บทที่ 109 การตัดสินใจอันเด็ดขาดของถังชี่หยุน[รีไรท์]
กงหยูเริ่มมึนงงมากขึ้น เขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลิงตู้ฉิงบ้างกันแน่ ในตอนนี้นอกจากสารถีแล้ว แม้แต่พ่อบ้านแก่ ๆ ก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภางั้นเหรอ?
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง กงหยูจึงถามขึ้นต่อ “ผู้อาวุโสโม่ ท่านตอบคำถามของข้าได้ไหมว่าทำไมท่านถึงบอกว่าข้าบ่มเพาะมาถูกวิธีแล้ว?”
“อย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสเลย ข้าเป็นแค่พ่อบ้านของนายท่านเพียงเท่านั้น” โม่หยูถังโบกมือ “และที่ข้าบอกว่าเจ้าบ่มเพาะมาถูกวิธีแล้วนั่นก็เพราะเจ้าในตอนนี้ได้บ่มเพาะมาจนถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 11 และกำลังจะบรรลุไปถึงระดับ 12 แล้วใช่ไหมล่ะ”
“คนทั่วไปในทวีปนี้แค่เข้าสู่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 ก็รีบทะลวงเข้าขอบเขตรวมแสงดาราเสียแล้ว อันที่จริงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 เป็นเพียงขั้นพื้นฐานที่สุด เว้นแต่ความสามารถของคน ๆ นั้นจะแย่มากและไม่มีความหวังที่จะก้าวหน้า”
“พวกเขาก็จะทะลวงขอบเขตรวมแสงดาราตอนที่ตัวเองอยู่ที่ระดับ 10 เมื่อเขาทะลวงขอบเขตสำเร็จ เส้นทางในอนาคตของเขาจะพังพินาศ บุคคลดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นขอบเขตรวมแสงดาราเทียม”
“หากยึดตามหลักการที่ถูกต้องแล้ว ความต้องการขั้นต่ำที่สุดที่จะเข้าสู่ขอบเขตนภาได้คือต้องมีรากฐานการบ่มเพาะถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 และเมื่อทะลวงขอบเขตไปยังรวมแสงดารา หากต้องการทะลวงขอบเขตไปยังขอบเขตนภาผู้เชี่ยวชาญควรจะมีรากฐานขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 12 จากนั้นจึงสามารถใช้แสงดาว 12 ดวงเพื่อสร้างเส้นทางสู่ขอบเขตนภาได้”
“ดังนั้นเจ้าควรวางรากฐานภายในขอบเขตประสานทะเลปราณให้มั่นคงที่สุด ตราบเท่าที่เจ้าฝึกฝนมากพอ เจ้าก็มีโอกาสได้เหยียบดวงดาวและขึ้นไปสู่ขอบเขตนภาได้”
“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ ท่านพ่อบ้าน” กงหยูโค้งคำนับ
“แต่ทำไมไม่มีใครออกมาเผยแพร่เรื่องนี้สักคนเลยล่ะ?” กงหยูถามต่อ
โม่หยูถังกอดอกแล้วตอบ “ทวีปเทียนหยวนที่เจ้าอยู่ตอนนี้ เป็นเพียงทวีปกันดารห่างไกลเล็ก ๆ เท่านั้น ข้อมูลสำคัญเหล่านี้จึงไม่ค่อยจะหลุดมาถึงที่นี่หรอก แต่อันที่จริงในทวีปเทียนหยวนนี้บางคนก็มีข้อมูลนี้อยู่ในมือแล้วเช่นกัน แต่นับได้ว่าเป็นส่วนน้อยมาก ๆ และคนที่รู้ก็ไม่ยอมบอกใครต่อกันนักหรอก เนื่องจากเหล่าคนที่รู้เรื่องนี้ต่างก็ต้องการผูกขาดความเป็นใหญ่ทางด้านการบ่มเพาะ ถ้าให้ข้ายกตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือเหมือนกับเจ้าและเจ้านายของเจ้า หลิงเจิ้งสงเองนั่นล่ะ”
เมื่อกงหยูได้ฟังคำตอบเขาเงียบไม่พูดอะไร
ในใจเขารู้สึกไม่เห็นด้วยกับโม่หยูถัง เนื่องจากเหตุผลที่เขาและหลิงเจิ้งสงไม่ได้ประกาศข้อมูลนี้ออกไปก็เพราะพวกเขาคิดว่าการบ่มเพาะหลังจากขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 ไปจนถึงระดับ 12 นั้นมันยากจนเกินไป ยากจนผู้คนทั่วไปอาจจะคิดว่าข้อมูลที่พวกเขาประกาศออกไปเป็นข้อมูลลวง เนื่องจากการบ่มเพาะเหนือระดับ 10 จะต้องใช้เวลานานเป็นอย่างมาก จนผู้คนอาจจะเข้าใจผิดว่าแท้จริงแล้วมันอาจจะไม่มีระดับ 11 หรือระดับ 12 และยังมีอีกประเด็นคือ ถ้าหากมีคนถามว่าพวกเขาไปเอาข้อมูลเหล่านี้มาจากไหน พวกเขาซึ่งไม่สามารถบอกแหล่งที่มาได้ว่ามาจากพ่อและแม่ของหลิงตู้ฉิง พวกเขาอาจตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
พวกเขาจึงไม่มีทางเลือก และได้แต่เก็บงำความลับการบ่มเพาะนี้ไว้กับตัวเอง
หลังจากที่กงหยูกับโม่หยูถังออกไปซื้อของให้หลิงตู้ฉิง
บรรดาผู้คนที่ไปคฤหาสน์สราญรมย์ต่างเริ่มทยอยกลับถึงเรือนตัวเอง แต่ไม่มีใครสักคนในพวกเขาเปิดปากพูดถึงเหตุการณ์ในคฤหาสน์สราญรมย์แม้แต่เพียงนิดเดียว
ทางด้านเจิ้นฟูเห่าที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าว เขาจับตามองสถานการณ์ของคฤหาสน์สราญรมย์อย่างใกล้ชิด แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักกลับไม่มีข่าวใด ๆ เล็ดรอดออกมาเลยว่าด้านในนั้นเกิดอะไรขึ้น และพวกผู้เชี่ยวชาญที่ถูกขับไล่ออกมาต่างไม่มีใครเลยที่ยอมปริปากพูดอะไร สิ่งที่เจิ้นฟูเห่าเห็นความผิดปกติได้อย่างเดียวนั่นคือ กงหนิวที่เป็นหนึ่งในบรรดาคนที่บุกเข้าไปกลับเป็นคนเดียวที่ไม่ได้กลับออกมา
เมื่อเห็นเช่นนั้นเจิ้นฟูเห่าที่ไม่รู้จะดำเนินแผนอย่างไรต่อจึงปล่อยข่าวลือการตายของกงหนิวออกไป เพื่อรอดูปฏิกิริยาของตระกูลกง
แต่เมื่อปล่อยข่าวออกไปได้สักพัก ตระกูลกงเองก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ
แต่ใครจะรู้ว่าอันที่จริงแล้วตระกูลกงเองก็รู้สึกโกรธแค้นเช่นกัน แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้ต่างหาก กงหนิวเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราเพียงคนเดียวในตระกูล และในเมื่อกงหนิวหายตัวไปอย่าว่าแต่จะไปแก้แค้นตระกูลหลิงที่เป็นตระกูลใหญ่เลย ตอนนี้แค่พวกเขาพยายามเอาตัวรอดจากตระกูลอริของตัวเองยังแทบจะเอาตัวรอดไม่ได้
หลังจากเหตุการณ์ที่มีผู้บุกรุกเข้าไปในคฤหาสน์สราญรมย์ผ่านไป 2 วัน
เช้าวันถัดมา ในที่สุดพวกของจู้กว่างเต๋อก็มาถึงเมืองหลวงและเข้าพบกับหลิงตู้ฉิง
“นายท่าน พวกข้ามาถึงแล้ว” จู้กว่างเต๋อและพวกต่างโค้งลงคำนับหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจและพูดว่า “ข้าต้องการให้พวกเจ้าเป็นผู้นำกลุ่มทหารทั้ง 5 กลุ่มที่ข้าได้จัดเตรียมไว้ และข้าจะถ่ายทอดรูปแบบการควบคุมกระบวนรบทั้งห้าให้พวกเจ้า หากพวกเจ้าต้องการที่จะรับใช้ข้า พวกเจ้าจะต้องลงนามในสัญญา พวกเจ้ายินยอมหรือไม่?”
จู้กว่างเต๋อและพรรคพวกต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน “พวกเรายินดีติดตามนายท่าน จนกว่าชีวิตจะหาไม่!”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าจงใช้เลือดของตัวเองประทับลงในสัญญาซะ” พอพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็ร่างสัญญาขึ้นในอากาศให้กับจู้กว่างเต๋อและพรรคพวกได้ลงสัญญา
หลังจากประทับเลือดลงในสัญญาเสร็จ หลิงตู้ฉิงจึงพูดกับพวกเขาทั้ง 5 คนว่า “เจี้ยนหนีฉาง เจ้าจะเป็นผู้นำกลุ่มทหารตุ่นปีศาจอเวจี จู้กว่างเต๋อ เต่าอัสนีทมิฬ เก๋าหง กิเลนเพลิง ฉีจินสง ราชสีห์คำราม ส่วนไร้เงา เจ้านำ มังกรวารี และพวกเจ้าทั้งหมดจะถูกควบคุมดูแลโดยหลิงฉุยฟง ผู้เป็นอาของข้าอีกลำดับหนึ่ง เอาล่ะพวกเจ้าเข้ามาให้ข้าถ่ายทอดรูปแบบกระบวนรบให้กับพวกเจ้าก่อนที่จะแยกย้ายกันไปฝึก”
“รับทราบ” ทั้งห้าคนตะโกนอย่างพร้อมเพรียง
จากนั้นพวกเขาจึงเดินไปหาหลิงตู้ฉิงทีละคนเพื่อรับการถ่ายทอดรูปแบบกระบวนรบ เมื่อทุกคนได้รับการถ่ายทอดจนครบ พวกเขาจึงแยกย้ายกันไปหากลุ่มทหารของตนเองและเริ่มฝึกกระบวนรบร่วมกันพร้อมกับหลิงฉุยฟงที่คอยกำกับการใช้กระบวนรบทั้งห้าให้ทำงานประสานร่วมกัน และส่งเสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มทหารทั้งห้าด้วยรูปแบบการเคลื่อนทัพอีกสามแบบที่หลิงตู้ฉิงสอนให้เฉพาะแก่เขาเพียงคนเดียว ตอนนี้บรรยากาศในลานหน้าคฤหาสน์จึงเต็มไปด้วยความอึกทึกครึกโครม
เมื่อหลิงตู้ฉิงจัดการเรื่องกองทหารเรียบร้อยเขาจึงหันหน้าเดินไปหาหลิงว่านจุนและหลิงยี่เทียนเพื่อไปเล่นหมากกับพวกเขาต่อ
ในขณะเดียวกับที่เขากำลังจะเดินไป ถังชี่หยุนได้เดินเข้ามาหยุดเขาเพื่อขอคุยอะไรด้วยบางอย่าง
“ท่านหลิง ข้าขอคุยอะไรกับท่านสักหน่อยได้ไหม?” ถังชี่หยุนพูดด้วยสีหน้าลังเล
“ครูถัง หากมีอะไรในใจก็บอกกับข้ามาได้เลย” หลิงตู้ฉิงตอบ
ถังชี่หยุนเม้มริมฝีปากด้วยความลังเล จากนั้นจึงเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านหลิง หากข้าต้องการให้ลูกสาวของข้าแต่งงานกับลูกชายคนโตของท่าน ไม่ทราบว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่?”
ทุกวันนี้ถังชี่หยุนลอบสังเกตลูกสาวของนางอย่างใกล้ชิดมาตลอด นางเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของลูกสาวนาง สายตาทุกวันนี้ของหมิงจู้ที่มองไปยังหลิงตู้ฉิงเริ่มเปลี่ยนไปไม่เหมือนวันแรกที่นางเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ นางเริ่มมองไปยังหลิงตู้ฉิงมากขึ้น มากขึ้น ทุกวันจนถังชี่หยุนเริ่มตระหนักได้ว่าหากนางไม่รีบแก้ไขสถานการณ์นี้ ในอนาคตอันใกล้ต่อไปหมิงจู้คงได้ตามไปเป็นผู้หญิงของหลิงตู้ฉิงอีกคนแน่นอน
ฉะนั้นเพื่อตัดปัญหาในอนาคตที่จะตามมามากมาย นางจึงตัดสินใจให้หมิงจู้ที่ตอนนี้ยังไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งอะไรกับหลิงตู้ฉิงมากนัก ให้ไปแต่งงานกับหลิงยู่ชานเสียก่อน ซึ่งทางเลือกนี้เป็นทางเลือกที่นางคิดว่าเหมาะสมที่สุด เนื่องจากหลิงยู่ชานเองนั้นในด้านพรสววรค์นับว่ายอดเยี่ยม ถังชี่หยุนมั่นใจว่าเด็กคนนี้ต้องมีอนาคตที่ไกลและสามารถทำให้ลูกสาวของนางมีความสุขได้แน่นอน
เมื่อได้ยินคำถามของถังชี่หยุน หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “ครูถัง เรื่องนี้คงต้องถามความสมัครใจของยู่ชานกับลูกสาวของท่านด้วยตัวเอง หากพวกเขายอมตกลง ข้าก็ไม่มีอะไรจะขัดข้อง ท่านจะให้ข้าเรียกพวกเขามาถามตอนนี้เลยดีไหม?”
ถังชี่หยุนรีบพูดขัดทันที “ไม่เป็นไร ๆ ท่านหลิง ข้าควรไปถามพวกเขาด้วยตัวเองมากกว่า”
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ
เมื่อถังชี่หยุนเห็นการแสดงออกของหลิงตู้ฉิง นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นนางจึงเดินไปหาลูกสาวของนางเพื่อคุยเรื่องนี้เป็นคนแรก
เมื่อถังชี่หยุนพบกับหมิงจู้ นางพูดกับหมิงจู้ด้วยสีหน้าจริงจัง “ลูกแม่ แม่มีบางเรื่องจะคุยกับเจ้าเพียงลำพัง”
เมื่อหมิงจู้เห็นท่าทางจริงจังของถังชี่หยุน นางจึงรีบเดินตามแม่ของนางไปยังห้องนอน
“ท่านแม่ ท่านมีเรื่องจะคุยอะไรกับข้างั้นเหรอ?” หมิงจู้ถาม
“แม่ต้องการให้เจ้าแต่งงานกับหลิงยู่ชาน!”
หมิงจู้ยืนตกตะลึงและตอบกลับทันที “ทะ ทะ ท่านแม่ ท่านพูดอะไรออกมาท่านรู้ตัวไหม! เขายังเป็นเด็กนะท่านแม่! และที่สำคัญข้า…”
เมื่อถังชี่หยุนเห็นหมิงจู้เริ่มโวยวายนางก็พูดแทรกขึ้นทันที “แม่ไม่ได้จะให้เจ้าแต่งงานกับยู่ชานตอนนี้สักหน่อย แม่แค่ต้องการหมั้นพวกเจ้าเอาไว้ก่อน จากนั้นรออีกสัก 7-8 ปี เมื่อยู่ชานเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเจ้าค่อยแต่งงานกันก็ได้”
หมิงจู้ส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “แต่เขาก็ยังเด็กกว่าข้าอยู่ดี ท่านต้องการให้ข้าแต่งงานกับผู้ชายที่เด็กกว่าข้าเกือบ 10 ปีงั้นเหรอท่านแม่?”
ถังชี่หยุนเริ่มขึ้นเสียงสูง “ถ้าแม่ไม่ให้เจ้าหมั้นกับยู่ชานตอนนี้ มีหวังเจ้าได้ไปเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งของพ่อเขาแน่นอนน่ะสิ เจ้าคิดว่าแม่ไม่เห็นสายตาของเจ้าช่วงนี้ที่เจ้าชอบแอบมองท่านหลิงงั้นเหรอ? และอีกอย่างยู่ชานเองก็เป็นเด็กที่ฉลาดและยังมีอัจฉริยะภาพด้านการบ่มเพาะเป็นอย่างมาก หากเจ้าได้เขาเป็นสามี แม่รับรองได้ว่าชีวิตของเจ้าในอนาคตจะต้องมีแต่คนนับหน้าถือตาแน่นอน”
เมื่อหมิงจู้ได้เห็นท่าทางอันจริงจังของถังชี่หยุนนางจึงถอนหายใจและพูดว่า “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะทำตามที่ท่านบอก…”
อันที่จริงตั้งแต่เหตุการณ์ที่มีกลุ่มคนบุกเข้ามาในคฤหาสน์และหมิงจู้ได้เห็นการแสดงออกอันน่าเกรงขามของหลิงตู้ฉิง จิตใจนางก็เริ่มหวั่นไหวมาตั้งแต่ตอนนั้น และวันนี้เมื่อแม่นางมาเตือนสติ นางจึงคิดได้ หากนางไม่รับหลิงตู้ฉิงเป็นพ่อตาแล้วละก็ ในอนาคตนางคงต้องได้เป็นน้าของหลิงยู่ชานแทนแน่นอน
ถังชี่หยุนเมื่อเห็นว่าหมิงจู้เริ่มเข้าใจอะไรได้บ้างแล้ว นางจึงเดินออกจากห้องปล่อยให้หมิงจู้ทบทวนความคิดของนางเองคนเดียวสักพัก
“เอาล่ะต่อไปก็ถึงตาของยู่ชานแล้ว…” ถังชี่หยุนที่กำลังเดินไปหาหลิงยู่ชานพึมพำกับตัวนางเอง