บทที่ 101 คำขออันตราย[รีไรท์]
เมื่อพูดจบหลิงตู้ฉิงจึงส่งสัญญาณให้กงหยูและเสี่ยวเย่วเฟิงเตรียมตัวเดินทางไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลิง
หลิงฉุยฟงเมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของเขาเริ่มวิตกทันที
การเดินทางไปหาหลิงเจิ้งสงรอบนี้จะมีเพียงแค่หลิงตู้ฉิง ลูก ๆ ของเขา กงหยู เสี่ยวเยว่เฟิง และหลิงฉุยฟงเท่านั้น
หลิงฉุยฟงที่ในตอนนี้นั่งอยู่ในรถม้าอย่างอึดอัดใจกังวลว่าหลิงตู้ฉิงจะไปฟ้องหลิงเจิ้งสงเรื่องที่เขาจะขอออกไปเที่ยว เมื่อคิดได้สักพักเขาจึงพูดขึ้น “หลานรัก…เจ้าช่วย…ลืมเรื่องที่ข้าขอเจ้าออกไปเที่ยวข้างนอกได้ไหม แค่ทำเป็นว่าเจ้าไม่เคยได้ยินมัน นะ นะ นะ”
“แต่ข้าได้ยิน” เสี่ยงของกงหยูเอ่ยขึ้น
“ปู่สามข้าก็ได้ยินด้วยนะ” หลิงไช่หยุนนางหัวเราะคิกคัก
จากนั้นบรรดาเด็ก ๆ ทุกคนที่อยู่ในรถต่างก็เริ่มพูดไล่กันไปครบทุกคนว่า ‘ได้ยิน’ จนหลิงฉุยฟงร้อนตัวทนไม่ไหวต้องรีบหยิบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ออกจากแหวนมิติเป็นพัลวันเพื่อปิดปากเด็กน้อยเหล่านี้
หลิงตู้ฉิงที่เห็นภาพทั้งหมดเขาไม่ได้เอ่ยอะไรเพียงแค่ยิ้มที่มุมปาก และสัมผัสได้ถึงพลังแห่งอารมณ์ความสุขกำลังไหลเวียนอยู่ในร่าง
เวลาผ่านไปสักพักทุกคนจึงได้มาถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิง
ภายในโถงรับแขกหลิงตู้ฉิงได้เจอกับบรรดาคนในตระกูลหลิง หลิงเจิ้งสงนั้นมีลูกชายแท้ ๆ อยู่ 4 คนที่ไม่นับรวมพ่อของหลิงตู้ฉิงคือ คนโต หลิงเล่อชาน ถัดมาเป็นหลิงฉุยฟง คนที่สี่ หลิงจื่อ คนสุดท้าย หลิงห้าว ซึ่งถ้านับลำดับญาติ พ่อของหลิงตู้ฉิงคือลูกคนรอง
คนโตหลิงเล่อช่านนั้นมีอายุค่อนข้างห่างจากบรรดาพี่น้องเป็นอย่างมาก ลูกของหลิงเล่อชาน หลิงฉิงเฟิงเองอายุก็มากกว่าหลิงตู้ฉิงเข้าไปแล้ว ส่วนลูกของหลิงจื่อนั้นมีอายุพอ ๆ กับหลิงยู่ชาน และหลิงห้าวเองก็เพิ่งจะแต่งงานไปไม่นานมานี้
บรรยากาศแรกเจอกันกับบรรดาลูก ๆ ของหลิงเจิ้งสง หลิงตู้ฉิงนั้นสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรักแบบครอบครัวที่ไม่ได้เสแสร้งแพร่กระจายออกมาจากร่างพวกเขา การพบปะกันครั้งแรกจึงมีแต่รอยยิ้มอันอบอุ่น
หลังจากทานอาหารอะไรกันเสร็จเรียบร้อย หลิงเจิ้งสงจึงกล่าวกับหลิงตู้ฉิงให้ตามเขาไปที่ห้องทำงาน
“ตามปู่ไปที่ห้องทำงาน ปู่มีเรื่องจะคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”
หลิงตู้ฉิงได้ยินเช่นนั้นเขาพยักหน้าและสั่งให้ลูก ๆ ของเขารออยู่ที่โถงรับแขก
หลังจากที่หลิงเจิ้งสงและหลิงตู้ฉิงเดินหายไป บรรยากาศภายในโถงรับแขกก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
โดยเฉพาะบรรดาลูกหลานของคนในตระกูลหลิง ในมุมมองของพวกเขาถึงแม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะเป็นลูกของบุตรนอกสมรส แต่หลิงตู้ฉิงก็ยังมีสายเลือดเดียวกับพวกเขา แต่สำหรับบบรรดาเด็ก 7 คนนี้นั้นไม่ใช่ พวกเขาไม่ใช่สายเลือดเดียวกันแต่เป็นผู้ที่ถูกอุปการะเลี้ยงดูมา
ในหัวของหลาย ๆ คนจึงมีความคิดสบประมาทเด็ก ๆ เหล่านี้อยู่ แต่ก็ยังมีบ้างบางคนที่มองพวกเขาว่าเป็นญาติพี่น้องเช่นกัน
“ปกติแล้วพวกเจ้าอยู่ที่เรือนพวกเจ้าทำอะไรกันเหรอ?” หลิงเหมย ซึ่งเป็นลูกคนสุดท้องของหลิงฉุยฟง นางมีอายุได้ 5 ขวบกล่าวถามขึ้นด้วยสายตาอยากทำความรู้จักกับพี่น้องใหม่เหล่านี้
“ปกติแล้วเวลาพวกเราอยู่เรือนพวกเราจะเข้าชั้นเรียนของครูถังทุกวัน” หลิงฟ่างหัวตอบด้วยรอยยิ้ม
“ชั้นเรียนงั้นเหรอ? เจ้าหมายถึงชั้นเรียนฝึกบ่มเพาะพื้นฐานงั้นเหรอ?” หลิงเหมยถามต่อ
“ไม่ใช่หรอก พวกเราแค่เรียนอ่านและเขียนเท่านั้นเอง” หลิงยี่เทียนตอบขึ้น
“แล้วทำไมพวกเจ้าถึงไม่เรียนการบ่มเพาะล่ะ หรือว่าพวกเจ้าบ่มเพาะไม่ได้?” หลิงเหมยถามต่ออีกครั้ง
เมื่อหลิงเหมยพูดจบ เด็กชายผู้หนึ่งที่ดูท่าทางหยิ่งผยอง ระดับพลังของเขาอยู่ที่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 8 อายุของเขามากกว่าหลิงยู่ชานเล็กน้อย เด็กคนนี้ชื่อ หลิงอาหู่ เขาเป็นรุ่นเยาว์ที่นับได้ว่ามีพรสวรรค์ทางด้านการบ่มเพาะมากที่สุดคนหนึ่งในตระกูลหลิง เขาได้กล่าวแทรกขึ้น
“หากพวกเขาบ่มเพาะไม่ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรหรอก พวกเขาไม่ได้มีสายเลือดอันทรงพลังของท่านปู่เหมือนกับพวกเราสักหน่อย”
หลิงยู่ชานและน้องของเขาอีก 6 คน เมื่อได้ยินเช่นนี้พวกเขาจ้องไปยังหลิงอาหู่ด้วยสายตาที่ไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไร
พวกเขาในอดีตทุกคนล้วนผ่านประสบการณ์ยากลำบากมาก่อน ทั้งโดนดูถูกต่าง ๆ นา ๆ เพราะฉะนั้นกับคำพูดแค่นี้พวกเขาจึงไม่ได้นำมาเก็บใส่ใจอะไรมากมาย และอีกอย่างจุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อมาคารวะท่านปู่ทวด ไม่ใช่มาเพื่อสร้างปัญหาให้กับพ่อของพวกเขา
เมื่อเห็นว่าพวกเด็ก ๆ ที่ถูกอุปการะพวกนี้เมินเฉยใส่ หลิงอาหู่จึงมองไปยังหลิงยู่ชานและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้อันดับสองในงานประลองเทศกาลบูชาเพลิงของเมืองเล็ก ๆ นั่น ข้าว่าเจ้ากับข้าเรามาลองประมือกับสักรอบดีไหม?”
หลิงยู่ชานเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงตอบกลับไปอย่างอ่อนน้อม “ท่านพี่อาหู่ไหนเลยข้าจะสามารถสู้ท่านได้ ข้าขอยอมรับความพ่ายแพ้ ณ ตรงนี้ดีกว่า!”
ภายในห้องทำงาน หลิงตู้ฉิงและหลิงเจิ้งสงนั่งหันหน้าเข้าหากัน “ข้าบอกกงหยูให้เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ข้าฟังหมดแล้ว หากเจ้ามีคำขอใด ๆ เพิ่มเติมเจ้าสามารถบอกข้าได้ทันทีส่วนสถานะความสัมพันธ์ระหว่างเรา เจ้าสามารถกำหนดมันได้ตามที่เจ้าต้องการ”
หลิงตู้ฉิงได้ยินเช่นนั้นเขาส่ายหัวและพูดขึ้น “ตั้งแต่พ่อและแม่ของข้าขอใช้แซ่ของท่านเมื่อหลายปีก่อน แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจตนาของพวกเขาคืออะไร แต่ข้าคิดว่าข้าจะยังคงสถานะให้ท่านยังคงเป็นปู่ของข้าก่อน และอันที่จริงข้ามีบางสิ่งที่ต้องการให้ท่านช่วยเช่นกัน”
อันที่จริงเหตุผลที่หลิงตู้ฉิงยังคงสถานะให้หลิงเจิ้งสงเป็นปู่ของเขานั้นไม่ใช่เพราะการตัดสินใจของพ่อแม่เขาเป็นหลัก แต่นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกได้ถึงพลังอารมณ์ความรักและความห่วงใยอันแท้จริงที่แพร่ออกมาจากร่างของหลิงเจิ้งสง เขาจึงตัดสินใจยังคงความสัมพันธ์ในลักษณะนี้กับหลิงเจิ้งสงต่อไป
หลิงเจิ้งสงเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาหัวเราะอย่างมีความสุขและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็พูดมาได้เลยว่าต้องการให้ข้าช่วยอะไร ตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ข้าจะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน”
“ข้าได้ยินมาว่าท่านปู่มีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับจักรพรรดิใช่ไหม?”
“ถูกต้อง แต่นั่นก็เป็นเพราะข้าสร้างคุณงามความดีช่วยเขายึดบัลลังก์ นั่นคือเหตุผลที่เขาให้ข้าควบคุมกำลังพลมากกว่าครึ่งหนึ่งของกองทัพที่ประจำการอยู่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ของข้ากับเขานับได้ว่าไม่เลวเลยทีเดียว”
“แล้วท่านปู่ช่วยขอยืมอะไรจากจักรพรรดิให้ข้าได้ไหม? ข้าต้องใช้มัน” หลิงตู้ฉิงพูดอย่างจริงจัง
“มันคืออะไร?” หลิงเจิ้งสงประหลาดใจเขาไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงต้องการยืมอะไรจากจักรพรรดิ
“ข้าต้องการยืมตราประทับหยกของเขา! ถ้าเขาเต็มใจให้ข้ายืม ข้าสัญญาว่าข้าจะมอบผลประโยชน์มากมายให้แก่เขา” หลิงตู้ฉิงตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
หลิงเจิ้งสงเมื่อได้ยินคำขอของหลิงตู้ฉิง เขาตกตะลึงจนแทบหงายหลังตกเก้าอี้
ตราประทับหยกจักรพรรดิสามารถยืมกันได้ด้วยเหรอ? ถ้าเขาจู่ ๆ เดินเข้าไปยืมตราประทับหยกของจักรพรรดินี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับไปขอบัลลังก์จักรพรรดิมายืมนั่งเลยไม่ใช่เหรอไง? นี่มันแทบจะเหมือนกับว่าเขากำลังจะก่อกบฏชัด ๆ ไม่มีจักรพรรดิหน้าไหนเอาตราประทับหยกของตัวเองให้คนอื่นยืมใช้กันหรอก!
หลิงเจิ้งสงขมวดคิ้วขณะที่เขาพูด “ถ้าเจ้าต้องการอาวุธระดับวิญญาณในท้องพระคลังของจักรพรรดิ ข้าอาจจะยืมให้เจ้าได้ แต่ข้าไม่สามารถยืมตราประทับหยกของจักรพรรดิให้เจ้าได้แน่นอน!”
“เฮ้อ ถ้าขอยืมไม่ได้งั้นข้าคงต้องคิดหาวิธีอื่น” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว
“อย่าทำตัวบ้า ๆ! นอกเหนือจากความจริงที่ว่าในวังหลวงจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดารามากมายแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือจักรพรรดิก็เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งเช่นกัน เขาอยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 8 ซึ่งเป็นระดับขั้นปลายเข้าไปแล้ว”
“ข้ารู้ว่าความแข็งแกร่งของเจ้านั้นไม่ธรรมดา เจ้าสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราได้ในพริบตา แต่เจ้าอย่าลืมคนที่เจ้าสังหารไปนั้นเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญที่เพิ่งทะลวงเข้าสู่ขอบเขตรวมแสงดาราได้ยังไม่ถึงวันด้วยซ้ำ แต่นี่คือจักรพรรดิของอาณาจักรจันทร า ซึ่งอยู่ในระดับ 8 เข้าไปแล้ว ความแตกต่างของพลังนั้นมหาศาลมาก”
“ข้ารู้” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
หลิงเจิ้งสงฝืนยิ้มและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอย่าไปพูดกับใครถึงเรื่องนี้อีกเป็นอันขาด ไม่งั้นหากมีผู้อื่นที่ล่วงรู้เข้า พวกเราจะมีปัญหาใหญ่ได้ในอนาคต และนอกจากเรื่องนี้เจ้ายังมีอย่างอื่นที่จะขอให้ปู่ช่วยเจ้าอีกไหม?”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลิงตู้ฉิงจึงพูดว่า “นอกเหนือจากเรื่องนี้ ข้ายังมีอีก 2 อย่างที่ข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่าน เรื่องแรกข้าอยากรู้ว่าตอนนี้มีศึกสงครามเกิดขึ้นที่ไหนบ้างไหม? หากมีสงคราม ข้าต้องการส่งลูกชายคนโตของข้าเข้าสู่สนามรบที่นั่นเร็ว ๆ นี้ เรื่องที่สองข้าต้องการยืมกำลังทหารของท่าน”
เมื่อได้ยินว่าหลิงตู้ฉิงต้องการยืมกองกำลัง หลิงเจิ้งสงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า ทีแรกเขาต้องการยืมตราประทับหยกจักรพรรดิและตอนนี้เขาต้องการยืมกองกำลังทหาร เขาพยายามจะทำอะไร?
เหตุใดหลานชายคนนี้จึงเอาแต่ร้องขอแต่เรื่องอันตราย ๆ
หลิงเจิ้งสงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในเวลานี้ไม่มีสงครามที่ไหนเกิดขึ้นหรอก เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรต่าง ๆ ค่อนข้างกลมเกลียวกัน แม้ว่าจะมีข้อพิพาทกันอยู่บ้าง แต่อาณาจักรส่วนใหญ่ก็พยายามที่จะหาทางออกกันด้วยสันติวิธีกันทั้งหมด”
“แต่ถ้ามีสงครามเกิดขึ้นเมื่อไหร่ข้าจะบอกเจ้าก็แล้วกัน ว่าแต่ลูกชายคนโตของเจ้าอายุของเขายังไม่ถึง 10 ปีไม่ใช่เหรอ การที่เจ้าส่งเขาไปที่สนามรบตอนนี้มันไม่โหดร้ายไปหน่อยรึไง? ส่วนเรื่องการยืมทหาร เจ้าบอกได้ไหมว่าเจ้าต้องการยืมเท่าไหร่ และต้องการเอาไปทำอะไร?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ท่านปู่ ท่านสบายใจได้ ข้าจะไม่สร้างปัญหายุ่งยากให้ท่านหรอก ส่วนการยืมกองกำลังทหาร ข้าจะยืมสัก 750 คน เพื่อให้พวกเขาช่วยงานข้าในบางอย่าง”
หลิงเจิ้งสงรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินว่าหลิงตู้ฉิงต้องการยืมทหารแค่ 700 ว่าคน ด้วยจำนวนเพียงเท่านี้ต่อให้หลิงตู้ฉิงวางแผนทำอะไร มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากจริงไหม?
“ทางจักรพรรดิเองได้อนุญาตให้ข้ามีกองกำลังทหารส่วนตัวของตระกูลได้อยู่ 5,000 นาย” หลิงเจิ้งสงพูดช้า ๆ “ก่อนหน้านี้ข้าส่งให้เจ้าไปแล้ว 200 นาย แต่ถ้าเจ้าต้องการเพิ่มอีกเป็น 750 ข้าก็จะหามาให้ อย่างไรก็ตามเจ้าจะต้องเลี้ยงดูพวกเขาด้วยตัวเจ้าเองให้ดี ส่วนทหารที่ข้าจะให้เจ้านี้ทุกคนยังต้องอยู่ภายใต้นามของข้าให้เป็นนายอยู่ ไม่เช่นนั้นข้าอาจจะต้องไปลำบากอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมจู่ ๆ ข้าถึงมอบทหารให้กับเจ้าแก่จักรพรรดิต่ออีก”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา!”
“มีเรื่องอื่นอีกไหม?” หลิงเจิ้งสงถาม
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ข้ามีคำขอเล็ก ๆ น้อย ๆ ข้าต้องการซื้อวัสดุบางอย่างผ่านท่านปู่ แน่นอนข้าจะเป็นคนจ่ายเอง”
“เจ้ากำลังพูดถึงอะไร” หลิงเจิ้งสงหัวเราะ “แค่จ่ายค่าวัสดุเล็ก ๆ น้อยมันจะมีปัญหาอะไร ตระกูลเรามีทั้งที่ดินและช่องทางในการหาเงินของเราเองมากมาย เราสามารถใช้จ่ายเหรียญทองได้หลาย 10 ล้านเหรียญ”
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลิงเจิ้งสงดูรายการวัสดุในมือที่หลิงตู้ฉิงยื่นให้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง
“นี่มันไม่เยอะไปหน่อยเหรอ?” หลิงเจิ้งสงถามโดยไม่รู้ตัว
“มันก็ไม่น้อยใช่ไหมล่ะท่านปู่” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าจะยอมจ่ายเอง”
“แล้วเจ้าจะหาเงินจำนวนมากขนาดพอที่จะซื้อพวกมันทั้งหมดมาจากไหน? “หลิงเจิ้งสงถามอย่างสงสัย
“ข้ามีการค้ากับตระกูลมี่อยู่น่ะท่านปู่” หลิงตู้ฉิงพูดว่า “ว่าแต่ท่านปู่ ข้าขอทราบได้ไหมว่ารายได้ของตระกูลทั้งหมดมาจากช่องทางไหนบ้าง เผื่อถึงเวลาข้าอาจจะให้ตระกูลมี่ได้ร่วมมือทำการค้ากับตระกูลเราไปด้วยได้”
หลิงเจิ้งสงยิ้มและพูดว่า “ถ้าหลัก ๆ แล้วเรามีธนาคาร ร้านขายโอสถและธุรกิจรถม้า และยังมีอย่างอื่นยิบย่อยอีกหลายช่องทาง”
“ถ้าอย่างนั้น เมื่อถึงเวลา ข้าจะบอกให้ตระกูลมี่ร่วมทำการค้ากับท่านปู่ อย่างน้อย ๆ ก็ในส่วนของร้านขายโอสถ ข้าเชื่อว่าเมื่อท่านปู่ได้เห็นโอสถที่ตระกูลมี่ได้ลงทุนทำการค้ากับข้า ท่านปู่จะต้องตกตะลึงแน่นอน!” หลิงตู้ฉิงพูด
หลิงเจิ้งสงพยักหน้าเห็นด้วย เขาเข้าใจว่าหลิงตู้ฉิงทำสิ่งเหล่านี้เพื่อส่งเสริมตระกูลมี่ เนื่องจากเขาเองได้รับข่าวมาเช่นกันถึงความสัมพันธ์ของหลิงตู้ฉิงกับตระกูลมี่นั้นสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก
หลังจากคุยเรื่องทั่วไปกันไปได้สักพัก หลิงเจิ้งสงจึงเอ่ยถามด้วยแววตาสงสัยขึ้นว่า “เจ้าสามารถแสดงอาวุธของเจ้าให้ข้าดูได้ไหม? ไอ้อาวุธวิเศษที่ผู้คนเขาร่ำลืออะไรนั่นน่ะ”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “เกรงว่าตอนนี้คงจะไม่ได้นะท่านปู่ ตอนนี้ข้าฝากมันไว้ให้มี่ไลดูแล ข้าไม่ได้นำมันมาด้วย”
หลิงเจิ้งสงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาคิดว่าหลิงตู้ฉิงน่าจะไม่ต้องการแสดงอาวุธให้เขาเห็นเพราะมันอาจจะเป็นความลับ มันค่อนข้างเป็นไปได้ยากที่ใครที่ไหนกันจะมอบอาวุธเทพเช่นนั้นให้ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งดูแล
แต่เขาไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก เขาพูดกับหลิงตู้ฉิงต่อว่า “ตอนนี้ระดับของเจ้าอยู่ที่จุดสูงสุดขอบเขตควบแน่นลมปราณ เจ้าต้องการให้ข้าช่วยเจ้าทะลวงขอบเขตไหม?”
หลิงตู้ฉิงตอบด้วยรอยยิ้มพลางส่ายหัว “ท่านปู่ ตอนนี้ท่านเองอยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 3 เดี๋ยวข้าจะช่วยยกระดับให้ท่านเอง!”