นัทธีขมวดคิ้ว คิดในใจว่าคนโทรไม่รู้จักเวล่ำเวลาเลย
ทว่าถึงจะคิดเช่นนี้ แต่เขาก็ยังเอามือถือออกมา
ซึ่งเป็นสายจากมารุต นัทธีมองปราดหนึ่ง จากนั้นก็กดรับสาย“มีอะไรเหรอ?”
“ท่านประธานครับ มีข่าวด่วนจากภายในประเทศครับ บอกว่าสุภัทรเป็นลมครับ”มารุตตอบ
นัทธีรีบมองวารุณีทันควัน
วารุณีกะพริบตาอย่างฉงนสนเท่ห์“ทำไมเหรอคะ?”
“สุภัทรเป็นลม” นัทธีตอบ
สีหน้าวารุณีเปลี่ยนชั่วครู่ จากนั้นก็หลุบตาลง“ค่ะ ฉันรู้แล้ว”
ขยานีวางยาพิษเขามาโดยตลอด ซึ่งเธอก็ไม่ได้ส่งคนไปขัดขวาง
สุภัทรเป็นลมหมดสติ จึงเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็วไม่ใช่หรือ?และเธอก็เตรียมใจรอแล้วด้วย
แต่เมื่อได้ยินก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเธอ
“ตอนนี้อาการเขาเป็นยังไงบ้าง?” นัทธีถามกับคู่สายสนทนา
มารุตส่ายหัวพร้อมกับตอบว่า“ไม่ดีเลยครับ สุภัทรเป็นลมกะทันหันตอนที่ไปตกปลากับคนอื่นครับ ตอนนี้ส่งเข้าโรงพยาบาลแล้วครับ แต่คุณหมอบอกว่า ถึงแม้จะช่วยชีวิตไว้ได้ แต่ก็ลุกขึ้นมาเดินไม่ได้เลยครับ ยังนอนติดเตียงอยู่เลยครับ”
“ผมรู้แล้ว” นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็วางมือถือลง แล้วถามวารุณีว่า“คุณจะทำยังไง?”
“กลับประเทศไปดูเขาค่ะ” วารุณีนวดระหว่างคิ้ว
ไม่ว่าอย่างไร เมื่อสุภัทรเป็นลมหมดสติ เธอก็ควรกลับไปดูเสียหน่อย
นัทธีขานรับอืมหนึ่งเสียง“ได้ ผมจะจัดเครื่องบินให้”
“ฉันจะบอกศรัณย์ค่ะ”
กล่าวจบ วารุณีก็เดินออกจากห้องหนังสือ แล้วออกไปโทรศัพท์หาศรัณย์ด้านนอกห้อง
คืนนั้นวารุณีกับนัทธีพาลูกๆทั้งสองคนขื้นเครื่องบินกลับประเทศ
หลังลงจากเครื่องบิน มารุตก็ส่งข่าวมาอีกครั้ง บอกว่าสุภัทรพ้นขีดอันตรายแล้ว หมอยังตรวจเจอสารพิษในร่างกายสุภัทรด้วย แต่มารุตสั่งไม่ให้ทางโรงพยาบาลบอกเรื่องนี้กับสุภัทร
ดังนั้นตอนนี้สุภัทรยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นลมเพราะเหตุใด คิดว่าเกิดจากสาเหตุที่ตนอายุมากแล้ว
ขยานีอกสั่นขวัญแขวนหลังจากสุภัทรเข้าโรงพยาบาล เกรงว่าคุณหมอจะตรวจเจอยาพิษในร่างกายสุภัทร
วินาทีที่ตัดสินใจจะวางยาพิษกับสุภัทร เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสุภัทรจะตายในบ้าน จะได้ไม่ต้องส่งเข้าโรงพยาบาลและจะได้ไม่มีคนตรวจเจอสาเหตุการตายที่แท้จริงของสุภัทร หากเป็นอย่างนั้นเธอก็ไม่ต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัย
ทว่าครั้งนี้เธอคิดไม่ถึงว่าสุภัทรจะเป็นลมด้านนอก แล้วมีคนส่งเข้าโรงพยาบาล
ได้ยินโรงพยาบาลโทรมาหา เธอก็ตกใจกลัวจนวิญญาณเกือบหลุดออกจากร่าง
ยังดีที่โรงพยาบาลไม่ได้บอกว่าสุภัทรโดนยาพิษ แจ้งแค่ว่า เมื่ออายุมากเข้า ภูมิคุ้นกันภายในร่างกายจึงลดน้อยลง เลยทำให้เป็นลมเป็นแล้งขึ้นมา
ทำให้ขยานีโล่งอก เวลาเดียวกันก็รู้สึกดูถูกโรงพยาบาลแห่งนี้
เธอคิดว่าหมอพวกนี้วิเศษวิโสมาก ที่แท้ก็มีปัญญาแค่นี้เอง
เมื่อโรงพยาบาลตรวจสารพิษในร่างกายสุภัทรไม่เจอ ถ้างั้นก็ปล่อยให้สุภัทรอยู่ในโรงพยาบาลต่อก็ได้ เธอจะได้ไม่ต้องรับสุภัทรกลับมาบ้าน สุภัทรก็ไม่ต้องตายเหม็นเน่าในคฤหาสน์ด้วย
อีกหน่อยคฤหาสน์แห่งนี้ก็จะเป็นของเธอกับปวิชและถวิต เป็นบ้านของครอบครัวพวกเธอ
ในขณะที่ขยานีกำลังจินตนาการอย่างสวยหรูอยู่นั้น พลางได้ยินเสียงเคาะประตูคนไข้
“ใคร?” ขยานีถามอย่างหงุดหงิด
สุภัทรก็ลืมตาขึ้น แต่ร่างกายยังไม่มีแรงพอ จึงพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ไปเปิดประตูสิ”
ถึงแม้ขยานีจะไม่สมัครใจ แต่ก็ลุกไปเปิดประตูแต่โดยดี
เมื่อเปิดประตูพลันเห็นครอบครัวที่มีสมาชิกสี่คน เธอก็ต้องงงเป็นไก่ตาแตก “พวกคุณเองเหรอ?”
คนด้านนอกไม่ใช่ใครอื่น คือวารุณี นัทธีและเด็กๆอีกสองคน
“พวกคุณมาทำอะไรที่นี่?”ขยานีกุมที่จับประตูไว้แน่น จ้องพวกเขาทั้งสี่คนอย่างระแวดระวัง
นัทธีไม่ตอบ เพราะไม่คู่ควรให้เขาตอบ
วารุณีมองด้านหลังขยานี“พ่อฉันล่ะ?”
ขยานีทำตาขาวใส่“อุ๊ย ยังเรียกว่าพ่อฉันอีก ทำไม รู้ว่าพ่อป่วยแล้วคิดจะมาเสแสร้งเป็นลูกกตัญญูหรือ?”
“หลีกไป!” วารุณีไม่อยากเสวนากับเธอ บอกให้เธอหลีกไป
ขยานียืดอกขึ้นมากล่าวว่า“ฉันไม่หลีก เธอจะทำอะไรฉัน?”
วารุณีหรี่ตาขึ้นชั่วครู่
กำลังคิดจะผลักขยานี ด้านหลังอีกฝ่ายก็มีเสียงอ่อนแอของสุภัทรลอยมา “ใครเหรอ?”
“หนูเองค่ะ” วารุณีตอบ
ด้านในห้องคนไข้ สุภัทรตะลึงงัน จากนั้นก็รีบเอ่ยปากว่า“วารุณีเองเหรอ รีบเข้ามาสิ”
การเป็นลมครั้งนี้ทำให้ตนเข้าใจว่า ตัวเองอาจจะลุกไม่ขึ้นอีก คงมีเวลาไม่มากแล้ว
อาจจะเป็นเพราะลมหายใจสุดท้ายของมนุษย์เรา เวลานี้จะใจอ่อน เริ่มระลึกอดีตขึ้นมา
ระหว่างที่เขาเข้ารักษาในห้องไอซียู เขาฝันเห็นภาพครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งสี่คน กำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความสุข
ตอนนั้นวรยาไม่ได้มีอำนาจบาตรใหญ่ ยังคงใส่ใจเขา และวารุณีกับศรัณย์ก็ยังนับถือผู้เป็นพ่ออย่างเขา เขารู้สึกมีความสุขจริงแท้
แต่ต่อมาโดนขยานีกับพิชญาสองแม่ลูกยุแยง เขาจึงค่อยๆมองวรยาเป็นเสี้ยนหนามตำตา และไม่ชอบวารุณีกับศรัณย์ สุดท้ายจึงเผลอไผลไล่วารุณีกับศรัณย์ออกจากบ้าน
ทว่าตอนนี้เขาเสียใจมาก เขาเสียใจจริงๆ เมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาหวังอยากให้วารุณีกับศรัณย์กลับมาอยู่ข้างกายเขาเหลือเกิน เขาอยากสัมผัสความสุขที่มีลูกรายล้อม ขณะเดียวกัน เขาก็ยิ่งอยากให้วารุณีกับศรัณย์ให้อภัยคนเป็นพ่ออย่างเขา
วารุณีไดยินสุภัทรให้ตนเข้าไป แววตาก็เคร่งขรึมชั่วอึดใจ เธอจูงมือเด็กทั้งสองไว้ พร้อมกับพูดกับนัทธีว่า “คุณรออยู่ด้านนอกนะคะ ฉันคุยกับสุภัทรแป๊บหนึ่งก็จะออกมาค่ะ”
“ได้” นัทธีพยักหน้าหงึกๆ
วารุณีพาเด็กทั้งสองเข้าไป ระหว่างที่เดินผ่านขยานี เธอก็กระแทกไหล่ขยานี ให้อีกฝ่ายพ้นทาง ก่อนจะเดินเข้าไป
ขยานีโดนกระแทกจนชนกำแพงพลันร้องโอ๊ยด้วยความเจ็บ
“วารุณี” สุภัทรฝืนสังขารลุกขึ้นนั่ง พลางมองวารุณีอย่างรักใคร่เอ็นดู ซึ่งรวมไปถึงลูกทั้งสองคนของเธอด้วย
เด็กทั้งสองคนน่ารักมาก กำลังกระพริบตาจ้องมองเขา ชวนให้คนเห็นหัวใจละลายยิ่งนัก
เวลานี้สุภัทรมองเด็กทั้งสองด้วยความปรารถนา อยากจะอุ้มสุดแสน ทว่าเขากลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง จึงได้แต่เอ่ยปาก “วารุณี อุ้มเด็กๆขึ้นมาที่เตียงหน่อย”
“ไม่ต้อง ให้พวกเขายืนอย่างนี้เถอะค่ะ” วารุณีจูงมือเด็กทั้งสองไว้ พลางปฏิเสธสุภัทร
เธอไม่ใช่ไม่เห็นแววตาของสุภัทรเมื่อครู่
สุภัทรได้ยินวารุณีปฏิเสธ แววตาจึงหม่นหมองชั่วครู่“เด็กยืนแล้วเหนื่อย ให้มานั่งที่นี่เถอะ”
“ไม่จำเป็น พวกเราได้ยินว่าพ่อป่วย เลยมาดูว่าตายหรือยัง เดี๋ยวก็จะไปแล้ว ไม่ต้องนั่งหรอก”วารุณีกล่าวเสียงเย็นเยียบ
ทำไมสุภัทรจะไม่เข้าใจ เธอไม่อยากให้เขาสัมผัสใกล้ชิดกับลูกๆทั้งสองคน เธอน่าจะยังโกรธอยู่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือจำใจ “วารุณี หนูเห็นสภาพพ่อตอนนี้แล้วนี่ พ่อคงอยู่ได้ไม่นาน”
“แล้วยังไง?” วารุณีมองเขาราบเรียบ
สุภัทรยิ้มหน้าชื่นอกตรม“พ่อใกล้ตายแล้ว หนูยังไม่ให้อภัยพ่ออีกเหรอ?พ่อรู้ว่าผิดต่อพวกหนู แต่ถึงยังไงพ่อก็เป็นพ่อหนูนะ ถึงหนูจะโกรธจะเกลียดพ่อขนาดไหน ตอนนี้ก็ควรหายแล้วมั้ง”
“ไม่มีทางหายหรอก” วารุณีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล่าวอย่างเย็นชาว่า“มันก็เหมือนกับพ่อเอามีดแทงหนูแล้วทิ้งรอยแผลเป็นไว้ มันไม่มีทางจางหายหรอก ทำร้ายก็คือทำร้าย ไม่มีทางหายไปเพราะความตายของพ่อ หนูไม่มีทางให้อภัยพ่อ”
“หนู……” สุภัทรทอดถอนใจ ตบหน้าอกอย่างโศกเศร้า “หนูจะใจร้ายอย่างนี้จริงๆเหรอ?”
“หนูใจร้าย?” วารุณียิ้ม“คนที่ใจร้ายไม่ใช่พ่อหรอกหรือ?”