คำพูดนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกหนักใจอยู่บ้าง หยางชิ่งตำหนิตัวเอง แต่เขาก็รู้ว่าเรื่องบางเรื่องไม่อาจไปโทษหยางชิ่งได้ ไม่มีใครที่วางแผนได้โดยไร้ช่องโหว่ ใครจะไปคาดคิดว่าจู่ๆ จะยั่วให้ประมุขชิงขัดเกลาลูกชาย เขาเหมียวอี้ตั้งใจทำให้ประมุขชิงคิดว่ากำลังติดตามรับใช้ลูกชายของอีกฝ่าย แต่กันบังเอิญมาชนคมดาบแล้วจริงๆ เหมือนเอาเชือกมาผูกคอตัวเอง ทั้งยังแก้มัดไม่ได้ด้วย
อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาแก้มัดเชือก ถ้าให้ประมุขชิงมองออกว่ากำลังโดนปั่นหัวและไม่มีเรื่องอะไรอย่างนั้นเลย เขาจะต้องตายอนาถมากแน่นอน
เหมียวอี้ตอบหยางชิ่งอย่างจนใจ : สงสัยคงจะมีแค่วิธีการนี้แล้ว
หยางชิ่งปลอบใจว่า : ความเสี่ยงก็หมายถึงโอกาสเช่นกัน ในเมื่อประมุขชิงมองนายท่านว่าเป็นผู้ช่วยของโอรสสวรรค์ หากมองจากอีกมุมหนึ่ง นายท่านก็อาจจะได้รับการประคองจากประมุขชิงก็ได้ แรงประคองจะมากจะน้อย ก็เกรงว่าต้องดูผลงานของฝั่งพวกเรา!
เหมียวอี้ตาเป็นประกายทันที : ดูท่าแล้ว ทิศทางการสนับสนุนสองแม่ลูกของตำหนักนารีสวรรค์จะยังเบี่ยงเบนไม่ได้
ทั้งสองปรึกษากันสักพัก ตอนนี้แม้แต่สถานการณ์ฝั่งสนมฉินเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ชัดเลยสักนิด ไม่มีเบาะแส จึงยังหาวิธีการที่เป็นรูปธรรมไม่ได้เช่นกัน ทำได้เพียงสืบให้รู้สถานการณ์ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน จึงหยุดติดต่อกันชั่วคราว
ทางด้านเฟยหง อาหารทะเลปรุงเสร็จแล้ว เหมียวอี้คุยงานเสร็จแล้วกลับมานั่งกินอย่างใจลอยเล็กน้อย
บังเอิญเหลือบไปเห็นเฟยหงที่ก้มหน้าเงียบๆ ก็รู้ตัวว่าตัวเองทำลายอารมณ์สุนทรีของเฟยหงแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะออกมาเที่ยวกับนางตามลำพังได้ เหมียวอี้ดึงความคิดออกมาจากเรื่องงานทันที ถามหยอกล้อว่า “คนสวย กำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ?”
“เอ๋…” เฟยหงเงยหน้า เมื่อเห็นสาวใช้สองคนเม้มปากหัวเราะ นางก็มองค้อนเหมียวอี้แวบหนึ่ง
เหมียวอี้กำชับสาวใช้ทั้งสองด้วยเสียงเรียบว่า “หรูฮูหยินจะเต้นระบำ ไปเฝ้าแถวนี้ไว้หน่อย อย่าให้ใครเข้าใกล้” ทุกวันนี้เวลาเขาจะทำ ‘เรื่องบัดสี’ เวลาเอ่ยออกมาก็เหมือนจะไม่ถือสาอะไรอีกแล้ว
“ค่ะ!” สาวใช้ทั้งสองรีบถอยออกไปอย่างรู้กาละเทศะ
เฟยหงมองออกถึงเจตนาในสายตาของเหมียวอี้ นางกัดริมฝีปาก ใบหน้าแสดงอาการเขินอายเล็กน้อย ภายใต้สายตาบอกใบ้ของเหมียวอี้ สุดท้ายนางก็ลุกออกจากโต๊ะอาหาร กางแขนขาร่ายรำอย่างสง่างามรับลมทะเล เอวอ่อนดุจสายลมร่ายรำเบาๆ เป็นจังหวะ ท่วงท่าชดช้อยมีเสน่ห์
ดูไปดูมา เหมียวอี้ลุกออกจากที่นั่งแล้วเช่นกัน ยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายในขณะที่เฟยหงช้อนสายเสน่หามองพลางร่ายรำอยู่ข้างกายเขา เขาก็ยื่นมือคว้าเอวอ่อนของนางมาไว้ในอ้อมกอด แล้วพาเหาะลงไปในน้ำทะเลมรกตด้วยกัน ตอนที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งสองที่ตัวเปียกลู่ก็กอดรัดฟัดจูบกันแล้ว…
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เหมียวอี้ก็ไปโผล่ที่ชายหาดของดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง คนที่กอดรัดอยู่ด้วยกันก็เปลี่ยนแล้วเช่นกัน เปลี่ยนเป็นหวงฝู่จวินโหรวแล้ว
ความเร่าร้อนดุจไฟของหวงฝู่จวินโหรวทำให้คนเคลิบเคลิ้มราวกับวิญญาณหลุดจากร่าง หลังจากสนุกกันเต็มที่แล้ว เหมียวอี้ก็บีบจุดที่อิ่มเอิบบนตัวนางอย่างแรงหนึ่งที “ผู้หญิงเสเพล!”
หวงฝู่จวินโหรวที่ผิวแดงเรื่อทั้งตัวกัดปากของเหมียวอี้ทันที กัดจนเขาแทบจะเลือดไหล นับว่าเป็นการล้างแค้นที่ถูกเขาด่า พอเงยหน้าขึ้นมาแล้ว ก็จ้องเหมียวอี้ที่โดนกดอยู่ข้างล่าง พร้อมกล่าวด้วยสายตาฉ่ำเยิ้ม “ก็เสเพลกับเจ้าคนเดียว เจ้าจะทำไมล่ะ?”
เหมียวอี้เลื้อยฝ่ามือขึ้นไปบนตัวนาง พร้อมพูดหยอกล้อ “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ ยามปกติดูสง่าภูมิฐานมากเชียวนะ”
หวงฝู่จวินโหรวคล้องคอเขาอย่างสบายใจ พร้อมพูดตามอำเภอใจว่า “ตอนอยู่ส่วนตัว ข้าอยากจะทำอะไรก็จะทำ เจ้าไม่พอใจรึไง?” จากนั้นก็คลอเคลียข้างหู “หรือจะให้ข้าหาที่เงียบๆ คลอดลูกชายให้เจ้าสักคนดีล่ะ?”
เหมียวอี้ตกใจทันที เขาผลักนางออก แล้วเตือนด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าอย่าทำซี้ซั้วนะ!”
แค่ทำซี้ซั้วลับหลังอวิ๋นจือชิวแบบนี้ เขาก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว ถ้าคลอดลูกชายคนแรกออกมาทั้งยังลักลอบเลี้ยงข้างนอก อวิ๋นจือชิวจะต้องตีเขาพิการแน่นอน
“ดูความขี้ขลาดของเจ้าสิ” หวงฝู่จวินโหรวกลอกตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วเข้ามากอดรัดอีกครั้ง “แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าข้าไม่เอ่ยปากเจ้าก็ไม่มา ครั้งนี้เจ้ามาหาข้าก่อนจะต้องมีเหตุผลแน่”
เหมียวอี้จับตัวนางพลิกมานอนราบบนขาของเขา พร้อมลูบไล้เรือนร่างอรชรของนางตามอำเภอใจ “เรื่องของสนมฉิน เจ้าเองก็เคยได้ยินมาใช่มั้ย”
หวงฝู่จวินโหรวช้อนตามองเขา “ตอนนี้เจ้าอยู่กับตำหนักนารีสวรรค์ ต่อให้ไม่อยากสนใจก็คงยาก พอจะได้ข่าวมาบ้าง น่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่โอรสสวรรค์โดนลดตำแหน่งสินะ”
“ช่วยข้าสืบเรื่องของนางสักหน่อย” เหมียวอี้กล่าว
หวงฝู่จวินโหรวคว้ามือของเขาที่กำลังย่ำยีหน้าอกของนาง แล้วลืมตาถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ข้าอยากจะกำจัดนาง…ทั้งตระกูล!” เหมียวอี้ตอบตามตรง
“…” หวงฝู่จวินโหรวได้สติกลับมาได้ฉับพลัน นางผุดลุกแล้วถลึงตาถามว่า “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? หวังจัวเป็นเจ้าอาณาเขต การไปแตะต้องเขามีความเสี่ยงขนาดไหน ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ เจ้าจะไปแตะต้องเขาทำไม? เป็นความคิดของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เหรอ?” พูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่โง่ก็เดาได้ไม่ยากว่าใครบงการ
เหมียวอี้บอกว่า “ก็เพราะอันตรายนี่แหละ ถึงได้ให้เจ้าช่วยสืบข่าวไง ไม่อย่างนั้นข้าจะมาหาเจ้าทำไมล่ะ?”
“สารเลว!” หวงฝู่จวินโหรวเริ่มเดือดแล้ว นางจับเหมียวอี้พลิกแล้วทุบตีพักหนึ่ง สุดท้ายความโกรธก็ยังไม่หายไป ลุกขึ้นมาเก็บเสื้อผ้าใส่ นางโมโหแล้วจริงๆ
ทว่ามีเหมียวอี้ก่อกวนอยู่ข้างๆ เสื้อผ้าที่เก็บขึ้นไปแล้วถูกเหมียวอี้ดึงลงมาอีก ทั้งสองฉุดยื้อกันซ้ำไปซ้ำมาจนเสื้อผ้าขาด สุดท้ายหวงฝู่จวินโหรวจึงไม่เอาเสื้อผ้าแล้ว นางทิ้งเสื้อผ้าแล้ววิ่งตัวเปลือยออกไปเสียเลย ทั้งสองเห็นกันจนชินนานแล้ว ไม่มีอะไรให้เขินอาย
รอจนกระทั่งเหมียวอี้สวมเสื้อผ้าแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ค้นหานางจนเจอ ก็เห็นนางกำลังแช่อยู่ในสระน้ำระหว่างหุบเขา เหมียวอี้จึงถอดเสื้อผ้าแล้วหน้าด้านเดินลงไปแช่ในสระน้ำอีก เขาถามกลั้วหัวเราะว่า “ข้าล้อเล่นกับเจ้านะ นี่โกรธจริงๆ เหรอ?”
หวงฝู่จวินโหรวโบกมือกวาดน้ำใส่หน้าเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ตอนนี้ข้านับเป็นอะไร? ข้านับเป็นอะไรของเจ้า? ใช่ ก็เหมือนที่เจ้าเพิ่งบอก ปกติข้าดูเป็นคนสง่าภูมิฐาน แต่ลับหลังข้าทำเรื่องไร้ยางอายเต็มที่”
เหมียวอี้อยากจะบอกมากว่า ตอนแรกเจ้าพอใจจะทำอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ? แต่เขารู้ว่าพูดสิ่งนี้ออกไปไม่ได้ จึงถามเพียงว่า “เจ้าเสียใจทีหลังเหรอ?”
หวงฝู่จวินโหรวอึดอักเหมือนอยากจะพูดอะไร ไม่นับว่าเสียใจทีหลังหรอก แต่ลองถามใจตัวเองดู ทั้งสองแอบลักลอบเจอกันมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่เหมือนตอนแรกรักที่ยอมแบกรับทุกอย่าง เมื่อเวลานานไปแล้วบางครั้งเห็นคนอื่นอยู่กันเป็นคู่ นางก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้แย่กว่าผู้หญิงพวกนั้น ทำไมทำได้แค่อิจฉาล่ะ? พอนึกว่าเหมียวอี้มีภรรยาและอนุภรรยาอยู่ด้วยกัน แล้วตัวเองนับเป็นตัวอะไรล่ะ? ในใจรู้สึกคับแค้นอยู่บ้าง หรือไม่ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เพื่อนและญาติที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกก็แนะนำผู้ชายมาให้นางเป็นระยะ อาจจะไม่ได้เป็นเจ้าอาณาเขตอย่างเหมียวอี้ และไม่ได้เก่งกาจเหมือนเหมียวอี้ แต่อย่างน้อยก็สามารถอยู่กับนางอย่างสง่าผ่าเผยได้ ไม่ต้องหลบซ่อนอย่างนี้
คนเรามักอยากจะได้สิ่งที่ตัวเองไม่มี คำพูดในใจเมื่อเอ่ยออกมาก็เปลี่ยนเป็น “เจ้าต่างหากที่เสียใจทีหลัง! ข้าหมายถึงว่าข้าไม่มีทางช่วยเจ้าได้ เรื่องที่ข้าเข้าไปแทรกแซงได้มีจำกัด จู่ๆ จะให้ไปสืบข่าวเรื่องครอบครัวสนมฉิน เจ้าไม่กลัวว่าข้าจำทำให้คนอื่นสงสัยเหรอ?”
เหมียวอี้โพล่งไปว่า “ก็คุยกับแม่เจ้าสิ แม่เจ้ามีอำนาจมากกว่า ถ้าจับตาดูเรื่องบางเรื่องก็ไม่ทำให้คนสงสัยง่ายขนาดนั้นหรอก ให้แม่เจ้าไปสืบสิ”
ตัวเขาในวันนี้ เวลาพูดอะไรแบบนี้ออกมาก็ไม่มีความละอายเหลืออยู่แล้วสักนิด ทำเรื่องบางเรื่องจนชำนาญเสียแล้ว มีความมั่นใจที่จะจับจุดอ่อนคนแล้วจริงๆ เขาเรียกใช้หวงฝู่ตวนหรงโดยตรงเสียเลย หวงฝู่ตวนหรงในตอนนี้ขู่อะไรเขาไม่ได้ทั้งนั้น เขาวางแผนกับประมุขชิงทั้งครอบครัวแล้ว ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่บ่มเพาะขึ้นมาทีละนิดเพียงพอที่จะทำให้เขาเลิกหวาดกลัวบางสิ่งแล้ว
“เจ้านี่หน้าด้านใช้ได้เลยนะ ทำกับลูกสาวนางแบบนี้ ยังกล้าหาเรื่องมาให้นางทำอีกเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวเหยียดหยาม
“เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ช้าเร็วก็ต้องประกาศ เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดบังไปทั้งชีวิต ข้ามีอะไรต้องเกรงใจล่ะ” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ
คำพูดนี้มีความหมายต่อคนฟัง ไม่ต่างอะไรกับการให้ความหวังและการรับประกัน ทะลวงเข้าไปในใจหวงฝู่จวินโหรวได้ในรวดเดียว ทำให้นางรู้สึกหวานซึ้งสบายใจ ชั่วพริบตานั้นความรู้สึกน้อยใจหายไปหมดแล้ว ดวงตางามฉ่ำเยิ้มราวกับน้ำจะหยดออกมา “คนบ้า!” เสียงด่ายังไม่ทันเงียบ นางก็กางแขนกระโจนเข้าไปกอดรัดอีกแล้ว ความเร่าร้อนที่ทำให้คนละลายเผยออกมาอีกครั้ง เหมียวอี้ค่อนข้างรับไม่ไหว…
คนนับร้อยพลันปรากฏตัวกลางอวกาศ เห็นได้ชัดว่าข้ามประตูดวงดาวมา ภาพแรกที่ปรากฏก็คือดาราจักรที่สวยแพรวพราวเป็นพิเศษ แพรวพราวจนทำให้คนตาลาย ราวกับเป็นกล้องสลับลาย หลังจากปรากฏตัวแล้ว คนกลุ่มนี้ก็ลอยยืนอยู่กับที่ ผู้ที่นำกลุ่มมาหันมองโดยรอบ พลางเดาะลิ้นชมว่า “จักรวาลยิ่งใหญ่ สิ่งมหัศจรรย์ใดๆ ล้วนมีให้เห็น สวย!”
ผู้ที่นำหน้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นสวีถังหรานที่ปลอมตัวเรียบร้อยแล้ว
ผู้ที่อยู่ข้างกายเขาก็คือหยวนกงที่ปลอมตัวแล้วเช่นกัน หยวนกงมองไปรอบๆ พลางพยักหน้า “สระน้ำมังกรดำคือชื่อของสถานที่ที่งดงามที่สุดในดาราจักร สมคำร่ำลือ”
สวีถังหรานได้ยินแล้วพูดเหยียด “สระน้ำมังกรดำอะไรกัน รังสัตว์เลื้อยคลานเท่านั้นแหละ”
หยวนกงยิ้มแห้ง โบกมือบอกว่า “นายท่านอยู่ที่นี่โปรดระวังคำพูดหน่อย ถ้าปีศาจเทพอสรพิษดำได้ยินเข้าจะเกิดปัญหาได้”
สวีถังหรานหัวเราะแห้งๆ แล้วหยิบแผนที่ดาวขึ้นมาตรวจดู ส่วนหยวนกงก็โบกมือชี้ไปข้างหน้า “มุ่งตรงไปข้างหน้าเท่านั้น ตลาดมืดของสระน้ำมังกรดำอยู่ตรงหน้านี้แล้ว”
หลังจากเทียบแผนที่ดาวจนแน่ใจแล้ว สวีถังหรานก็โบกมือ กลุ่มคนเร่งเหาะไปข้างหน้าทันที
ท้องฟ้าตรงหน้าแพรวพราวหลากสีสัน ผ่านไปไม่นาน ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ถูกเมฆครึ้มและสายฟ้าปกคลุมก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ที่อาณาเขตดาวผืนนี้ ดาวเคราะห์ประเภทนี้มีนับพันดวง เพียงแต่ทั้งหมดมีเจ้าของ ที่ปล่อยไวให้ภายนอกมีเพียงดวงเดียวเท่านั้น
ที่บอกว่าที่นี่มีเจ้าของ ก็เพราะเทพอสรพิษดำเจ้าของอาณาเขตนี้ได้รับแต่งตั้งจากตำหนักสวรรค์ ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องอสรพิษดำ เดิมทีเจ้าของอาณาเขตนี้เรียกตัวเองว่าเทพ หลังจากถูกตำหนักสวรรค์แต่งตั้งจึงถูกลดกลายเป็นอ๋อง แต่อ๋องท่านนี้มีจุดที่แตกต่างกันสี่อ๋องสวรรค์ เพราะไม่ครองตำแหน่งในตำหนักสวรรค์ และไม่กุมอำนาจทางทหารของตำหนักสวรรค์ด้วย นอกจากจะไม่มีค่าจ้างแล้ว กลับต้องส่ง ‘น้ำตากลั่น’ ไปบรรณาการตามกำหนดเวลาด้วย เหตุใดจึงเรียกว่าเทพอสรพิษดำน่ะเหรอ? ก็เพราะเป็นของที่จำเป็นต้องใช้ยามของอาวุธวิเศษเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา เป็นเรื่องยากที่จะใส่เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาไว้บนของวิเศษได้ แต่น้ำตากลั่นกลับช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างอัศจรรย์
น้ำตากลั่นก็คือสิ่งที่กลั่นจากน้ำตาของปีศาจเทพอสรพิษดำ และที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของปีศาจเทพอสรพิษดำ และเป็นสาเหตุที่ตำหนักสวรรค์แต่งตั้งอ๋องให้เป็นกรณีพิเศษ
ทว่าแม้น้ำตากลั่นจะอัศจรรย์ แต่กลับมีจุดที่แตกต่างจากสิ่งอื่น นั่นก็คือไม่สามารถเก็บรักษาได้นาน หลังจากผลิตขึ้นมาแล้วอยู่ได้เพียงสามปีเท่านั้น หลังจากนั้นสามปีก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ปัจจุบันยังไม่มีใครค้นหาวิธีเก็บรักษามันได้ ภายใต้อุปสงค์และอุปทาน ที่นี่จึงค่อยๆ กลายเป็นตลาดมืดแห่งหนึ่งเนื่องจากน้ำตากลั่น
ตลาดผีในตลาดมืดเดิมทีก็อยู่ที่นี่ ตอนหลังที่ตำหนักสวรรค์กวาดล้างที่นี่เพื่อข่มตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วจึงทิ้งที่นี่ย้ายไปตลาดผี กระแสคนที่ทำการค้าขายก็เป็นฝ่ายย้ายตามไปตลาดผีเช่นกัน ตำหนักสวรรค์ถึงได้รู้ว่าการไม่รักษาที่ต้นเหตุของโรคนั้นเปลืองแรง ตอนหลังจึงไม่ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์แบบนี้แล้ว
…………………………