เมื่อเข้าใจรายละเอียดที่ควรถามและสิ่งที่อยากรู้ไปพอสมควรแล้ว ก็พบปัญหาหนึ่งที่ยุ่งยากมาก นั่นก็คือบนตัวเนี่ยนเซี่ยไม่พกกระเป๋าหรือแหวนเก็บสมบัติใดๆ เลย พอถามแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นความต้องการของจวนหัวหน้าภาค ถ้าไม่ใช่เพราะมีแค่คนข้างกายสนมฉินเท่านั้นที่รู้ว่าสนมฉินชื่นชอบการเปลี่ยนสีสันดอกไม้ถึงได้ให้นางออกมาเก็บดอกไม้ แม้แต่จะออกมาข้างนอกนางก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ป้องกันไม่ให้นางพกของอะไรเข้าออกเป็นการส่วนตัว เป็นการอุดช่องโหว่เพื่อความปลอดภัย
เรื่องนี้แม้แต่เหยียนซู่เองก็ไม่รู้ นึกไม่ถึงว่าจวนหัวหน้าภาคจะรักษาความปลอดภัยแน่นหนาถึงขั้นนี้ ตอนนี้เหยียนซิวเริ่มขมวดคิ้ว แบบนี้ก็ไม่มีทางเข้าไปได้เลย ถ้าบนตัวไป๋เฟิ่งหวงมีกระเป๋าหรือกำไลเก็บของอะไร ก็จะถูกสงสัยทันที แบบนั้นคงไม่เหลือโอกาสให้กู้สถานการณ์ด้วยซ้ำ
เหยียนซิวพลันมองไปที่ไป๋เฟิ่งหวง “ถ้าเจ้าเข้าไปคนเดียวจะจัดการได้หรือเปล่า? ถ้าเอาตัวเป็นๆ ออกมาไม่ได้ ทิ้งคนตายไว้ก็พอ!”
พอไป๋เฟิ่งหวงได้ยินเนื้อหาที่เขาถามเนี่ยนเซี่ย ก็รู้แล้วว่าเขากำลังกังวลอะไร นางทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “แม้แต่เรื่องเล็กแค่นี้ยังจัดการไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะส่งเจ้ามาทำไม! ขอแค่เจ้าเรียกข้าว่า ‘กูไหน่ไน[1]’ สักคำ ข้าก็มีวิธีพาเจ้าเข้าไปอยู่แล้ว”
เหยียนซิวไม่พูดพร่ำทำเพลง อ้าปากเรียกอย่างไม่ลังเลว่า “กูไหน่ไน!” ทว่าเป็นเสียงที่เย็นเยียบแหบพร่า คำว่า ‘กูไหน่ไน’ นี้ทำให้คนรู้สึกขนพองสยองเกล้า
“…” ไป๋เฟิ่งหวงอ้าปากค้าง ทำสีหน้าไม่ถูก ความตรงไปตรงมาของเหยียนซิวทำให้นางหมดคำจะเอ่ย ทำให้นางคิดตามไม่ทัน ภายใต้การจับจ้องจากสายตาอันน่าสะพรึงของเหยียนซิว ไป๋เฟิ่งหวงหุบปากแล้วกลืนน้ำลาย ก่อนจะโบกมือบอกว่า “เรื่องนี้ข้าจะแก้ไขปัญหาเอง”
เหยียนซิวไม่อิดออด มองไปทางเนี่ยนเซี่ยพร้อมถามว่า “ยังมีอะไรที่เจ้าต้องให้นางอธิบายอีกมั้ย?”
ไป๋เฟิ่งหวงที่ยังไม่หายเซ็งพยายามวางมาดโอหังอวดดีอย่างที่เคยทำ เชิดคางบอกว่า “ก็รู้พอสมควรแล้ว”
เหยียนซิวถามอีกว่า “เจ้าแน่ใจนะ? ถึงตอนนั้นก็อย่าทำอะไรซี้ซั้ว” พูดจากใจจริงเลย เขารู้สึกว่าปีศาจตนนี้ดูพึ่งพาไม่ค่อยได้
เมื่อเห็นเขาสงสัยตน ไป๋เฟิ่งหวงก็ถลึงตาทันที “ข้าหวังแค่เจ้าจะไม่ทำซี้ซั้วจนข้าต้องเดือดร้อนไปด้วยก็พอแล้ว!”
เหยียนซิวไม่เถียงกับนางอีก เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว “เริ่มเลย ให้นางออกมานานเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนสงสัยได้ง่าย”
“เชอะ!” ไป๋เฟิ่งหวงเชิดใส่ แล้วเดินวนรอบตัวเนี่ยนเซี่ยสองสามรอบ มองประเมินรายละเอียดซ้ำไปซ้ำมา สุดท้ายก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ ร่างกายเลื้อยขยุกขยิกเปลี่ยนแปลง ไม่นานก็กลายเป็นอีกคนที่หน้าตาเหมือนเนี่ยนเซี่ยทุกอย่าง นางยืนเคียงกับเนี่ยนเซี่ยแล้วถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
เหยียนซิวเงียบไปครู่หนึ่งแล่วบอกว่า “เสียงยังแตกต่าง”
ไป๋เฟิ่งหวงขยับคอเล็กน้อย มองออกเลยว่าตรงคอหอยของนางไหลขยับซ้ำไปซ้ำมา ปรับโครงสร้างอณูตรงส่วนคอหอยอย่างช้าๆ เปล่งเสียงทดสอบไม่หยุด จนกระทั่งเหยียนซิวแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไรถึงได้หยุด
ยังไม่ฆ่าเนี่ยนเซี่ย เหยียนซิวนำป้ายผ่านทางของนางโยนให้ไป๋เฟิ่งหวงก่อนจะเก็บนางเข้ากระเป๋าสัตว์ แล้วกล่าวกับไป๋เฟิ่งหวงด้วยสีหน้าจริงจัง “ต่อไปต้องดูแล้วว่าเจ้าจะรับมือยังไง”
“พอเปลี่ยนจากน้ำเต้าใบ้กลายเป็นหีบเสียงพูดมากแล้วน่ารำคาญจริงๆ อย่าเปลืองน้ำลาย!” ไป๋เฟิ่งหวงพูดเหยียดหยาม แล้วยกมือขึ้นมา ขยุ้มนิ้วทั้งห้าไปทางเหยียนซิว เห็นเพียงฝ่ามือนางพลันกลายเป็นหลุมดำหลุมหนึ่ง มันขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ราวกับเป็นปากของปีศาจ พออ้าปากก็กินเหยียนซิวเข้าไปแล้ว
เหยียนซิวที่ใช้ความเงียบเผชิญหน้าเข้ามาอยู่ในสุญญากาศดำมืดในชั่วพริบตาเดียว เขาหันมองโดยรอบอย่างช้าๆ
หลังจากเก็บเหยียนซิวที่ไม่ขัดขืนเข้ามาแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็ก่นด่าสาปแช่งไปยกหนึ่ง เริ่มด่าตั้งแต่เหยียนซิวไปยันเหมียวอี้ ทั้งยังประกาศว่าจะไม่ทำแบบนี้แล้ว บอกว่าจะหนีไป
แต่สุดท้ายก็ยังไม่หนีไป ถือตะกร้าดอกไม้ของเนี่ยนเซี่ยกลับมาที่หุบเขาดอกไม้อีก แล้วเลียนแบบลักษณะท่าทางของเนี่ยนเซี่ยเดินออกจากหุบเขาดอกไม้ไปยังภูเขาจวนหัวหน้าภาค
ผ่านการตรวจสอบป้ายคำสั่งตลอดทาง ไป๋เฟิ่งหวงอกสั่นขวัญแขวนเช่นกัน โชคดีที่คนตรวจสอบวรยุทธ์ไม่สูงเท่าไร บวกกับทุกคนเห็นนางเป็นเนี่ยนเซี่ยแล้ว ตอนตรวจสอบจึงไม่ได้เอาจริงเอาจังเกินไป ไม่อย่างนั้นก็คงปิดบังพิรุธบางอย่างไม่ได้
ตลอดทางที่มาไม่รู้ว่าด่าเหมียวอี้ไปกี่รอบแล้ว เพราะนี่คือการกระทำที่เสี่ยงและไม่คุ้ม วิธีการโง่เง่าอย่างนี้ก็กล้าใช้ ถ้าถูกเปิดโปงขึ้นมา นางก็ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะรอดชีวิตออกไปได้อย่างไร ถ้าตกอยู่ในมือประมุขชิงเมื่อไร โดนสะสางทั้งบัญชีเก่าบัญชีใหม่พร้อมกัน นางไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย
อย่างไรเสียนางก็เข้าจวนหัวหน้าภาคเป็นครั้งแรก ยังรู้สึกว่าสภาพพื้นที่จริงกับสภาพพื้นที่ในแผนที่ต่างกัน นางเดินโดยทำท่าเหมือนคุ้นทางมาตลอดทาง กล้าใช้หางตาจำทางเอาเท่านั้น ไม่กล้ากลอกสายตาลอกแล่ก และไม่กล้าเหลียวซ้ายแลขวาด้วย นางทำตัวผ่อนคลายแต่ภายในตึงเครียดราวกับเดินบนแผ่นน้ำแข็งบาง เดินมาเรื่อยๆ จนถึงนอกเขตเรือนแห่งหนึ่ง
นอกประตูมีคนของกองทัพองครักษ์เฝ้าอยู่ ในศาลาด้านข้างยังมีแม่ทัพเกราะแดงสองคนนั่งดื่มน้ำชาอยู่ด้วย แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ ท่าทางยามถือถ้วยน้ำชาพลางเหล่ตามองแบบนั้นทำให้ไป๋เฟิ่งหวงตึงเครียดในใจ ถ้าให้ท่านนี้ตรวจสอบจริงๆ นางจะต้องเผยพิรุธแน่นอน สุญญากาศที่สร้างขึ้นในร่างกายสามารถปิดบังทหารเล็กๆ ที่ความรู้น้อยได้ แต่กลับปิดบังแม่ทัพใหญ่ท่านนี้ไม่ได้
โชคดีที่ท่านนั้นไม่ได้ทำอะไรมาก เพียงกวาดสายตาเย็นเยียบมองนางแวบหนึ่ง ส่วนทหารยามตรงประตูก็แค่ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบทั้งตัวนางรอบหนึ่งแล้วปล่อยไป อย่างไรเสียตอนนี้นางก็คือเนี่ยนเซี่ยแล้ว เข้าออกที่นี่อยู่บ่อยๆ ไม่ทำให้ใครสงสัยง่ายๆ สาเหตุหลักคงเป็นเพราะปลอมตัวเป็นเนี่ยนเซี่ยแล้ว
“สวยจัง!”
ไป๋เฟิ่งหวงเพิ่งเข้ามาในเขตเรือนได้ไม่นาน ก็เห็นหนิงชุนเข้ามาต้อนรับแล้ว อีกฝ่ายรับตะกร้าดอกไม้จากมือนางแล้วเอ่ยชม
ไป๋เฟิ่งหวงจำได้ว่านางคือหนิงชุน จึงไม่กล้าคุยด้วยมากเพราะกลัวเผยพิรุธ ถามไปตรงๆ เลยว่า “เหนียงเหนียงล่ะ?”
หนิงชุนกำลังคัดเลือกดอกไม้ ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “กำลังฝึกฉิน ไปกันเถอะ พวกเรานำดอกไม้ที่จัดเสร็จแล้วไปให้เหนียงเหนียงดูกัน” พูดจบก็คว้าข้อมือไป๋เฟิ่งหวง
ไป๋เฟิ่งหวงชักมือกลับมา “ข้ามีธุระกับเหนียงเหนียงนิดหน่อย”
หนิงชุนมองนางศีรษะจดเท้า แล้วถามอย่างระแวง “เหมือนเจ้าดูแปลกไปนะ มีเรื่องอะไรเหรอ?” นางดูไม่ปกติจริงๆ สำหรับคนที่คุ้นเคยกัน อย่างน้อยสายตาของ ‘เนี่ยนเซี่ย’ คนนี้ก็ไม่ปกติ ภายนอกสามารถเลียนแบบกันได้ แต่สายตานั้นยากจะทำให้เหมือนได้
“เฮ้อ!” ไป๋เฟิ่งหวงถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหน้ากระบิดกระบวนไม่ตอบคำถาม จากนั้นแยกแยะจดจำเส้นทางครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปตามเสียงฉินที่ดังแว่วมา
หนิงชุนอุ้มตะกร้าดอกไม้พลางจ้องแผ่นหลังนาง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัย
ในตึกศาลา ไป๋เฟิ่งหวงเดินตามระเบียงวนรอบหนึ่ง เดินมาเรื่อยๆ จนถึงในตำหนักที่สร้างติดริมน้ำ เห็นได้ชัดว่านางก็กล้าหาญเหมือนกัน ถือวิสาสะโบกมือให้นางในที่อยู่ด้านนอกตึกถอยออกไป แล้วยืนจ้องผู้หญิงหน้าตางดงามที่กำลังดีดฉินอย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาข้างใน หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นสนมฉินก็เดินเข้าไป แล้วหันตัวไปปิดประตูไว้
ใครจะคิดว่าสนมฉินที่กำลังดีดฉินจะไม่เงยหน้าขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย นอกจากจะมีสีหน้าผิดหวังแล้ว ในเสียงฉินก็ยิ่งเจือความรู้สึกคับแค้น ไม่สนใจการกระทำใดๆ ของไป๋เฟิ่งหวงเลย
ไป๋เฟิ่งหวงเดินช้าๆ ไปยืนข้างหลังนาง จากนั้นมองซ้ายมองขวา แล้วเข้าไปในตำหนักหลังอีก หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจให้แน่ใจว่าไม่มีคนอื่น ถึงได้เดินอ้อมมาข้างหลังสนมฉิน รอจนทำนองเสียงต่ำลงและหยุดชะงักกลางคันจนไม่สะดุดหูใคร ก็ยื่นมือไปบีบควบคุมที่หลังคอของสนมฉินเสียเลย จากนั้นก็วางนางไว้บนพื้น
ง่ายดายแบบนี้ ไม่เปลืองแรงเลยสักนิด ไป๋เฟิ่งหวงชำเลืองมองบนพื้นพลางยิ้มมุมปาก จากนั้นโบกมือเรียกเหยียนซิวออกมาอีก แล้วบุ้ยปากไปทางสนมฉินที่นอนอยู่บนพื้นอย่างโอ้อวด
เหยียนซิวรีบนั่งยองๆ จับหน้าสนมฉินหันซ้ายหันขวาเพื่อยืนยันตัวตนให้แน่ใจ
สนมฉินถลึงตาจ้องทั้งสองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
สิ่งที่ทำให้นางหวาดกลัวกว่านั้นยังรออยู่ตอนหลัง ‘เนี่ยนเซี่ย’ เดินวนรอบนางสองสามรอบ แล้วกางแขนหมุนตัวอย่างอ่อนช้อยต่อหน้านาง ชั่วพริบตาเดียวก็กลายสภาพเป็นนางแล้ว
ในขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมา เหยียนซิวรีบเก็บสนมฉินบนพื้นแล้วถลันตัวไปที่ตำหนักหลัง
ไป๋เฟิ่งหวงรีบกลับไปนั่งที่เดิม แล้วใช้นิ้วเรียวสวยวาดบรรเลงบนสายฉินจนเกิดจังหวะที่ไพเราะ
เหยียนซิวที่หลบอยู่ในตำหนักหลังยื่นศีรษะออกมามองแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าไป๋เฟิ่งหวงจะดีดฉินได้ชำนาญแบบนี้
ประตูตำหนักถูกผลักออกเบาๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหนิงชุนนั่นแอง
หนิงชุนมองสนมฉินที่กำลังดีดฉินครู่หนึ่ง แล้วมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย นึกไม่ถึงว่าจะไม่เห็นเนี่ยนเซี่ยแล้ว
เสียงฉินหยุดลง สนมฉินเอามือลูบคอตัวเอง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไปเชิญท่านหัวหน้าภาคมาสักรอบ”
หนิงชุนประหลาดใจ “เหนียงเหนียง คอท่านเป็นอะไรไป?” เห็นได้ชัดว่าเสียงพูดแปลกไป
สนมฉินเหล่ตามองแวบหนึ่ง “ไป! เดี๋ยวนี้!”
หนิงชุนตกใจ ยังไม่เคยเห็นเหนียงเหนียงทำสายตาดุร้ายขนาดนี้มาก่อน นางตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรอีก รีบออกไปทันที
ไป๋เฟิ่งหวงหันกลับมา ถลึงตาใส่เหยียนซิวที่ยื่นศีรษะออกมาสอดแนม สิบนิ้ววางลงบนสายฉินอีกครั้ง ท่วงทำนองที่สง่างามดังขึ้นอีก
รออยู่ไม่นาน หวังจัวก็เดินก้าวยาวเข้ามา เข้ามาในตำหนักแล้วกุมหมัดคารวะ “คำนับสนมฉิน”
ไป๋เฟิ่งหวงใช้สองมือกดหยุดสายฉิน พอเสียงฉินหยุดดังแล้ว นางก็ยกมือบอกใบ้หวังจัวว่าไม่ต้องมากพิธี แล้วโบกมือบอกใบ้หนิงชุนที่เดินตามหลังมาให้ถอยออกไป
หนิงชุนถอยออกไปอย่างเคารพเชื่อฟัง ในสายตาดูระแวงสงสัยไม่หยุด ไม่รู้ว่าวันนี้สนมฉินเป็นอะไรกันแน่
เมื่อไม่มีคนนอก หวังจัวก็ถามอย่างห่วงใยในฐานะบิดา “ฟางเอ๋อร์ ได้ยินว่าเจ้าเจ็บคอเหรอ?”
ไป๋เฟิ่งหวงส่ายหน้า แล้วลุกขึ้นบอกใบ้ให้หวังจัวตามนางไปที่ตำหนักหลัง
หวังจัวไม่ระแคะระคาย เพียงสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเฉยๆ ใครจะคิดว่าตอนเพิ่งก้าวเข้าตำหนักหลัง ก็ถูกแสงสีดำสายหนึ่งเข้ามาปะทะหน้า เขาตกอยู่ในมือเหยียนซิวแล้ว
ไป๋เฟิ่งหวงที่เดินเข้ามาในตำหนักหลังปรายตามองหวังจัวที่ยืนเหม่อแวบหนึ่ง ก่อนจะหันตัวเดินกลับมาที่ตำหนักหน้า แล้วยืนกวักมือไปทางนอกประตู เรียกหนิงชุนเข้ามาอีกครั้ง
หนิงชุนหลังจากเข้ามาแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็บีบคอนางซึ่งๆ หน้า ทำให้นางสลบได้อย่างราบรื่นฉับไว
พอปิดประตูตำหนัก นางก็กลับเข้ามาในตำหนักหลังอีกครั้ง ตอนนี้เหยียนซิวถามทางหวังจัวจนได้แผนที่ฉบับหนึ่งมาแล้ว โดยที่ไป๋เฟิ่งหวงตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ
รออยู่ครู่เดียว ไป๋เฟิ่งหวงก็กลายร่างเป็นเนี่ยนเซี่ยเดินออกจากตำหนัก กำชับนางในที่อยู่ข้างนอกว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาต ก็ไม่ให้ใครเข้ามารบกวนทั้งนั้น
พอกลับเข้ามาในตำหนัก ก็มองศึกษารูปร่างหน้าของหวังจัวแล้วกลายร่างเป็นหวังจัวอีก หวังจัวตัวจริงถูกเหยียนซิวเก็บไว้แล้ว ส่วนไป๋เฟิ่งหวงก็เก็บเหยียนซิวไว้อีกที ตอนนี้ถึงได้แปลงร่างเป็นหวังจัวเดินออกจากตำหนัก เดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย
ครั้งนี้นางมีความมั่นใจมากขึ้นแล้ว ออกจากเขตเรือนของสนมฉินแล้วมุ่งตรงไปเขตเรือนหลัก พอเจอหน้าฮูหยินแล้ว ‘หวังจัว’ ก็จูงมือนางเข้ามาในห้องเสียเลย แล้วฉวยโอกาสตอนไม่มีใครเห็นจับนางไว้ ง่ายดายมากจริงๆ
ผ่านไปครู่เดียว ‘หวังจัว’ ก็เดินออกจากที่นั่นอีก เดินไปบ้านถัดไป เข้าออกทีละบ้าน จับอนุภรรยาสามคนและลูกชายหนึ่งคนของหวังจัวเอาไว้แล้ว
…………………………
[1] กูไหน่ไน 姑奶奶 เป็นสรรพนามเรียกผู้หญิงที่แสดงถึงความอวดดี เหนือกว่าผู้อื่น