวอี้โบกมือบอกใบ้ให้นางจัดการเอง แล้วก็หยิบระฆังดารามาติดต่อหยางชิ่งอีก
หยางชิ่งยังยืนอยู่ริมหน้าผา ถือไหสุราครุ่นคิดเกี่ยวกับชีวิต ถูกเสียงเตือนข้อความจากปลุกเรียกสติ จึงหยิบระฆังดาราขึ้นมาถามว่ามีเรื่องอะไร
เหมียวอี้ : งานเข้าแล้ว
หยางชิ่งเงยหน้ากรอกสุราเข้าปาก เรียกสติตัวเองอีกครั้ง แล้วถามว่า : เกิดอะไรขึ้นขอรับ?
เหมียวอี้ : เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะให้ข้าสังหารสนมฉิน ทั้งยังบอกว่าต้องการให้ทั้งครอบครัวของสนมฉินไม่ตายดีด้วย นี่ไม่ใช่งานเข้าแล้วหรือไง?
“…” หยางชิ่งเองก็ค่อนข้างพูดไม่ออก ถามว่า : นางไม่ได้ไปขอให้ตระกูลเซี่ยโห้วทำเหรอ?
เหมียวอี้เล่าบทสนทนาระหว่างตัวเองกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ให้ฟังคร่าวๆ ทันที
หยางชิ่งอุ้มไหสุราขมวดคิ้ว แล้วชี้แนะเลยว่า : สาเหตุที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ยอมลงมือมีอยู่สามข้อ หนึ่งคือทำไม่ไหว สองคือไม่อยากทำเพราะสาเหตุบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ สามก็คือรู้อยู่แล้วว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะมาขอให้นายท่านทำ
เหมียวอี้ : เจ้ามีวิธีปฏิเสธหรือเปล่า? เรื่องนี้ยุ่งยากมาก ขนาดตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่ยอมลงมือเลย ข้าสงสัยว่าฝั่งตระกูลอิ๋งอาจจะเตรียมตัวไว้นานแล้ว
หยางชิ่ง : ไม่วาตระกูลเซี่ยโห้วจะมีเหตุผลอะไร แต่ขอถามนายท่านสักหน่อย ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกใช่มั้ยที่ราชินีสวรรค์เอ่ยปากขอให้นายท่านช่วยอย่างเป็นทางการ?
เหมียวอี้ : นับว่าใช่ก็ได้
หยางชิ่ง : แล้วนายท่านจะปฏิเสธได้ยังไง? แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนเป็นนายท่านที่ขอให้ราชินีสวรรค์ช่วย นี่เป็นครั้งแรกที่ราชินีสวรรค์ขอให้นายท่านช่วย ถ้านายท่านปฏิเสธ จะให้ราชินีสวรรค์คิดยังไงล่ะ?
เหมียวอี้ : จะให้ตอบตกลงจริงเหรอ?
หยางชิ่ง : ก่อนหน้านี้ข้าน้อยก็บอกไว้แล้ว ว่าการลับคมขัดเกลาโอรสสวรรค์ของฝ่าบาทครั้งนี้ จะต้องให้คนกลุ่มใหญ่กลายเป็นหินลับคม นายท่านเองก็ยากที่จะหนีพ้น พอโอรสสวรรค์ไปกองทัพองครักษ์แล้ว เกรงว่าฝ่าบาทก็คงจะหาเรื่องให้เขาทำเช่นกัน ต่อให้ครั้งนี้ราชินีสวรรค์ไม่มาหานายท่าน แต่ถ้าครั้งหน้าโอรสสวรรค์ประสบปัญหาอีก เกรงว่าราชินีสวรรค์ก็ต้องมาหานายท่านเหมือนเดิม จะว่าไปแล้วก็ล้วนเป็นเพราะข้าน้อยวางแผนพลาด แม้จะทำให้นายท่านเปลี่ยนภาพลักษณ์คนทรยศในสายตาประมุขชิงได้แล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะมีปัญหาตามมาอีก ประมุขชิงมองใต้หล้าเป็นตัวหมาก เกรงว่าจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลจะอยู่อย่างสงบได้ยากแล้ว!
……………