บทที่ 110 งานหมั้น[รีไรท์]
หลิงยู่ชานค่อนข้างสับสนเมื่อถังชี่หยุนเรียกเขาไปคุยตามลำพัง
“ครูถังท่านมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” หลิงยู่ชานถาม
ถังชี่หยุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยู่ชานเจ้าใกล้จะอายุ 10 ขวบแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ ครูถัง!” หลิงยู่ชานพยักหน้า
ถังชี่หยุนหัวเราะ “ครูจะบอกความจริงอะไรให้เจ้าฟัง นับตั้งแต่ที่ครูสอนเด็กมามากมาย เจ้าเป็นเด็กที่โดดเด่นที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของครูเลย ในอนาคตเจ้าจะต้องเก่งเหมือนพ่อเจ้าแน่ ๆ และเมื่อเจ้าโตขึ้นเจ้าควรจะแต่งงานและมีลูกกับหญิงสาวที่เพียบพร้อมและงดงาม เจ้าเห็นด้วยไหม?”
“เอ่อ…ข้า…” หลิงยู่ชานหัวเราะอย่างแห้ง ๆ เขาไม่รู้ว่าจะตอบอะไร เขารู้สึกว่าถังชี่หยุนต้องการยกยอเขา แต่จู่ ๆ ทำไมนางถึงยกเรื่องแต่งงานและมีลูกขึ้นมาพูดด้วย?
ถังชี่หยุน เมื่อนางเห็นว่าหลิงยู่ชานเริ่มงุนงง นางจึงเริ่มพูดเข้าประเด็น “ยู่ชาน เจ้าคิดว่าหมิงจู้สวยไหม?”
หลิงยู่ชานพยักหน้าและพูดว่า “พี่สาวหมิงจู้สวยมาก!”
“เช่นนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นครูจะให้เจ้าแต่งงานกับพี่สาวหมิงจู้ เจ้าจะเต็มใจไหม?” ถังชี่หยุนถาม
“หา!” หลิงยู่ชานตกใจ ใบหน้าของเขาเป็นสีแดง
ถังชี่หยุนเมื่อเห็นหลิงยู่ชานตกใจนางจึงรีบพูดว่า “ข้าไม่ได้ให้พวกเจ้าแต่งงานกันตอนนี้ เราจะรอให้เจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก่อน จากนั้นครูค่อยให้พวกเจ้าแต่งงานกัน แบบนี้เจ้าว่าดีไหม?”
“แต่ว่า…แต่…” ใบหน้าของหลิงยู่ชานยังคงแดงก่ำและเขาไม่รู้จะพูดอะไร
ถังชี่หยุนถอนหายใจ “ยู่ชาน เจ้าไม่ต้องกังวล ขอเพียงเจ้าตอบตกลง ครูจะจัดการเรื่องการแต่งงานเจ้ากับหมิงจู้ให้เอง”
“ครูถัง ข้าไม่เข้าใจทำไมท่านถึงต้องการให้ข้าแต่งงานกับพี่สาวหมิงจู้ พี่สาวหมิงจู้นางออกจะงดงามเป็นอย่างมาก….” หลิงยู่ชานรู้สึกสับสนอย่างสิ้นเชิง
“ครูรู้ แต่ในความเห็นของครู เจ้าคือคนที่เหมาะสมกับหมิงจู้ของครูมากที่สุด หญิงงามย่อมต้องคู่กับวีรบุรุษหนุ่มเจ้าว่าถูกต้องไหม และอีกอย่างครูได้ไปถามพ่อของเจ้าเรื่องให้เจ้าแต่งงานกับหมิงจู้แล้ว และพ่อของเจ้าเองก็ไม่ได้ว่าอะไร” ถังชี่หยุนกล่าวพลางยิ้มให้หลิงยู่ชาน
หลิงยู่ชานคิดอยู่นานจากนั้นก็พยักหน้าอย่างเขิน ๆ และพูดว่า “งั้นข้าคิดว่า ข้าคงไม่มีอะไรขัดข้อง…”
ถังชี่หยุนยิ้มอย่างมีความสุข
หลิงยู่ชานเมื่อเห็นสีหน้าอันมีความสุขของถังชี่หยุน เขาจึงถามต่อด้วยสายตาลังเล “ครูถัง ถ้าพี่สาวหมิงจู้และข้าจะต้องแต่งงานกันในอนาคต เช่นนั้นข้าควรจะเรียกท่านว่าแม่ใช่ไหม?”
ถังชี่หยุนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มและดึงหลิงยู่ชานเข้ามาหานาง และลูบหัวของหลิงยู่ชานอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “แน่นอน หลังจากเจ้าหมั้นกับหมิงจู้เรียบร้อย ถึงแม้ว่าเจ้ายังไม่ได้แต่งงานกับนาง เจ้าสามารถเรียกครูว่าแม่ได้”
ถังชี่หยุนที่อยู่กับพวกเด็ก ๆ มาได้หลายเดือนนางเข้าใจความรู้สึกได้ถึงการขาดความรักจากแม่ของเด็ก ๆ เหล่านี้ดังนั้นนางจึงตกลงกับหลิงยู่ชาน
เมื่อคุยกับหลิงยู่ชานเสร็จ นางก็แจ้งหลิงตู้ฉิงทันทีเกี่ยวกับเรื่องนี้
จากนั้นทุกคนในคฤหาสน์สราญรมย์ก็รู้เรื่องนี้
บรรดาเด็ก ๆ ที่รู้เรื่องต่างตกตะลึง พวกเขาวิ่งกรูกันเข้าไปถามหลิงยู่ชานว่า “พี่ใหญ่ ทำไมท่านหาพี่สะใภ้เจอเร็วจัง”
หลิงยู่ชานเมื่อได้ยินคำถามแบบนี้เขาจึงเหล่มองไปยังหมิงจู้ที่นั่งอยู่ไกล ๆ อย่างไม่สบายใจและตอบว่า “พ่อกับครูถังบอกว่าพี่สาวหมิงจู้จะหมั้นกับข้าไว้ก่อน ดังนั้นตอนนี้พี่สาวหมิงจู้ยังไม่ถือว่าเป็นพี่สะใภ้ของพวกเจ้าเต็มตัว…”
“แต่เดี๋ยวพวกท่านก็แต่งงานกันอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?” หลิงว่านถิงหน้ามุ่ย “ไปกันเถอะ พวกเราไปหาว่าที่พี่สะใภ้กันเถอะ!”
จากนั้นเด็ก ๆ ทุกคนจึงวิ่งเฮโลไปหาหมิงจู้ ทุกคนเรียกนางว่าพี่สะใภ้ ซึ่งทำให้หมิงจู้รู้สึกลำบากใจมาก
“พวกเจ้าเรียกข้าว่าพี่สาวไปก่อนได้ไหม?” หมิงจู้พูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ข้าขอร้อง!”
จากนั้นพวกเขาก็หยุดเรียกพี่สะใภ้และเริ่มเรียกหมิงจู้เป็นพี่สาวเหมือนเดิม
โม่หยูถัง มี่ไล และคนอื่น ๆ พวกเขามองถังชี่หยุนด้วยความชื่นชม
พวกเขารู้สึกว่าถังชี่หยุนได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ในส่วนของพิธีหมั้น โม่หยูถังได้เตือนให้หลิงตู้ฉิงมอบสินสอดให้หมิงจู้เมื่อถึงเวลางานหมั้น
หลิงตู้ฉิงที่ไม่ค่อยประสีประสากับเรื่องราวประเพณีอะไรพวกนี้เท่าไหร่นักเขาจึงเดินเข้าไปหาหมิงจู้และถามนางแบบซื่อ ๆ เกี่ยวกับอาวุธที่นางใช้ถนัดที่สุดคืออะไร
เมื่อหลิงตู้ฉิงได้ทราบเรื่องอาวุธที่หมิงจู้ถนัดใช้คือกระบี่ เขาจึงใช้เวลาในคืนนั้นหลอมกระบี่ระดับวิญญาณขั้นสูงขึ้นมาให้หมิงจู้เพื่อเป็นสินสอดที่ใช้ในงานหมั้น
วันรุ่งขึ้นภายใต้การเป็นสักขีพยานของทุกคนในคฤหาสน์ พิธีหมั้นระหว่างหลิงยู่ชานและหมิงจู้ก็เสร็จสมบูรณ์ ส่วนการแต่งงานยังไม่มีการนัดฤกษ์ยามที่แน่นอน เนื่องจากพวกเขาจำเป็นต้องรอให้หลิงยู่ชานเติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียก่อนจากนั้นจึงค่อยว่ากันอีกที
หลังจากงานหมั้นเสร็จสมบูรณ์ หมิงจู้คุกเข่าต่อหน้าหลิงตู้ฉิงและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “คารวะ ท่านลุงหลิง”
“ลุกขึ้นเถอะ” หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “กระบี่เล่มนี้สำหรับเจ้า ข้าสร้างมันขึ้นมาเอง แต่เนื่องจากข้าไม่มีวัสดุที่ดีพอ ระดับของมันจึงยังแค่อยู่ในระดับวิญญาณขั้นสูง หากข้ามีวัสดุที่ดีกว่าในอนาคต ข้าค่อยปรับแต่งมันเพิ่มเติมให้แก่เจ้าอีกที”
“ขอบคุณท่านลุง” หมิงจู่พูดด้วยความตื้นตันในขณะที่นางได้รับกระบี่จากหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ต่อไปข้าจะถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้แก่เจ้า เพลงกระบี่นี้ชื่อ เพลงกระบี่ระบำจันทรา”
หลิงตู้ฉิงใช้เวลาถ่ายทอดเคล็ดกระบี่ไปจนเกือบถึงเวลาบ่ายแก่ ๆ หมิงจู้ถึงจะสามารถจำเคล็ดเพลงกระบี่ได้ทั้งหมด จากนั้นเขาจึงเดินแยกตัวออกไปนั่งเล่นหมากกับลูก ๆ ของเขาต่อ ส่วนหมิงจู้เมื่อนางจำเคล็ดเพลงกระบี่ได้ทั้งหมดแล้วนางจึงเดินกลับเข้าห้องเพื่อทบทวนทำความเข้าใจ
ตกดึกหลังจากที่หมิงจู้เข้าใจ เพลงกระบี่ระบำจันทรา ได้บางส่วนแล้ว เมื่อนางเงยหน้าขึ้น นางเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของถังชี่หยุน
“เป็นยังไงบ้างลูกแม่” ถังชี่หยุนถาม
หมิงจู่ส่ายหัวและกล่าวอย่างหดหู่ว่า “เพลงกระบี่นี้ลึกล้ำเกินไป ข้าพึ่งเข้าใจมันได้เพียงบางส่วนเท่านั้นเอง”
ถังชี่หยุนพยักหน้า “ไม่ต้องกังวล เจ้ามีเวลามากมายสำหรับทำความเข้าใจมัน”
“ท่านแม่ข้าสงสัย ลุงหลิงเขาเป็นใครกัน ทำไมเขาถึงมีความรู้มากมาย และแถมยังมีความสามารถในการสร้างสมบัติวิเศษได้ภายในคืนดียวอีกด้วย” หมิงจู้ถาม
ถังชี่หยุนส่ายหัว “เจ้าจะเข้าใจในอนาคต”
หมิงจู้หัวเราะอย่างเขินอาย “เฮ้อ…ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะน่าทึ่งขนาดนี้ แถมข้ายังได้หมั้นกับเด็กน้อยที่เป็นลูกของเขาอีก ท่านแม่แล้วเรื่องสถาบันราชวงศ์ ลุงหลิงเขามีแผนการจะทำยังไงต่อ ข้าเองก็ไม่ได้กลับไปที่สถาบันมาหลายวันแล้ว ข้าเกรงว่าข้าอาจจะต้องกลับเข้าไปที่สถาบันแล้วนะท่านแม่”
“ยู่ชานเขาไม่ใช่เด็กน้อยแต่เขาเป็นว่าที่สามีในอนาคตของเจ้า!” ถังชี่หยุนพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ส่วนเรื่องเกี่ยวกับสถาบันราชวงศ์ ในระหว่างนี้เรารอท่านหลิงตัดสินใจก่อน ช่วงนี้เจ้าแค่เข้าฟังชั้นเรียนของแม่ก็เพียงพอ แต่แม่ได้ยินมาว่าท่านหลิงได้รับเลือกให้เป็นอาจารย์ของสถาบันราชวงศ์แล้ว นอกจากนี้ลูก ๆ ทุกคนของเขาก็จะได้เข้าร่วมชั้นเรียนของสถาบันราชวงศ์ร่วมกันด้วย”
หมิงจู้พยักหน้าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเชื่อฟังท่านแม่ เอ๊ะ ใช่แล้ว! ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาคนนั้นหายไปแล้วล่ะท่านแม่ นี่ก็หลายวันแล้วทำไมนางยังไม่กลับมาอีก”
“เจ้านี่ขี้สงสัยจริง ๆ นะ รีบเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้แม่ต้องบรรยายบทเรียนพิเศษ” ถังชี่หยุนกล่าว
“บทเรียนพิเศษ?” หมิงจู้ถามอย่างสงสัย
“พรุ่งนี้บทเรียนคือหัวข้อความสัมพันธ์ภายในครอบครัว แม่ต้องให้ท่านหลิงรู้ว่าควรประพฤติตนอย่างไรให้เหมาะสมกับลูกสะใภ้!” ถังชี่หยุนพูดเสียงเบา
หมิงจู้รู้สึกหงุดหงิด “ท่านแม่ ข้าหมั้นกับหลิงยู่ชานลูกของเขาแล้วนะ ท่านคิดได้ยังไงว่าข้ากับลุงหลิงจะยังมีอะไรเกินเลยกันได้อีก!”
ถังชี่หยุนส่ายหัวและพูดว่า “เจ้าไม่เข้าใจ! แม้ว่าท่านหลิงจะเป็นอัจฉริยะ แต่เขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวกับสมาชิกในครอบครัวสักเท่าไหร่เลย โดยเฉพาะที่เขาไม่เคยมีลูกสะใภ้มาก่อนนั้นยิ่งน่าห่วง แม่จำเป็นต้องสอนเขาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพ่อตาและลูกสะใภ้ให้เขา ฉะนั้นแม่จึงต้องใช้วิธีการบรรยายบทเรียนของแก่นแท้ความสัมพันธ์แห่งครอบครัว เพื่อบอกเขาทางอ้อมในวันพรุ่งนี้ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เข้าใจ”
วันรุ่งขึ้น ถังชี่หยุนเริ่มบรรยายหัวข้อของชั้นเรียนนี้ได้แก่ มารยาทในครอบครัว ความกตัญญู ความสามัคคีระหว่างครอบครัวและความสัมพันธ์ระหว่างมิตรสหาย สำหรับคนอื่น ๆ พวกเขารู้สึกว่าบทเรียนในวันนี้ค่อนข้างแปลก
แต่สำหรับหลิงตู้ฉิง บทเรียนนี้มีประโยชน์กับเขาเป็นอย่างมาก ทุกคำสอนของถังชี่หยุนช่วยเปิดความเข้าใจใหม่ ๆ ซึ่งหลิงตู้ฉิงเริ่มนำพวกมันเข้าไปหลอมรวมกับเต๋าตู้ฉิง จนเต๋าตู้ฉิงเริ่มพัฒนาไปอีกระดับอย่างรวดเร็ว
และเมื่อถังชี่หยุนบรรยายบทเรียนจนถึงเรื่องพ่อตาลูกสะใภ้ มี่ไล หลิวเฟ่ยเฟ่ย และโม่หยูถังก็แสดงรอยยิ้มเย้าแหย่ออกมา ขณะที่หมิงจู้ก้มหน้าด้วยความอับอาย
หมิงจู้ที่พึ่งเคยฟังบทเรียนพิเศษของถังชี่หยุนเป็นครั้งแรก นางรู้สึกประหลาดใจกับความสามารถของแม่นางเป็นอย่างมาก “ท่านแม่ ข้าไม่นึกเลยว่าท่านจะมีความสามารถขนาดนี้”
ถังชี่หยุนยิ้มอย่างอ่อนแรง “นี่เป็นเพราะ พ่อตา ของเจ้ามีความสำคัญกับอนาคตของเรา แม่จึงต้องทุ่มเทรับใช้เขาให้สุดความสามารถ เพื่อให้เขายอมรับแม่เป็นหนึ่งในผู้ติดตามของเขา แต่เจ้าอย่าเข้าใจผิด พ่อตาของเจ้าไม่เคยมองแม่ไปในแบบชู้สาวแต่อย่างใด เขาเพียงต้องการแต่ให้แม่ทำหน้าที่เป็นครูที่ดีให้กับลูก ๆ ของเขาเท่านั้น”
ในขณะที่คู่แม่ลูกกำลังคุยกัน เสี่ยวเยว่เฟิงก็ร่อนลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับแบกสัตว์อสูรที่ทั่วร่างของมันมีเปลวเพลิงลุกขึ้นท่วมตัว
เสี่ยวเยว่เฟิงโยนกระทิงเพลิงปฐพีลงบนลาน และเดินเข้ามาโค้งคำนับและพูดกับหลิงตู้ฉิง “นายท่าน รอบนี้ถือว่าข้าโชคดีมาก ข้าได้พบ กระทิงเพลิงปฐพี ที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณระดับสูง”
เสี่ยวเยว่เฟิงใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการตามหากระทิงเพลิงปฐพีตัวนี้ในป่าสัตว์เวทย์ และโชคดีที่นางอยู่ในขอบเขตนภา ไม่เช่นนั้นการเดินทางหลายพันลี้จากป่าสัตว์เวทย์มายังเมืองหลวงในเวลาสั้น ๆ แค่นี้คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “เจ้าทำได้ดีมาก ข้ารับรองว่าการพยายามของเจ้าในครั้งนี้จะช่วยให้เจ้าประหยัดแรงไปได้อีกเยอะในอนาคต”
“ท่านพ่อจะใช้มันทำอะไรเหรอ?” หลิงยี่เทียนถามอย่างสงสัย
“เจ้าจะเข้าใจในเร็ว ๆ นี้” หลิงตู้ฉิงพูด
จากนั้นเขาจึงเริ่มเปิดค่ายกลที่ไว้ใช้สำหรับหลอมสมบัติขึ้นมาบนลาน และเดินไปหากงหนิวที่ถูกขังอยู่ที่ด้านข้างของลาน
เขาปลดพันธนาการของกงหนิว และพูดว่า “เจ้าที่กล้าบุกเข้ามาสร้างความรำคาญให้แก่ข้า อันที่จริงข้าควรจะฆ่าเจ้าให้ตาย ๆ ไปซะตั้งแต่แรก แต่เนื่องจากข้ายังมีความเมตตาและข้ายังเห็นประโยชน์ของสายเลือดที่ไหลเวียนในตัวของเจ้าอยู่ ฉะนั้นข้าจะให้ทางเลือกเจ้าสามทาง”
“ทางเลือกแรกคือให้ข้าปลุกสายเลือดของเจ้าและเจ้าต้องมาลากรถม้าให้ข้าเป็นเวลา 100 ปี ทางเลือกที่สองคือข้าเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นหุ่นเชิดและจากนั้นข้าจะให้ร่างของเจ้าคอยดูแลประตูคฤหาสน์ให้ข้า ทางเลือกที่สามคือข้าจะดึงระดับการบ่มเพาะทั้งหมดของเจ้าใส่ลงไปในร่างของกระทิงเพลิงปฐพี และปลดปล่อยให้วิญญาณของเจ้าไปเกิดใหม่”