หลังจากแน่ใจแล้วว่ารอบข้างไม่มีปัญหา เว่ยซูก็โปบกมือปล่อยพวกหยางชิ่งออกมา
พอพวกหยางชิ่งโผล่หน้ามาก็มองไปรอบๆ ทันที คอยระแวดระวังตัวอย่างสูงไว้ตลอด
แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน ประมุขขุนพลหกลัทธิก็ต่างคนต่างปล่อยมาอีกสองคน พอส่งสัญญาณมือ สิบสองคนก็แยกกันไปหกทิศทาง เตรียมป้องกันโดยรอบ
มีข่าวทยอยส่งมาเรื่อยๆ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีเรื่องอะไร หยางชิ่งก็ถามยืนยันทิศทางกับเว่ยซู จากนั้นถึงได้ชี้บอกทิศทางกับไป๋เฟิ่งหวง “จากตรงนี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณแปดสิบลี้ จะมีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง โรงเตี๊ยมตั้งเรียงรายติดทะเลแม่น้ำ ใต้ทำนบกั้นแม่น้ำตรงข้ามประตูทางออกเมืองก็คือจุดจอดเรือสัญจร เซี่ยโห้วท่าอยู่บนเรืออูเผิงที่อยู่ท่ามกลางเรือเหล่านั้น สีแดงที่แต้มไว้ด้านล่างของหัวเรืออูเผิงก็คือเป้าหมาย เจ้ารู้จักเซี่ยโห้วท่า…”
ไป๋เฟิ่งหวงทนรำคาญไม่ไหว “ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าพูดจนหูข้าจะด้านเป็นรังไหมอยู่แล้ว ยิ่งเจ้าพูดข้าก็ยิ่งกังวล”
หยางชิ่งสีหน้าเคร่งขรึม พูดต่อไปว่า “จำเอาไว้ ว่าเว่ยซูเคยไปที่นั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง พอไปถึงก็อย่าเหลียวซ้ายแลขวา จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย และท่ามกลางมนุษย์ธรรมดาพวกนั้นก็อาจจะมีคนของเซี่ยโห้วท่าแฝงตัวอยู่ แล้วก็ก่อนไปพบเซี่ยโห้วท่า ต้องไปซื้อกับข้าวจากกุ้งหอยปูปลาสองสามอย่างจากโรงเตี๊ยมริมแม่น้ำก่อน อย่าเอาของแพง ซื้อแค่กับข้าวที่ชาวบ้านกินกัน”
“จำได้แล้ว จำได้แล้ว” ไป๋เฟิ่งหวงตอบ
หยางชิ่งกำชับต่อว่า “จำไว้นะ ขวดสีดำคือยาพิษ ขวดสีขาวคือยาถอนพิษ ต้องลงมือให้รวดเร็วและอำพรางให้ดี อย่าให้ใครเห็น ต้องจำไว้ด้วยว่าเงินของที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น ต้องใช้เงินจื่อเฉียนที่ข้าให้เจ้าไว้ก่อนหน้านี้…”
หลังจากกำชับซ้ำไปซ้ำไปซ้ำมา ไป๋เฟิ่งหวงก็บอกว่าจำได้แล้ว แล้วก็ถามอีกว่า “พวกเจ้าให้ข้าไปคนเดียวเหรอ?”
หยางชิ่ง “มีแต่ต้องให้เจ้าไปคนเดียวเท่านั้น พวกเราไม่มีทางไปเป็นเพื่อนเจ้าได้ ไม่อย่างนั้นต้องทำให้คนสงสัยแน่ เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเราจะตามไปทีหลัง จะดักซุ่มอยู่รอบๆ ตัวเจ้า เข้าใจมั้ย?”
ไป๋เฟิ่งหวงชี้เขา “อย่ามาหลอกข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะเปิดโปงกำพืดพวกเจ้าให้เซี่ยโห้วท่ารู้”
หยางชิ่งขมวดคิ้ว “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดมาก รีบไป ไม่อย่างนั้นถ้าเจ้าไม่โผล่หน้าไปเสียทีจะทำให้คนสงสัยได้”
“ซวย…” ไป๋เฟิ่งหวงพึมพำ แล้วรีบเหาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ด้วยรูปลักษณ์ของเว่ยซู
“จุดนัดพบที่เพิ่งบอกไปเมื่อครู่นี้ พวกเจ้าได้ยินหมดแล้วใช่มั้ย?” หยางชิ่งหันตัวไปมาขุนพลใหญ่หกลัทธิ
“จำได้แล้ว” หกคนพยักหน้า
หยางชิ่งจึงกล่าวเสียงต่ำว่า “เว่ยซูเหาะลงมาเหยียบลงที่นี่ สายลับของโจรเฒ่าอาจจะสังเกตเห็นแล้ว ตามที่เว่ยซูบอก ทางทิศเหนือที่อยู่ไม่ไกลจากนี้มีแม่น้ำสายเล็กที่สามารถผ่านไปแม่น้ำสายใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ได้ อย่าเดินบนพื้น และไม่ต้องไหลลงไปตามแม่น้ำด้วย ให้ขึ้นทวนแม่น้ำไป หลังจากอยู่ห่างเป้าหมายสามร้อยลี้แล้ว ก็กระจายกันล้อมเป้าหมายเอาไว้ หกจุดที่ทุกคนล้อมไว้จะต้องห่างจากเป้าหมายสามร้อยลี้ขึ้นไป ข้าสงสัยว่าใกล้ๆ โจรเฒ่าจะแอบวางหน่วยรักษาการณ์ลับเอาไว้แล้ว ดีไม่ดีอาจมีคนรู้จักพวกเจ้าก็ได้ แล้วลักษณะท่าทางของพวกเจ้าก็ไม่เหมือนคนทั่วไป ไม่ว่าเข้าใกล้ใครก็อาจถูกจับได้ทั้งนั้น ดังนั้นพวกเราต้องเดินในทิศทางตรงกันข้าม พยายามอยู่ให้ห่างจากจุดที่อาจจะมีหน่วยรักษาการณ์ลับทั้งในและนอกเมือง ส่วนข้าก็จะสังเกตการณ์ต่อไป พวกเจ้าคอยดำเนินการตามคำสั่งข้า ถ้าเรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลง พวกเจ้าต้องรีบไปถึงให้เร็วที่สุด”
เขาเตรียมตัวเอาไว้เผื่อในกรณีที่แผนล้มเหลว ถ้าไป๋เฟิ่งหวงพลาดขึ้นมา เช่นนั้นฝั่งนี้ก็ทำได้เพียงใช้กำลังจับตัวเซี่ยโห้วท่าไว้เป็นตัวประกันแล้ว
“จำได้แล้ว!” หกขุนพลเอ่ยรับ
หยางชิ่งมองไปทางทิศเหนือ “บนทางระหว่างที่นี่ไปที่แม่น้ำทิศเหนือ ต้องระวังว่าจะมีหน่วยรักษาการณ์ลับ ยอมไปช้าๆ หน่อยดีกว่า ไม่ได้รีบร้อนหรอก ต้องระวังในน้ำเอาไว้มากๆ อย่าให้ใครสังเกตเห็นเด็ดขาด ไปเถอะ!”
“เข้าใจแล้ว!” หกคนเอ่ยรับ แล้วรีบไปทางทิศเหนือ
หยางชิ่งหันกลับไปบอกเหยียนซิวอีก “ถ้าเซี่ยโห้วท่าไม่ได้ติดต่ออะไรกับเว่ยซูเลย เจ้าต้องบอกข้าทันที”
เหยียนซิวพยักหน้า แล้วเขากับเว่ยซูก็ถูกหยางชิ่งเก็บไว้อีกแล้ว
เฮยทั่นเห็นว่าไม่มีคนอื่นแล้ว จึงถูไม้ถูมือถามกลั้วหัวเราะว่า “ท่านบุรุษจะแบ่งภารกิจอะไรให้ข้า?” ใจร้อนอยากแสดงความสามารถ
หยางชิ่งเงียบไปครู่เดียว แล้วบอกว่า “เจ้าดีใจจนออกนอกหน้า ไม่เหมาะจะโผล่หน้าไป”
เฮยทั่นถลึงตา “ข้าต้องโผล่หน้าไปสิถึงจะปลอดภัย ไม่มีใครเคยเห็นข้า!”
หยางชิ่งจึงบอกว่า “ที่เคยเห็นคนของข้าก็มีไม่เยอะ ฝั่งนี้ก็ยิ่งน้อย ไม่ว่าการแต่งตัวหรือสีหน้าของข้าจะเปลี่ยนไปก็ไม่มีใครจำได้” พูดจบก็โบกมือเก็บเขาเอาไว้ แล้วหันไปมองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อีกครั้ง ไม่ได้ไปตามไป๋เฟิ่งหวง แต่เลือกอ้อมไปอีกทาง
คนอื่นต้องระวังว่าจะมีหน่วยรักษาการณ์ลับ แต่สำหรับไป๋เฟิ่งหวง ความกดดันไม่ได้อยู่กับเรื่องนี้เลย นางเหาะเข้าไปในป่าภูเขานอกเมืองอย่างสง่าผ่าเผย แล้วเดินออกมาจากป่าอย่างไม่รีบร้อน เดินตรงไปริมแม่น้ำนอกเมือง
มองออกเลยว่าที่นี่คือคูเมืองที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรือง แม่น้ำที่อยู่นอกเมืองกลายเป็นช่องทางสัญจร ริมแม่น้ำมีโรงเตี๊ยมตั้งเรียงราย ผู้คนเดินขวักไขว่ มีการขนถ่ายสินค้าขึ้นบนเรือของพ่อค้าที่จอดอยู่ริมฝั่งไม่หยุด
ไป๋เฟิ่งหวงที่ปรากฏตัวด้วยรูปลักษณ์ของเว่ยซูจำสิ่งที่หยางชิ่งกำชับได้ แววตาของนางยังมองสำรวจอยู่ แต่กลับไม่เหลียวซ้ายแลขวา บุกเข้าไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่บนถนนสายนี้แล้ว
เมื่อเห็นทางออกที่อยู่ห่างจากคูเมืองไม่ไกล ไป๋เฟิ่งหวงก็มองไปที่โรงเตี๊ยมหลังหนึ่งข้างๆ เข้าไปซื้ออาหารทะเลแบบชาวบ้านไม่กี่อย่าง ซื้อสุราหนึ่งกา แล้วก็หันตัวเดินออกมาอย่างไม่รีบร้อน แม้แต่ท่าทางการถือของก็เลียนแบบความเคยชินของเว่ยซู
พอเดินมาถึงข้างประตูเมืองที่อยู่ตรงข้ามแม่น้ำ ก็เห็นบันไดทางลงไปที่แม่น้ำแล้ว นางยืนอยู่บนบันไดและกวาดมองเรือที่จอดเรียงแถวอยู่ริมฝั่ง ในใจสับสนตึงเครียดอยู่ครู่นึง แอบด่าในใจว่า จิ้งจอกเฒ่านี่ยังไม่ตายจริงๆ ด้วย!
นางมองปราดเดียวก็เห็นเรืออูเผิงที่ทาสีแดงไว้บนหัวเรือแล้ว บนหัวเรือมีชายชราที่สะพายหมวกงอบไว้ข้างหลัง ถ้าไม่ใช่เซี่ยโห้วท่าแล้วจะเป็นใครไปได้อีก นางรู้จักเซี่ยโห้วท่ามานานแล้ว
พอนึกได้ว่ารอบข้างมีคนแอบซุ่มช่วยตัวเองอยู่ ไป๋เฟิ่งหวงก็เลิกกังวล พยายามสงบสติอารมณ์ แล้วถือของเดินลงบันไดไป
เซี่ยโห้วท่าเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง จากนั้นลงเรือแล้วเริ่มแก้เชือกใหญ่ออก
ไป๋เฟิ่งหวงทำตามที่เว่ยซูเคยบอกไว้อีก ไม่พูดอะไรทั้งนั้น ค่อนข้างตามใจอีกฝ่าย ขึ้นไปบนเรือของเซี่ยโห้วท่าโดยตรง เข้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือ
เซี่ยโห้วท่าโยนเชือกไว้บนเรือ พอขึ้นเรือมาก็ใช้ไม้ไผ่ค้ำเรือไว้ พอเรือออกจากฝั่งก็วางไม้ไผ่ไว้อีก แจวเรือไปทางใจกลางแม่น้ำ
รอจนกระทั่งพักเรืออยู่กลางแม่น้ำแล้ว เซี่ยโห้วท่าถึงได้วางไม้พายแล้วหันตัวมา ไป๋เฟิ่งหวงรินสุราวางอาหารให้เขาเรียบร้อย
เซี่ยโห้วท่านั่งขัดสมาธิอยู่ฝั่งตรงข้ามของตัวเล็ก จ้องกับข้าวที่ทำจากสัตว์น้ำไม่กี่ด้วยดูแววตาเลื่อนลอย “เฮ้อ” แล้วก็ส่งเสียงถอนหายใจเบาๆ ของคนวัยไม้ใกล้ฝั่ง
ไป๋เฟิ่งหวงรินสุราให้เขาเรียบร้อยแล้ว กล่าวอย่างหดหู่ใจเล็กน้อยว่า “อาหารในโรงเตี๊ยมฝีมือไม่ดีเท่าของคุณชายรอง”
เซี่ยโห้วท่าถือตะเกียบขึ้นมา คีบกุ้งตัวเล็กขึ้นมาเคี้ยวในปากอย่างช้าๆ สุดท้ายก็เงยหน้าดื่มสุราอึกเดียวหมดจอก จากนั้นตบจอกสุราลงบนโต๊ะ แล้วกินอาหารเงียบๆ อีก
พอเขาไม่พูดจาอะไรแบบนี้ กอปรกับอำนาจบารมีที่สะสมมานาน สำหรับไป๋เฟิ่งหวงแล้ว ให้ความรู้สึกว่าลึกล้ำยากคาดเดา ทำเอานางหวาดระแวงกลัวนิดหน่อย กังวลว่าตัวเองเผยพิรุธอะไรไปแล้วหรือเปล่า นางพยายามควบคุมอารมณ์ที่ตื่นเต้น แล้วรินสุราให้เซี่ยโห้วท่าอีกครั้ง
ขณะเดียวกันนางก็หยิบตะเกียบขึ้นมาชิมอาหารเล็กน้อย สุราก็ดื่มไปจอกเดียว ก่อนหน้านี้นางกินยาถอนพิษไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงไม่กลัวอะไร
เซี่ยโห้วท่ายังคงไม่พูดอะไร กินอาหารดื่มสุราต่อไป ดื่มหลายจอกติดต่อกัน
ไป๋เฟิ่งหวงแอบดีใจ ยังกังวลอยู่เลยว่าอีกฝ่ายจะไม่กิน นึกไม่ถึงว่าจะดื่มอย่างสบายใจขณะนี้ นางจึงรินสุราให้ต่อไป ในใจพึมพำว่าใกล้แล้ว…ใกล้ล้มแล้ว…ใกล้แล้ว…
ดื่มสุราไปเกือบครึ่งกา เซี่ยโห้วท่าที่กลัดกลุ้มมานานถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง “เจ้ารองจากไปแล้ว ต่อไปไม่ต้องเอ่ยถึงอีก…ต่อไปไม่ต้องนำอาหารทะเลมาอีกเช่นกัน”
“ขอรับ!” ไป๋เฟิ่งหวงเอ่ยรับเสียงเบา
เซี่ยโห้วท่าวางตะเกียบแล้วเช่นกัน ถามว่า “บัวโลหิตล่ะ?”
ไป๋เฟิ่งหวงหยิบแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งมามอบให้
เซี่ยโห้วท่ารับมาไว้ในมือ ไม่ถือสาที่แสงของสมบัติชิ้นนี้จะเปล่งออกมาด้านนอก นำบังโลหิตออกมาจากแหวนเก็บสมบัติโดยตรง เหมือนไม่กังวลเลยสักนิดว่าคนอื่นจะเห็น
ที่จริงที่นี่มีหลังคาเรือบังอยู่ กอปรกับสายตาของมนุษย์ธรรมดาคงเห็นสภาพกลางแม่น้ำไม่ชัดเจนนัก มิหนำซ้ำนี่ก็คือถิ่นของเซี่ยโห้วท่า ไม่ต้องกังวลมากเกินไป
ในเกสรบัวสีทับทิมมีฝักบัวที่ไร้เม็ดบัววางอยู่เงียบๆ สีแดงสดหยดย้อย รากบัวสีขาวหยกนั่นก็ยิ่งเปล่งแสงสว่างสดใส
เซี่ยโห้วท่าถือบัวโลหิตพลิกดูและลูบคลำนานมาก จากนั้นเอามาจ่อจมูกดมอีก ตอนอยู่ไกลดมไม่เจออะไร แต่พอดมใกล้ๆ แล้วได้กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นมาก สายตาหยุดอยู่บนรากบัวสีขาวเปล่งประกาย พยักหน้าบอกว่า “มหัศจรรย์ขนาดนั้นหรือเปล่าข้าก็ไม่รู้ แต่น่าจะเป็นสมุนไพรจิตวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย ทำของปลอมไม่ได้ เป็นของดี! เว่ยซู ข้าจะว่าอะไรเจ้าดี ในปีนั้นที่ใช้ให้เจ้าไปหาสิ่งนี้จากบรรพาจารย์อาวุโสมารโลหิต ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะทำพลาด ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องเปลืองแรงยุ่งยากขนาดนี้หรอก” ขณะที่พูดก็เก็บบัวโลหิตไว้ แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมาอีก
พอได้ยินแบบนี้ ไป๋เฟิ่งหวงก็หัวใจกระตุกวูบ บรรพาจารย์อาวุโสมารโลหิตอะไรกัน? ไม่เคยมีใครบอกเรื่องนี้กับนางนะ! นางทำได้เพียงเอ่ยรับ “เป็นบ่าวเองที่ทำงานไม่ดี”
ในขณะนี้เอง จู่ๆ เซี่ยโห้วท่าก็ครางเสียงต่ำ มือที่ถือจอกสุราสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัดเจน น้ำสุรากระฉอกออกมา เซี่ยโห้วท่าแทบจะจ้องเว่ยซูที่อยู่ตรงข้ามทันที
ไป๋เฟิ่งหวงสังเกตปฏิกิริยาของเขามาตลอด ในใจภาวนาขอให้ยาออกฤทธิ์เร็วๆ ไม่รู้ตั้งกี่รอบ ตอนนี้แทบจะไม่ลังเลอะไรแล้ว ดีดนิ้วปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งโจมตีตรงหน้าอกเซี่ยโห้วท่า ใต้โต๊ะก็ยื่นเท้ากดไว้บนขาเซี่ยโห้วท่าเช่นกัน ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมไม่ให้เซี่ยโห้วท่าขยับตัว กลัวว่าจะสะเทือนไปถึงสายลับที่อยู่รอบๆ อย่างที่หยางชิ่งบอกไว้
เซี่ยโห้วท่าถูกควบคุมไว้จนขยับไม่ได้ แม้แต่พูดก็พูดไม่ออก ในดวงตาที่เกรี้ยวโกรธเริ่มฉายแววหวาดกลัวทีละนิด
ไป๋เฟิ่งหวงโน้มตัวใช้นิ้วจิ้มบนตัวเซี่ยโห้วท่าสิบกว่าครั้งต่อเนื่องกัน หลังจากควบคุมเซี่ยโห้วท่าได้โดยสิ้นเชิงแล้ว ถึงได้หยิบขวดสีขาวใบหนึ่งออกมา นำยาถอนพิษออกมาเม็ดหนึ่ง รีบยัดเข้าปากเซี่ยโห้วท่าแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยให้กลืน
จนกระทั่งตอนนี้ ไป๋เฟิ่งหวงถึงได้ถอนหายใจแรงๆ ตบอกพร้อมบอกว่า “โจรเฒ่า ทำแม่ตกใจแทบตาย”
พอได้ยินเว่ยซูพูดเป็นเสียงผู้หญิง เซี่ยโห้วท่าก็แววตาวูบไหวไม่สงบ แต่ก็ขยับตัวไม่ได้อีก พูดไม่ได้ด้วย
ไป๋เฟิ่งหวงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับหยางชิ่ง : สำเร็จแล้ว ควบคุมคนไว้แล้ว รีบมารับไวๆ
หยางชิ่งกำลังนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง กำลังจ้องความเคลื่อนไหวของเรืออูเผิงกลางแม่น้ำผ่านหน้าต่าง พอได้ยินข่าวดีแล้ว ก็นึกไม่ถึงว่าไป๋เฟิ่งหวงจะทำสำเร็จได้ง่ายขนาดนี้ กำชับทันทีว่า : อย่าให้มีความเคลื่อนไหวอะไร รอก่อน! ถ้ามีอะไรผิดปกติให้จับโจรเฒ่าเป็นตัวประกันทันที!
เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เก็บระฆังดาราอย่างระมัดระวัง พยายามควบคุมไม่ให้พลังอิทธิฤทธิ์รั่วไหลไปข้างนอก
เขาไม่ได้รีบออกไปจากที่นี่ แต่นั่งกินดื่มต่อไป เสร็จแล้วถึงได้ชำระเงินแล้วออกจากโรงเตี๊ยมไปอย่างแนบเนียน
…………………