วารุณีสูดลมหายใจเข้าลึก “คือแบบนี้ มีเพื่อนฉันคนหนึ่ง เขาเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของอารองกับอาสะไภ้รอง แต่ตอนเขาอายุสิบสาม อารองกับอาสะไภ้รองของเขาเสียชีวิต และเมื่อเขาอายุสิบห้า ได้เขียนไดอารี่ขึ้นมา ในไดอารี่เขาเขียนว่าเขามีความรู้สึกที่ไม่ควรต่ออาสะไภ้รอง แบบนี้……ปกติไหม”
เธอไม่ได้บอกตรงๆ ว่าเพื่อนคนนั้นคือนิรุตติ์ และอารองกับอาสะไภ้รองคือพ่อแม่ของนัทธี
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องในครอบครัวของตระกูลไชยรัตน์ ที่ควรปกปิดก็ควรปกปิดไว้
เมื่อพงศกรได้ยินเรื่องที่วารุณีบอก ก็พลันเลิกคิ้วอย่างค่อนข้างแปลกใจ “ความหมายของคุณคือจะบอกว่า เพื่อนคนนั้นของคุณ หลงรักอาสะไภ้รองเหรอ”
“ใช่” วารุณีพยักหน้า
พงศกรดันแว่นตา แล้วถามอีกครั้ง “ทำไมเขาถูกอารองกับอาสะไภ้รองเลี้ยงดูล่ะ พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตไปแล้วเหรอ”
“เปล่า แค่พ่อแม่เขาไม่สนใจเขา คนหนึ่งออกไปหาผู้หญิงข้างนอกบ้านทุกวัน อีกคนออกไปจับเมียน้อยทุกวัน ถึงขั้นเกลียดเพื่อนของฉันมาก รู้สึกว่าเพื่อนของฉันเป็นลูกชาย จึงไม่สามารถรั้งคนเป็นพ่อให้อยู่ด้วยได้” วารุณีส่ายหน้าและตอบกลับ
พงศกรยกคางขึ้น “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ ผมอาจจะรู้แล้ว อย่างแรกหลานชายหลงรักอาสะไภ้ แบบนี้ไม่ปกติแน่นอน โดยทั่วไปแล้ว การหลงรักผู้หญิงที่อายุมากกว่าตัวเองมาก คนคนนั้นมีปัญหาทางจิตไม่มากก็น้อย และปัญหาใหญ่ที่สุด คือการขาดความรักในวัยเด็กจากผู้เป็นแม่”
“ขาดความรักในวัยเด็กจากผู้เป็นแม่!”
พงศกรส่งเสียงอืม “ไม่ผิด เมื่อครู่คุณก็บอกว่าพ่อแม่เขาไม่ดูดำดูดีเขา ดังนั้นตั้งแต่เด็กเขาจึงไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่ ดังนั้นโลกของเขาจึงเป็นสีเทา และตอนนี้ อาสะไภ้รองที่อายุมากกว่าเขามากปรากฏตัวขึ้นในโลกของเขา ให้ความรักแก่เขา ให้เขาได้สัมผัสกับแสงสว่าง เมื่อเวลาผ่านไป แน่นอนว่าเขาจะเกิดความรู้สึกที่เปลี่ยนไปต่ออาสะไภ้รอง”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้” วารุณีบีบฝ่ามือ
พงศกรพูดอีกว่า “แต่มันเป็นสถานการณ์ที่เกิดได้น้อยมาก โดยทั่วไปแล้วจะเป็นความรักในครอบครัว แต่ความรักในครอบครัวกลายเป็นความรักหนุ่มสาว ผมก็เคยเห็นแค่ไม่กี่ครั้ง”
“เพราะว่าน้อย ดังนั้นจึงไม่ปกติ” วารุณีพูด
พงศกรพยักหน้า “ใช่ คนปกติทั่วไปจะไม่เกิดความรู้สึกแบบนั้นกับอาสะไภ้ของตัวเอง เพื่อนของคุณคนนั้น ไม่ปกติจริงๆ แต่สาเหตุที่ใหญ่ที่สุดของความไม่ปกติของเขา อาจเพราะการตายของอาสะไภ้รองได้ไปกระตุ้นเขาในระดับหนึ่ง ทำให้เขายิ่งคิดถึงอาสะไภ้รอง จนแปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกของชายหญิง”
“ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณคุณนะพงศกร” วารุณีนวดขมับ
พงศกรหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ยังมีอะไรอยากถามอีกไหม”
“ตอนนี้ไม่มีแล้ว” วารุณีตอบ
“งั้นผมวางสายก่อน อีกเดี๋ยวต้องเข้าผ่าตัด ไว้คุยกันคราวหน้า” พงศกรขอวายสายก่อน
วารุณีส่งเสียงอืมตอบรับ
การสนทนาจบลง เธอวางโทรศัพท์มือถือ ลุกขึ้นเดินขึ้นไปชั้นบน
มาถึงหน้าประตูห้องหนังสือของนัทธี เพิ่งจะยกมือกำลังจะเคาะประตู ประตูกลับเปิดออก
ป้าส้มออกมาจากข้างใน เมื่อเห็นวารุณี ก็พลันแปลกใจมาก “คุณหญิง คุณขึ้นมาทำไมคะ”
“ฉันเป็นห่วงเขา เลยมาดูหน่อย และมีบางเรื่องจะพูดกับเขา” วารุณีตอบ “ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง”
“คุณชายกำลังอ่านไดอารี่ค่ะ” ป้าส้มบอก
วารุณีพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว ป้าส้มไปทำงานเถอะ ฉันจะไปดูเขาก่อน”
“ได้ค่ะ” ป้าส้มยิ้ม หลีกทางให้เธอเข้าไป
หลังจากวารุณีเข้าไป ปิดประตูเบาๆ ก้าวเท้าเดินไปยังโต๊ะทำงาน
ชายหนุ่มนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน บนโต๊ะมีไดอารี่วางอยู่ กำลังอ่านอย่างมีสมาธิ
แต่คิ้วของเขาขมวดแน่น เห็นได้ชัดว่าเนื้อหาอื่นในไดอารี่ ก็ทำให้เขาไม่พอใจด้วย
ไม่รู้ว่านอกจากเขียนความรู้สึกที่มีต่อแม่สามีแล้วนิรุตติ์ยังเขียนอะไรอีก
“นัทธี” วารุณียืนหน้าโต๊ะทำงาน ส่งเสียงเรียกชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
นัทธีเงยหน้า แม้สีหน้าจะแย่มากเพราะไดอารี่ แต่กับเธอ ยังมีทัศนคติที่อ่อนโยนให้ “คุณมาทำไมเหรอ”
“ฉันมาดูคุณ และมีบางเรื่องจะบอกคุณด้วย” วารุณีดึงเก้าอี้ออกและนั่งลง
นัทธีมองเขา “เรื่องอะไรเหรอ”
“เมื่อครู่ฉันโทรติดต่อไปหาพงศกร”
นัทธีขมวดคิ้ว
วารุณีวางมือบนมือของเขา ส่งสัญญาณให้เขาอย่าหึง ก่อนจะพูดอีกว่า “ฉันใช้คำว่าเพื่อนแทนตัวนิรุตติ์ ถามพงศกรว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อคุณแม่สามีเป็นเรื่องปกติหรือไม่ พงศกรบอกฉันว่านิรุตติ์ไม่ปกติ เพราะเขาขาดความรัก ถึงได้หลงรักคุณแม่สามี”
จากนั้น เธอก็บอกสั้นๆ กระชับได้ใจความเกี่ยวกับเนื้อหาในโทรศัพท์
“ผมรู้ว่าเขาไม่ปกติ ถ้าเขาปกติ จะไม่มีความคิดที่น่ารังเกียจต่ออาสะไภ้ของตัวเอง” เมื่อนัทธีพูดจบ สีหน้าก็มืดมนจนน่ากลัว
วารุณีถอนหายใจ “นั่นสิ น่าตกใจจริงๆ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังมา
วารุณีหันหน้ามองไปทางประตู “ใครน่ะ”
เสียงเคาะประตูด้านนอกหยุดลง ไม่นานเสียงของมารุตก็ดังมา “คุณหญิง ผมเองครับ”
“เป็นผู้ช่วยมารุต ฉันจะไปเปิดประตู” วารุณียิ้มให้นัทธี ลุกขึ้นแล้วเดินไป
เปิดประตูออก มารุตพยักหน้าให้วารุณี “คุณหญิง ท่านประธานล่ะครับ”
“อยู่ข้างในน่ะ เข้ามาสิ” วารุณีเบี่ยงตัวหลีกทางและขยับเปิดประตูให้
มารุตกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ แล้วเดินเข้าข้างใน
วารุณีคลายลูกบิดประตูแล้วเดินตามเข้าไป
นัทธีมองมารุต “มีเรื่องอะไร”
“สิ่งของพวกนั้น ทำลายหมดแล้วครับ” มารุตตอบ
วารุณีรู้ สิ่งของจากปากของเขา หมายถึงรูปโปสเตอร์และหุ่นขี้ผึ้งของแม่สามี
นัทธีได้ยินคำพูดนี้ คิ้วที่ขมวดแน่นผ่อนคลายลงนิดหน่อย “แล้วมีอะไรอีก”
“ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับบริษัท……” เหมือนจะมีอะไรที่เป็นความลับ มารุตมองไปยังวารุณี
วารุณีเข้าใจว่าพวกเขากำลังจะคุยเรื่องธุรกิจกัน จึงยิ้มแล้วยืนขึ้น “พวกคุณคุยกันไปเถอะ ฉันออกไปก่อน นัทธี ไดอารี่เล่มนี้ ฉันเอาไปอ่านได้ไหม”
“ได้สิ” นัทธีพยักหน้า
วารุณีเอื้อมมือไปหยิบไดอารี่ขึ้นมา แล้วหันหลังเดินไปที่ประตู
บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปเป็นกรุ๊ปบริษัทใหญ่ข้ามชาติ เรื่องธุรกิจบางอย่างมีความสำคัญเป็นพิเศษ แม้ว่าเธอจะมีสถานะเป็นภรรยาของนัทธีก็ตาม หากไม่ฟังได้ก็พยายามที่จะไม่ฟัง
ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่านัทธีถือว่าเธอเป็นคนนอก แต่เรื่องพวกนี้ ยิ่งมีคนรู้มาก ก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น
เพราะถึงอย่างไรบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปก็มีคู่แข่ง มีคนมากมายคอยจับจ้อง ถ้ามีคนลักพาตัวเธอ แล้วบังคับให้เธอเปิดเผยความลับของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปก็จะมีปัญหา
ดังนั้นจึงมีกฎหนึ่งที่ไม่ได้ระบุไว้ในแวดวงธุรกิจ นั่นคือถ้าพวกนายหญิงที่ไม่ได้ทำงานในบริษัทของตัวเอง จะพยายามไม่รับรู้ความลับที่สำคัญของธุรกิจในครอบครัว ซึ่งนี่ก็เป็นการปกป้องพวกนายหญิงอีกรูปแบบหนึ่งด้วย
วารุณีถือไดอารี่ออกจากห้องหนังสือ แล้วเดินไปที่ห้อง
ระหว่างทางผ่านห้องของเด็กทั้งสอง เธอยังเปิดประตูเข้าไปตั้งใจมองดูเป็นพิเศษ
ก่อนหน้านี้เด็กทั้งสองกำลังหลับ สักพักแล้วไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง
วารุณีเปิดประตู ยืดศีรษะเข้าไปข้างใน มองไปทางเตียง
“ยังไม่ตื่นเลย” เห็นเด็กทั้งสองยังหลับอยู่ วารุณียิ้มเล็กน้อยครู่หนึ่ง ก่อนจะถดศีรษะกลับไป ปิดประตูแผ่วเบาแล้วจากไป
กลับไปถึงห้อง วารุณีนั่งลงข้างเตียง จากนั้นจึงพลิกเปิดไดอารี่ อ่านไปทีละหน้า
ไดอารี่ของนิรุตติ์ไม่ได้เขียนทุกวัน ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องกฎเกณฑ์ของเวลา บางทีเขียนสองสามวันครั้ง บางทีเดือนละครั้ง หรือสองสามเดือนครั้ง และทุกครั้งมันถูกเขียนขึ้นเมื่ออารมณ์และความรู้สึกของเขาแปรปรวนถึงขีดสุด
ฉะนั้นไม่นานวารุณีก็อ่านถึงตรงที่มารุตคั่นหน้าไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งทั้งหมดเขียนขึ้นก่อนนิรุตติ์อายุสิบห้าปี