บทที่ 121 นัดประลอง[รีไรท์]
“สร้างความยุ่งยากให้ข้า?” หลิงตู้ฉิงถามกลับด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากในช่วงหลายวันที่ผ่านมา มีคนสร้างความน่ารำคาญให้กับตัวเขาและคนรอบข้างเขาอย่างไม่หยุดหย่อน จนตอนนี้ความอดทนของเขาใกล้จะถึงขีดสุด
เฮ่อเจิ้นปิงพยักหน้าและพูดต่อ “ใช่ อาจารย์หลิงตอนนี้พวกเขากำลังกล่าวหาท่านกับอาจารย์ของข้า พวกเขากล่าวหาว่าท่านไร้ความสามารถสมควรถูกถอดถอนและคณะของท่านก็ควรจะถูกยุบ ตอนนี้อาจารย์ของข้าจึงรีบให้ข้ามาตามท่านไปที่ห้องประชุมของเขาเพื่อท่านลบขอครหาทั้งหมดด้วยตนเอง”
หลิงตู้ฉิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาพยักหน้าและลุกขึ้น “ได้ ข้าคิดว่าคงถึงเวลาแล้วที่ข้าจะเก็บดอกเบี้ยสำหรับที่พวกเขาที่มาสร้างความรำคาญให้กับข้าในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงเดินตามเฮ่อเจี้ยนปิงไปที่ห้องประชุมของสถาบันราชวงศ์
ภายในห้องประชุมตอนนี้ล้วนเต็มไปด้วยอาจารย์ของสถาบันราชวงศ์ที่ไม่พอใจในการก่อตั้งคณะใหม่อยู่เต็มไปหมด
ขณะที่หลิงตู้ฉิงนั่งลง คณบดีของคณะศาสตร์ยุทธ จิ๋นห้าวหมิงพูดทันที “เอาล่ะตอนนี้หลิงตู้ฉิงอยู่ที่นี่แล้ว เราควรจะเริ่มคุยกันต่อว่าจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต ข้ายังคงมีความเห็นเหมือนกับคนอื่น ๆ คือหลิงตู้ฉิงไม่เหมาะสมจะเป็นอาจารย์รวมถึงบรรดาคณะอาจารย์ของเขา และอย่างที่ทุกคนทราบดี สถาบันราชวงศ์ของเราเป็นสถาบันการศึกษาที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรจันทราและเรายังเป็นสถาบันอันดับต้น ๆ ในทวีปเทียนหยวน แต่เนื่องจากระยะหลังที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของสถาบันอันน่าภาคภูมิใจของเรากลับถูกคณะที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาทำลายเสียย่อยยับ และคณะนั้นก็ไม่ใช่คณะอื่นใด คณะนั้นคือคณะเปิดชั่วคราวของเขาหลิงตู้ฉิง”
เมื่อพูดจบ จิ๋นห้าวหมิงชี้นิ้วไปยังหลิงตู้ฉิง และเริ่มพูดต่อ
“และอีกประเด็นคือเรื่องบรรดานักศึกษาที่เข้าไปอยู่ในคณะเปิดชั่วคราว ก่อนหน้านี้พวกเขาทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะ แต่ตอนนี้หลังจากเข้าไปในคณะชั่วคราว พวกเขากลับกลายเป็นเหมือนเพียงเพื่อนเล่นของกลุ่มลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิง”
“ทั้งเจียนซิงเฉิงและเหวินเต๋า ต่างเป็นนักศึกษาระดับหัวกะทิที่ติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของคณะศาสตร์ยุทธของข้า แต่เมื่อเร็ว ๆ กลับนี้มีคนพบเห็นเขาสองคนกำลังพาเด็กอายุ 3 ขวบ ซึ่งเป็นลูกของหลิงตู้ฉิงไปเดินเล่นรอบ ๆ สถาบันเฉกเช่นบ่าวรับใช้ก็ไม่ผิด ซึ่งข้ามีความเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจรับได้”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กบางคนที่ไม่ได้รับการฝึกศิลปะการต่อสู้อย่างถูกต้องแต่กลับถูกชี้แนะให้ไปเรียนรู้การวาดภาพหรือเย็บปักถักร้อยแทน ซึ่งในความคิดเห็นของข้าการสอนเช่นนี้น่ากังวลใจเป็นอย่างมาก หลิงตู้ฉิงไม่เพียงแต่จะไม่ดันนักศึกษาที่เป็นอัจฉริยะของเราไปด้านหน้าแล้ว เขายึงดึงให้พวกเขากลับไปด้านหลังอีกต่างหากด้วยการไร้ความสามารถของเขา”
“ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้คณะเปิดชั่วคราวทำร้ายเหล่าเด็ก ๆ อีกต่อไป ข้าขอเสนอให้เรา ทำการยุบคณะเปิดชั่วคราวที่ไร้ประโยชน์นี้ให้หายไปซะ ส่วนนักศึกษาเก่าทั้งหมดจะกลับไปอยู่ในคณะเดิมและส่วนผู้ที่ไม่เคยอยู่ในสถาบันราชวงศ์จะถูกขับไล่ออกไป”
จิ๋นห้าวหมิงนั้นใช้คำกล่าวหาที่รุนแรงและเด็ดขาดที่สุดเท่าที่เขาจะหาได้ เนื่องจากเขามีความไม่พอใจอย่างมาก คณะศาสตร์ยุทธของเขาเป็นคณะที่มีการสูญเสียนักศึกษาหัวกะทิให้กับคณะเปิดชั่วคราวมากที่สุด
เมื่อจิ๋นห้าวหมิงจบประโยค คณะบดีของคณะเตรียมทหาร เว่ยเทียนไล้ก็รีบพูดว่า “ข้ารู้สึกว่าอาจารย์จิ๋นพูดได้ถูก! อธิการบดีจ้าวท่านไม่สามารถนำความสัมพันธ์ในครอบครัวของท่านเข้ามามีอิทธิพลในที่ทำงานได้ ถ้าท่านต้องการเอาใจว่าที่หลานเขยของท่านจริง ๆ ทำไมท่านไม่ไปเปิดสถาบันใหม่ให้เขาไปเป็นอธิการบดีที่สถาบันนั้นซะเลยล่ะ ทำไมท่านต้องให้เขามาสร้างความเสียหายให้กับที่นี่?”
หลังจากเว่ยเทียนไล้พูดเสร็จ อีกสองคณะต่างก็ออกเสียงเห็นด้วยกันทั้งหมดให้ยุบคณะของหลิงตู้ฉิงออกไปซะ
จ้าวปาเทียนที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขาแอบด่าคนเหล่านี้ในใจอยู่หลายรอบที่มีตาหามีแววไม่
เมื่อทุกคนพูดจบ จ้าวปาเทียนทำได้เพียงมองไปที่หลิงตู้ฉิงและถามว่า “อาจารย์หลิง ท่านมีอะไรจะพูดหรือไม่?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ในเมื่อพวกเจ้าคิดว่าข้าและอาจารย์ที่ข้านำมาไม่สมควรเป็นอาจารย์ เช่นนั้นข้าอยากถามพวกเจ้าสักหน่อย ว่าพวกเจ้าคิดว่าคนที่เหมาะสมจะเป็นอาจารย์นั้นมันเป็นยังไง?”
จิ๋นห้าวหมิงหัวเราะเยาะ “เจ้าไม่ต้องอยากรู้หรอกว่าคนที่เหมาะสมจะเป็นยังไง แต่การที่เจ้าปล่อยให้คนธรรมดามาชี้แนะศิลปะการต่อสู้ให้กับนักศึกษา แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเจ้าและบรรดาคนของเจ้าไม่คู่ควรจะเป็นอาจารย์ที่นี่”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าหมายความว่าตัวเองน่าจะเป็นคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดใช่ไหม?”
“แน่นอนข้ามีคุณสมบัติมากกว่าพวกเขา และข้าก็มีคุณสมบัติมากกว่าเจ้าด้วย!” จิ๋นห้าวหมิงเริ่มพูดโดยไม่มีร่องรอยของความสุภาพ เนื่องจากตอนนี้เขาเองรู้สึกได้ว่าหลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้สุภาพกับเขาเช่นกัน
หลิงตู้ฉิงยังคงพยักหน้า “ได้ ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนั้นข้าจะให้เวลาเจ้าเตรียมตัว 7 วัน หลังจาก 7 วัน เจ้ามาประลองกับอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ของข้า”
จิ๋นห้าวหมิงโกรธขึ้นมาทันที “ไม่ว่ายังไงข้าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 5 แต่เจ้าต้องการให้ข้าต่อสู้กับไอ้ขยะที่ไม่สามารถบ่มเพาะได้เนี่ยนะ?”
“ใช่ เมื่อเวลาที่เจ้าแพ้เขา เจ้าจะได้กลายเป็นขยะของขยะยังไงล่ะ และเพื่อความน่าสนใจในการประลองข้าจะขอวางเดิมพันไว้สักหน่อย เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าข้ามีอาวุธวิเศษที่ทรงพลังมาก ตราบใดที่คนของข้าแพ้ ข้าจะมอบอาวุธวิเศษชิ้นนั้นให้เจ้าทันที แต่ถ้าหากเจ้าแพ้ เจ้าต้องจ่ายให้ข้าด้วยสมุนไพรหรือแร่ต่าง ๆ ที่อยู่ในระดับวิญญาณขึ้นไป 1 ชิ้น!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จิ๋นห้าวหมิงที่ยังมีอารมณ์โกรธอยู่ดวงตาของเขาเปล่งประกายทันที ไม่ว่าใครก็ต่างต้องการอาวุธวิเศษของหลิงตู้ฉิงกันทั้งนั้น เมื่อหลิงตู้ฉิงเสนอออกมาเช่นนี้ในใจของเขาตกลงกับข้อเดิมพันนี้ในทันที
แต่เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดเกินไปเขาจึงพูด “อันที่จริงผลการชนะหรือแพ้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือข้าต้องสั่งสอนให้เจ้ารู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นอาจารย์ของสถาบันราชวงศ์ได้!”
หลิงตู้ฉิงยิ้มเยาะ “แต่น่าเสียดายที่คณะของข้าตอนนี้มีอาจารย์ประจำอยู่เพียง 2 คน ฉะนั้นการประลองในด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากศิลปะการต่อสู้ ข้าจะเป็นคนลงประลองเอง พวกเจ้าจากคณะอื่น ๆ ที่รู้สึกไม่พอใจ พวกเจ้าจะต้องประลองกับข้า ตราบใดที่เจ้าสามารถเอาชนะได้ ข้าจะมอบอาวุธวิเศษของข้าให้กับพวกเจ้าคนที่ชนะข้าได้ก่อน แต่ถ้าหากพวกเจ้าแพ้พวกเจ้าก็ต้องเสียเดิมพันให้ข้าเช่นกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง ดวงตาของอาจารย์คนอื่น ๆ ก็สว่างขึ้น พวกเขาไม่เชื่อว่าหลิงตู้ฉิงจะมีความสามารถมากพอที่จะเอาชนะพวกเขาได้
จ้าวปาเทียนมองไปยังบรรดาอาจารย์ที่โง่เขลาที่กำลังตื่นเต้นกันจนตัวสั่น เขาอดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มในใจ “พวกงี่เง่าเอ๋ย คงยากหน่อยนะที่จะได้รับสมบัติวิเศษ” แม้ว่าจ้าวปาเทียนจะไม่แน่ใจความสามารถในการหลอมโอสถของหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างไร แต่เขารู้ว่าทักษะด้านการหลอมอาวุธของหลิงตู้ฉิงสามารถเอาชนะทุกคนในสถาบันได้อย่างสบาย ๆ และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจคือคนอย่างหลิงตู้ฉิงหากเขาไม่แน่ใจสิ่งใดเขาจะไม่มีวันลงมือทำมัน
“เจ้าแน่ใจนะ ว่าเจ้าจะรักษาสัญญามอบอาวุธของเจ้าให้กับใครก็ตามที่ชนะเจ้าได้ก่อนตามที่เจ้าพูด?” เว่ยเทียนไล้ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ความสามารถทางการทหารนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝน มันเป็นทักษะที่เรียนรู้ได้จากประสบการณ์การผ่านสนามรบมานับไม่ถ้วน ในฐานะคณบดีคณะเตรียมทหาร เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าตัวเองจะชนะเด็กหนุ่มผู้นี้ที่ดูแล้วไม่น่าจะเคยเข้าร่วมสงครามแม้แต่เพียงครั้งเดียว
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะเท่านี้ก็จบเรื่องการวัดความสามารถของตัวอาจารย์ไปแล้ว เรามาพูดเรื่องประเด็นการทดสอบเกี่ยวกับความสามารถในการสอนนักศึกษากันต่อ”
“ข้าจะขอท้าพวกเจ้าทุกคนภายในเวลาครึ่งปี ข้าจะส่งนักศึกษาในคณะเปิดชั่วคราวของข้าทุกคนขึ้นเวทีประลองและให้พวกเจ้าส่งคนมาท้าทายพวกเขา ถ้านักศึกษาของข้าแพ้ ข้าจะมอบสมบัติวิเศษให้แก่พวกเจ้าด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง อาจารย์คนอื่น ๆ ก็พากันข้องใจ ในความมั่นใจของหลิงตู้ฉิง พวกเขารู้สึกว่าคำพูดของหลิงตู้ฉิงนั้นแฝงเป็นอีกนัยหนึ่งว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้การประลองรอบแรกของเหล่าอาจารย์งั้นเหรอ? และต่อให้เกิดปาฏิหาริย์พวกเขาแพ้ขึ้นมาจริง ๆ ใน 7 วันข้างหน้า แต่การจับลูกศิษย์มาประลองกันนั้นมันอีกเรื่อง
ด้วยความสามารถของบรรดานักศึกษาในคณะของหลิงตู้ฉิง หากจะฝึกพวกเขาให้สามารถเอาชนะนักศึกษาคนอื่น ๆ ทุกคนในสถาบันภายใน 6 เดือน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันมีปัจจัยมากมายหลายอย่างมากเกินไปในการสอนนักศึกษาที่อยู่อันดับท้าย ๆ ให้กลายมาเป็นยอดคน พวกเขาไม่เข้าใจว่าหลิงตู้ฉิงไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน
แม้แต่เฮ่อเจี้ยนปิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลกับหลิงตู้ฉิง เขารีบพูดว่า “อาจารย์หลิง ท่านไม่ต้องรีบขนาดนั้น ตราบใดที่สามารถพิสูจน์ความสามารถของอาจารย์ในคณะเปิดชั่วคราวได้ก็เพียงพอแล้ว”
หลิงตู้ฉิงมองเฮ่อเจี้ยนปิงและพูดว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ามีวิธีของข้าเอง”
พูดจบหลิงตู้ฉิงหันไปทางด้านอาจารย์คนอื่น ๆ และพูดต่อว่า “แต่ในรอบวัดความสามารถการสอน ของเดิมพันที่พวกเจ้าต้องนำออกมาเดิมพันรอบนี้จะต้องมีค่ามากกว่ารอบแรก”
จิ๋นห้าวหมิงและคนอื่น ๆ เมื่อได้ยินเช่นนี้พวกเขาเข้าใจดีว่าหลิงตู้ฉิงต้องการของเดิมพันที่มีค่าใกล้เคียงกับอาวุธวิเศษของเขา
“พวกเราไม่มีอาวุธวิเศษที่ทรงพลังเช่นเจ้า!” จิ๋นห้าวหมิงตอบ
“ข้าไม่ต้องการอาวุธหรือสมบัติวิเศษใด ๆ แต่สิ่งที่ข้าต้องการคือหากนักศึกษาของข้าชนะ ทรัพยากรทั้งหมดในสาขาของพวกเจ้าจะต้องเป็นของคณะข้า เนื่องจากข้าถือว่าผู้แพ้นั้นมีค่าไม่ต่างอะไรกับเศษขยะ และเศษขยะนั้นไม่ควรผลาญทรัพยากรของสถาบันไปโดยเปล่าประโยชน์” เมื่อพูดจบหลิงตู้ฉิงลุกขึ้นจากเก้าอี้ และหันหลังเดินออกไปจากห้องประชุมของจ้าวปาเทียนทันที
หลิงตู้ฉิงไม่ต้องการที่เสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไปเขาจึงรีบจากไป เนื่องจากเขาต้องใช้เวลาที่เหลือ 7 วันเตรียมโม่หยูถังที่ทั้งเส้นลมปราณและจุดตันเทียนถูกทำลาย ให้พร้อมสามารถใช้พลังวิญญาณได้อีกครั้งหนึ่ง
หลังจากหลิงตู้ฉิงออกไปแล้ว บรรดาอาจารย์ที่อยู่ในห้องต่างมีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
“นี่มันกล้าพูดว่าขยะงั้นเหรอ ดี! ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าท้ายที่สุดแล้วใครกันแน่ที่มันจะเป็นขยะ!” จิ๋นห้าวหมิงตะโกนร้องด้วยอารมณ์ที่โกรธจัด