“เป็นไปได้มาก” นัทธีปล่อยเธอ จากนั้นเอารูปถ่ายจากกระเป๋าสูทมายื่นให้ “นี่คือรูปของคุณแม่ คุณดูสิ”
วารุณีก้มหน้าลงมอง รับรูปมาดูอย่างละเอียด
แม่ของนัทธีเป็นมาตรฐานสาวงามแห่งจังหวัดจันทร์ งดงามดั่งนางฟ้า ตรงข้ามกับเธออย่างสิ้นเชิงเสมือนอยู่คนละสุดขั้ว
ถ้าบอกว่าเธอมีใบหน้าคมเข้ม งดงามดังนางปีศาจ เช่นนั้นแม่ของนัทธีก็เป็นความสวยสว่างกระจ่างใส งดงามดั่งนางฟ้า
วารุณีคุ้นชินกับรูปลักษณะและองค์ประกอบบนใบหน้าของตัวเองดี อาจเพราะคุ้นชินเกินไป ดังนั้นเมื่อเห็นองค์ประกอบที่คล้ายคลึงกับตัวเอง จึงไม่ได้รู้สึกว่ามีตรงไหนที่เหมือนกัน
แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว มันก็เหมือนกันมากจริงๆ
เพราะฉะนั้นที่นิรุตติ์จะถือเอาเธอเป็นตัวแทนจึงมีความเป็นไปได้สูงมาก
คิดมาถึงตรงนี้ ใจวารุณีก็อุดมไปด้วยไฟแห่งความโกรธ
เธอไม่ได้รักนิรุตติ์ แต่ก็รับไม่ได้ที่จะถูกคนเอาตัวเองไปเป็นตัวแทนใคร แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นแม่สามีก็ตามที
เธอก็เป็นเธอ เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวไม่มีสอง เป็นไปได้อย่างไรที่จะยอมทนให้ตัวเองกลายเป็นตัวแทนใคร
วารุณีกำมือจนเล็บจิกฝ่ามือ พร้อมกับกัดฟัน “ไร้ยางอายสิ้นดี!”
นัทธีรู้ว่าเธอด่านิรุตติ์ และมันถูกต้องแล้วที่ด่า
นิรุตติ์มีใจให้อาสะไภ้ของตัวเอง แถมยังเล็งน้องสะไภ้ตัวเองอีก ไม่ใช่ไร้ยางอายแล้วคืออะไร
“รอจับนิรุตติ์ได้แล้ว เขาได้เห็นดีกันแน่” วารุณีกัดริมฝีปากและพูดอีกครั้ง
นัทธีลูบผมของเธอ
วารุณีมองดูข้อนิ้วมือของเขาที่เปื้อนเลือด แล้วเลิกใส่ใจความโกรธที่มีต่อนิรุตติ์ สลายมันไปทันที ดึงมือของเขา “ไป ฉันจะใส่ยาให้คุณ”
เมื่อพูดจบ เธอก็ดึงนัทธีไปที่เตียง ให้เขานั่งลง จากนั้นตัวเองก็ไปเอากล่องยาในห้องแต่งตัว
หลังจากเอากล่องยาออกมา วารุณีเห็นนัทธีกำลังอ่านไดอารี่
นัทธีพลิกเปิดไดอารี่พลางถาม “คุณอ่านจบแล้วเหรอ”
“อืม ยังเหลือสองบทความสุดท้าย” วารุณีเดินเข้าไป วางกล่องยาลง ขณะที่เปิดกล่องหายาก็ถามไปด้วย “สองบทความสุดท้ายแม้ว่าฉันจะไม่ได้อ่าน แต่ก็เปิดดูไปนิดหน่อยแล้ว ฉันพบว่ามันตัดจบที่ห้าปีก่อน”
“ห้าปีก่อน เขาวางยาผม พยายามแอบถ่ายเรื่องอื้อฉาวของผม แต่เพราะการปรากฏตัวของคุณ ทำให้แผนของเขาล้มเหลว หลังจากผมจากมา ก็ไล่เขาออกนอกประเทศ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วเขาจึงไม่ได้เขียนอีก” นัทธีอธิบาย
วารุณีพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ งั้นที่เขาเข้าร่วมกองกำลังจนมีอิทธิพลหนุนหลัง เป็นเพราะถูกคุณไล่ออกนอกประเทศเหรอ”
“อืม ห้าปีก่อน เขาแทบไม่มีอิทธิพลเลย แต่ตอนนี้อิทธิพลของเขาทำให้เขาสามารถเดินทางไปได้หลายประเทศ เพราะงั้นน่าจะเข้าร่วมในห้าปีนี้” นัทธีพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
วารุณีเช็ดเลือกออกจากมือของเขา “ในไดอารี่นี้ เขียนไว้แล้วเมื่อห้าปีก่อน ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาในการวางยาคุณ”
“หืม?” นัทธีขมวดคิ้ว
วารุณีโยนสำลีทิ้ง ใช้แอลกอฮอล์เช็ดฆ่าเชื้อให้เขา “ในไดอารี่เขียนไว้ ที่จริงเขาอยากถ่ายเรื่องอื้อฉาวของคุณ แล้วเอามาใช้ข่มขู่ ให้คุณคืนหุ้นของวันเฮิร์ทให้เขา และเขายังเขียนด้วยว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยมีความคิดฮุบบริษัท ไชรัตน์ กรุ๊ปเลย แน่นอนว่าหากคุณพ่อของคุณมอบบริษัท ไชรัตน์ กรุ๊ปให้เขา โดยธรรมชาติแล้วนั่นก็จะดีที่สุด”
“ฝันไปเถอะ!” นัทธียกมุมปากยิ้มเย็นชา จากนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เขาหรี่ตา “เมื่อครู่คุณบอกว่า เขาจะให้ผมคืนหุ้นของวันเฮิร์ทให้เขาเหรอ”
“ใช่!”
“ทำไมต้องคืน” นัทธีไม่เข้าใจอย่างมาก
เขารู้ว่าแม่ไม่ได้ทิ้งวันเฮิร์ทไว้ให้เขา ไม่อย่างนั้นหลังจากที่แม่เสียชีวิต ทนายมรดกของแม่คงมาหาเขา แล้วเอาวันเฮิร์ทให้เขานานแล้ว
แต่เขาไม่รู้ว่าแม่เอาวันเฮิร์ทมอบให้ใคร กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ได้เห็นพินัยกรรมของคุณปู่ ถึงได้รู้ว่าวันเฮิร์ทมอบให้เป็นของนิรุตติ์
ฉะนั้นนิรุตติ์ ทำไมต้องมาเรียกร้องให้เขาคืน
หุ้นวันเฮิร์ทไม่ได้อยู่ในมือเขาหรือไง
หรือว่า……
นัทธีเปิดริมฝีปากบางพูดแผ่วเบา คุณแม่เอาหุ้นวันเฮิร์ทมอบให้นิรุตติ์ เพื่อขอบคุณนิรุตติ์สำหรับการอยู่เป็นเพื่อนมาหลายปี คุณแม่ถือว่านิรุตติ์เป็นลูกชายแท้ๆ ของเธอ นิรุตติ์ก็รู้ในจุดนี้ แต่ยังไม่ทันที่คุณแม่จะลงนามในหนังสือโอนหุ้นที่เตรียมไว้ให้นิรุตติ์ คุณแม่ก็เสียไปก่อน หลังจากคุณแม่เสียไป หนังสือโอนหุ้นหายไป นิรุตติ์คิดว่ามันถูกคุณเอาไป”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้” นัทธีเหยียดริมฝีปากบางเป็นเส้นตรง
วารุณีถอนหายใจ “ที่จริงหนังสือโอนหุ้น เป็นคุณปู่ที่เอาไป แต่ไม่ได้บอกคุณ และไม่ได้บอกนิรุตติ์ นิรุตติ์จึงเข้าใจผิดว่าคุณรู้ว่าคุณแม่มอบวันเฮิร์ทให้เขา ดังนั้นจึงวางยาคุณ ต้องการให้คุณนำออกมาให้ แต่ต่อมานิรุตติ์บังเอิญรู้ว่าหนังสือโอนหุ้นไม่ได้อยู่ในมือคุณ แต่อยู่ในมือคุณปู่ ดังนั้นจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะได้พินัยกรรมของคุณปู่”
ทุกอย่างเข้าเค้าทั้งหมดแล้ว
นัทธีกำหมัดแน่น “เพื่อที่จะได้วันเฮิร์ท เขาสามารถทำได้ทุกอย่างจริงๆ”
“เพราะวันเฮิร์ท เป็นสิ่งที่คุณแม่มอบให้เขา” วารุณีพูด
นิรุตติ์มีความรู้สึกแบบนั้นต่อแม่สามี เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ให้ความสำคัญกับวันฮิร์ท
เพราะท้ายที่สุดแล้ว นั่นคือสิ่งเดียวที่แม่สามีทิ้งไว้ให้นิรุตติ์
“เอาล่ะนัทธี คุณอ่านไปก่อนนะ ฉันจะไปอาบน้ำ” หลังจากวารุณีพันผ้าพันแผลแล้ว จึงเก็บกล่องยาแล้วไปเข้าห้องน้ำ
นัทธีก้มหน้าอ่านไดอารี่ต่อไป
หลังจากอ่านจบ เดิมทีเขาคิดจะทำลายทิ้ง
แต่วารุณีห้ามเขาว่าถ้าหากในภายภาคหน้ามันมีประโยชน์ล่ะ?
แม้ว่านัทธีจะทนดูไดอารี่เล่มนี้ไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังเก็บไว้เพราะคำพูดของเธอ
วันต่อมา วารุณีบอกลานัทธีกับปาจรีย์ พาลูกทั้งสองไปต่างประเทศ
เชอรีนมารับลงเครื่อง “วารุณี คุณกลับมาแล้ว เรื่องยุ่งในประเทศจบแล้วเหรอ”
“จบแล้ว” วารุณีพยักหน้า
เชอรีนมาลากกระเป๋าเดินทางของเธอ ให้เธอสามารถจูงเด็กทั้งสองไปอย่างสบายใจ
ทั้งกลุ่มเดินออกจากสนามบิน
มาถึงรถ เชอรีนเอากระเป๋าใส่ท้ายรถ
วารุณีเปิดประตูรถให้เด็กทั้งสองขึ้นไป
หลังจากขึ้นไปแล้ว เธอก็ปิดประตูรถ พูดกับเชอรีนว่า “เชอรีน คุณพาเด็กทั้งสองกลับคฤหาสน์ไปก่อนนะ”
เชอรีนปิดกระโปรงท้ายรถ มองเธอด้วยความประหลาดใจ “ทำไมล่ะ คุณยังไม่กลับเหรอ”
“ฉันจะกลับไปช้าหน่อย จะไปโรงพยาบาลจิตเวชก่อน” วารุณีตอบ
เชอรีนพยักหน้า “ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว แต่ฉันขับรถไป แล้วคุณจะทำยังไงล่ะคะ”
“ฉันจะเรียกแท็กซี่ เอาล่ะ ฉันไปก่อนนะ” วารุณีโบกมือ แล้วไปเรียกแท็กซี่ที่ข้างถนน
มีแท็กซี่จอดอยู่ที่ขาออกสนามบิน ไม่นานวารุณีก็ได้รถคันหนึ่งไปโรงพยาบาลจิตเวช
ในไม่ช้า ครึ่งชั่วโมงต่อมา ก็มาถึงยังโรงพยาบาลจิตเวช
วารุณีมาถึงหน้าประตูห้องของพิชญา ประตูปิดอยู่ เธอชะโงกหน้าผ่านกระจก มองเห็นข้างในชัดเจนว่าพิชญากำลังดูทีวีอยู่
พิชญายังสุขภาพจิตดี ไม่ได้รับผลกระทบจากโรงพยาบาลจิตเวชจนทำให้มีปัญหาทางสุขภาพจิตแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุผลบางอย่าง วารุณีไม่ได้ให้แพทย์และพยาบาลที่นี่ทำอะไรกับพิชญา
ซึ่งก็หมายความว่า พิชญาเพียงแค่ถูกขังไว้ที่นี่ แต่ไม่ได้ดำเนินการอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นการบำบัดรักษา ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วสุขภาพจิตจึงยังคงปกติ เพียงแต่ไม่มีอิสรภาพในชีวิตเท่านั้น
“คุณหญิงวารุณี เชิญค่ะ” พยาบาลข้างๆ เปิดประตูให้วารุณี
วารุณียิ้มให้เธอชั่วครู่ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในห้อง
พิชญาที่อยู่ในห้องจ้องเขม็งมาตรงหน้าประตู เห็นวารุณีเข้ามา เดิมทีใบหน้ายังคงนิ่งสงบ แต่แล้วใบหน้าก็บิดเบี้ยวขึ้นมาฉับพลัน แววตามีแต่ความเกลียดชัง “เป็นเธอ!”
“เป็นฉันเอง” วารุณียิ้มให้เธอเล็กน้อย
พิชญากำรีโมทในมือ “เธอมาทำอะไรที่นี่”
“มาเยี่ยมเธอ และมีบางเรื่องจะบอกเธอ” วารุณีดึงเก้าอี้มานั่งลง
พิชญาส่งเสียงเยาะ “ฉันไม่สนใจ”
“ไม่ เป็นเรื่องที่เธอสนใจ ที่ฉันจะบอกก็คือ สุภัทรกับชยานีตายแล้ว” วารุณีเท้าคาง พูดน้ำเสียงบางเบา
แต่คำพูดเหล่านี้ก็ตกอยู่ในโสตประสาทของพิชญา ทำให้เธอมึนงงไปหมดทั้งกายใจ สมองโล่งว่างเปล่า ใช้เวลาสักพักกว่าจะได้สติกลับมา ถามด้วยเสียงดังแหลม “เธอบอกว่าอะไรนะ”