บทที่ 134 วันปีใหม่[รีไรท์]
เมื่อทุกคนที่กำลังยืนมุงอยู่ เห็นเหรียญทอง 12 เหรียญที่จู่ ๆ ลอยขึ้นและบินตรงเข้าไปหลอมรวมกับเจดีย์ทองคำ ดวงตาของทุกคนเบิกโพลงไปด้วยอาการตกตะลึง ไม่มีใครในพวกเขาเห็นความผันผวนของพลังวิญญาณใด ๆ เกิดขึ้นในบริเวณเหรียญทองและเจดีย์ทองคำเลย
ตอนนี้มี่ตั้วตั้วเริ่มทบทวนความทรงจำต่าง ๆ เกี่ยวกับเงินทุกเหรียญที่เขาได้รับและหามา ส่งผลให้บรรดาเหรียญทองที่กองอยู่เริ่มหลั่งไหลเข้าไปหลอมรวมกับเจดีย์อย่างไม่ขาดสาย แต่ไม่ว่ามันจะกลืนเหรียญทองเข้าไปมากเท่าไหร่ ขนาดและรูปลักษณ์ของมันก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลย
บรรดาผู้คนที่มองอยู่รอบ ๆ ต่างกลืนน้ำลาย ด้วยจำนวนทองกองมหึมาเท่าภูเขาขนาดย่อมกลับถูกกลืนกินไปโดยเจดีย์ขนาดเท่าตัวคน แต่ขนาดของมันกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ยกเว้นก็แต่รัศมีสีทองที่เปล่งประกายออกมาเริ่มกระจ่างชัดขึ้นเรื่อย ๆ
กระบวนการดูดกลืนเหรียญทองเกือบทั้งหมดนี้ดำเนินไปเรื่อย ๆ ถึง 7 วัน
เมื่อผ่านไป 7 วัน จากกองเหรียญทองขนาดมหึมา ตอนนี้เหลือเหรียญทองอยู่เพียงแค่ 4 เหรียญเท่านั้นที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะขยับบินเข้ามาหาเจดีย์แต่อย่างใด
ในตอนนี้มี่ตั้วตั้วได้คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ในความทรงจำต่าง ๆ เกี่ยวกับเงินทุกเหรียญที่เขาหามาได้ทั้งหมดแล้ว เมื่อเหลือแค่ 4 เหรียญนี้เขาก็คิดไม่ออกว่า 4 เหรียญนี้มีที่มาจากไหนและเขาได้รับพวกมันมายังไง
เมื่อเขานึกยังไงก็นึกไม่ออก เขาจึงลองวิธีที่แปลกไปต่าง ๆ นา ๆ เขาลองนั่งลงคุกเข่าอ้อนวอนอยู่เบื้องหน้าเหรียญทอง 4 เหรียญนี้ให้ลอยเข้าไปหาเจดีย์ หรือแม้กระทั่งลองใช้ไม้แข็งโดยการส่งพลังวิญญาณของระดับการบ่มเพาะของตัวเองบังคับเหรียญทองให้บินเข้าไปหาเจดีย์ ซึ่งวิธีที่เขาลองใช้มาทั้งหมดล้วนแต่ไม่มีวิธีไหนสักวิธีที่ได้ผล
เมื่อเขาลองอยู่หลายวิธีแล้วยังไม่ได้ผล เขาจึงกลับมาใช้วิธีแรกเริ่มคือการลองพยายามนึกถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเหรียญทองที่เขาหามาได้
เวลาได้ผ่านพ้นไปอีก 1 อาทิตย์ วันนี้เป็นวันตรงกับเทศกาลเฉลิมฉลองวันปีใหม่ บรรยากาศในเมืองหลวง ณ เวลานี้เต็มไปด้วยความคึกคัก
“เด็ก ๆ ปู่ทวดของพวกเจ้าส่งข้อความมาว่าวันนี้ให้พวกเราไปร่วมฉลองกับพวกเขาที่คฤหาสน์ พวกเจ้ารีบเก็บของ เราจะออกเดินทางภายในหนึ่งชั่วยามนี้” หลิงตู้ฉิงพูดสั่งหลังจากจบชั้นเรียนช่วงบ่ายที่สถาบันและเพิ่งพาทุกคนกลับมาถึงคฤหาสน์
มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยต่างมีสีหน้ากังวลและพูดขึ้นว่า “นายท่าน ท่านต้องการให้พวกเราตามท่านไปที่คฤหาสน์ท่านแม่ทัพด้วยไหม?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มให้พวกนางแล้วตอบว่า “เรื่องนี้ข้าแล้วแต่พวกเจ้า ถ้าพวกเจ้าอยากตามไปก็ตามไป แต่หากไม่อยากไป พวกเจ้าก็อยู่รอข้าที่นี่”
มี่ไลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและมองไปยังมี่ตั้วตั้วที่กำลังนั่งเพ่งสมาธิกับเหรียญทั้งสี่ นางเม้มริมฝีปากและตัดสินใจพูดขึ้นว่า “ข้าว่าครั้งนี้ข้าจะขอไม่ไปคฤหาสน์ท่านแม่ทัพกับท่าน ข้าขออยู่ที่นี่กับท่านพ่อของข้า เอาไว้โอกาสหน้าเมื่อข้าได้เป็นผู้หญิงของท่านอย่างเต็มตัวแล้ว ข้าจะขอให้ท่านพาข้าไปคารวะท่านแม่ทัพอีกครั้งในอนาคต”
เมื่อมี่ไลพูดจบ หลิวเฟ่ยเฟ่ยที่อยู่ด้านข้างก็พูดว่า “นายท่าน ข้าเองก็จะอยู่เป็นเพื่อนนางที่นี่เช่นกัน จะว่าไป วันนี้นายท่านจะกลับมานอนที่นี่หรือจะค้างที่คฤหาสน์ท่านแม่ทัพ?”
“เช่นนั้นก็ตามใจพวกเจ้า ข้าคงจะกลับมาหลังจากอาหารค่ำ” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงกำลังเตรียมตัวเดินไปทางไปคฤหาสน์ตระกูลหลิง หลิงฉุยฟงก็รีบเดินเข้ามาด้วยสีหน้าประจบประแจง “หลานรัก เจ้าจะให้ข้าตามเจ้ากลับไปที่ตระกูลด้วยได้ไหม?”
หลิงตู้ฉิงมองไปยังหลิงฉุยฟงด้วยสายตาสงสัยและพูดขึ้น “หืม? ข้าไม่เคยห้ามท่านไม่ให้ออกไปไหนสักหน่อย ทำไมท่านถึงต้องมาขอข้าด้วย? ถ้าท่านอยากกลับไปที่ตระกูล ท่านจะกลับไปตอนไหนก็ได้”
“ข้ารู้ ว่าเจ้าไม่เคยห้ามข้าไปไหนมาไหน แต่หลังจากที่เจ้ามอบภาระหน้าที่สำคัญให้ข้าแล้ว ข้าจะละเลยหน้าที่ออกไปไหนตามอำเภอใจแบบเมื่อก่อนได้ยังไงกัน และในเมื่อวันนี้เป็นวันสำคัญของตระกูลบวกกับที่เจ้ากำลังจะไปที่ตระกูลพอดี ข้าก็เลยอยากจะตามเจ้ากลับไปตระกูลไปดูหน้าลูกหลานข้าสักหน่อย ที่สำคัญการไปกับเจ้าด้วยรถม้านั่นมันเร็วกว่าที่ข้ากลับไปด้วยตัวเองเป็นไหน ๆ ฉะนั้นข้าจะได้ประหยัดเวลาเดินทางไปกลับด้วย เมื่อเสร็จจากที่ตระกูลแล้ว ข้าจะได้รีบกลับมาฝึกทหารให้เจ้าต่ออีกยังไงล่ะ” หลิงฉุยฟงตอบกลับ
หลิงตู้ฉิงเมื่อได้ฟังคำพูดของหลิงฉุยฟงจนจบเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก เขารอจนบรรดาลูก ๆ ของเขาเตรียมตัวเสร็จ จากนั้นจึงพากันขึ้นรถม้าที่ลากโดยกงหนิวพุ่งไปทางคฤหาสน์ตระกูลหลิงทันที
หลังจากหลิงตู้ฉิงจากไปแล้ว มี่ไลได้เดินเข้ามาหาพ่อของนางและพูดว่า “ท่านพ่อเป็นยังไงบ้าง?”
มี่ตั้วตั้วกุมขมับตัวเองอย่างเศร้าสร้อยและพูดว่า “พ่อนึกไม่ออกแล้ว พ่อนึกไม่ออกจริง ๆ ไอ้เหรียญที่เหลืออีก 4 เหรียญนั่น ไม่ว่าพ่อทำยังไงมันก็ไม่ขยับสักที พ่อกำลังจะบ้าตายอยู่แล้ว”
มี่ไลลูบหลังพ่อของนางและพยายามพูดปลอบ “ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องกังวล เดี๋ยวรอให้นายท่านกลับมาก่อน ข้าจะขอให้เขาช่วยท่านเอง ส่วนตอนนี้ในเมื่อยังไงท่านก็คงยังคิดไม่ออก ข้าว่าเราควรพักเรื่องนี้ไว้สักหน่อย วันนี้เป็นวันปีใหม่ท่านกับข้าเรามาฉลองเทศกาลนี้ด้วยกันในคฤหาสน์เพื่อเป็นการผ่อนคลายสมองกันเถอะ”
เมื่อนึกถึงเรื่องสมบัตินี้ มี่ตั้วตั้วที่นั่งคิดมาเป็นอาทิตย์ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจไปฉลองเทศกาลปีใหม่กับลูกสาวของเขาก่อนเพื่อเป็นการพักสงบจิตใจ
ในขณะเดียวกัน ยังมีอีกครอบครัวหนึ่งในคฤหาสน์ที่กำลังฉลองปีใหม่กันอยู่สองคนเช่นกัน
“ท่านแม่ สุขสันต์วันปีใหม่!” หมิงจู้เดินเข้ามาหาถังชี่หยุน พลางยกถาดที่เต็มไปด้วยอาหารต่าง ๆ ที่ดูน่ากินมากมายเข้ามาในห้องของถังชี่หยุน
ถังชี่หยุนที่เห็นเช่นนั้น นางยิ้มให้กับลูกของนางและพูดว่า “หลังจากปีใหม่นี้ ยู่ชานจะอายุครบ 10 ปีแล้ว อีกไม่นานพวกเจ้าก็จะได้เข้าห้องหอแต่งงานกันสักที”
หมิงจู้หน้าแดงและตอบกลับ “ท่านแม่ ยังไงข้าก็แต่งงานกับเขาอยู่แล้วล่ะน่า ท่านย้ำข้าบ่อย ๆ กลัวข้าจะลืมนักรึไง”
“เจ้าไม่เข้าใจ การแต่งงานนี้สำคัญมากสำหรับอนาคตของเจ้า ตัวแม่ได้ทำสัญญาไว้กับท่านหลิงเป็นเวลา 10 ปีที่จะอยู่ที่นี่ หลังจากครบ 10 ปีแล้ว แม่กับพ่อของเจ้าจะต้องจากไปเดินตามเส้นทางเต๋าของเราเอง ซึ่งเจ้าไม่สามารถติดตามแม่และพ่อไปได้ เจ้าจะต้องอยู่กับยู่ชาน และเชื่อฟังคำสอนของท่านหลิงซึ่งเป็นพ่อตาของเจ้าให้ดี หากเจ้าทำได้ แค่นี้แม่กับพ่อของเจ้าเราก็อุ่นใจแล้วหลังเราจากไป”
หมิงจู้พยักหน้ารับฟังด้วยสีหน้าสลด
“สำนักเที่ยงธรรมของพ่อกับแม่นั้นไม่เหมือนสำนักอื่น เส้นทางเต๋าของพวกเราถือว่าเป็นการท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง บ่อยครั้งที่เราจะต้องประสบกับทัณฑ์สวรรค์และทัณฑ์สวรรค์ที่พวกเราเผชิญมันจะมีผลต่อบุคคลใกล้ชิดรอบกายทั้งหมด ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาที่พ่อกับแม่จากไป เจ้าต้องบอกพี่ของเจ้าด้วย ว่าอย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าพ่อกับแม่ไม่รักพวกเจ้า แต่เส้นทางเต๋าของพ่อกับแม่นั้นไม่สามารถถอยหรือละทิ้งได้ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะต้องรับผลเคราะห์ร่วมไปกับทั้งพ่อและแม่”
เมื่อฟังจบ หมิงจู้ที่ในตอนแรกเข้าห้องมาด้วยอารมณ์เบิกบาน แต่ตอนนี้ดวงตาของนางแดงก่ำไปด้วยน้ำตา นางไม่คิดว่าวันนี้ปีใหม่ปีนี้นางจะได้รู้ความจริงอันโหดร้ายบางส่วนของพ่อและแม่ของนาง
ขณะนี้ คฤหาสน์ตระกูลหลิงนั้นคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย
และยิ่งตอนนี้เมื่อมีหลิงตู้ฉิงและบรรดาลูก ๆ ของเขามาเข้าร่วม งานฉลองปีใหม่ก็มีชีวิตชีวามากขึ้น…
หลังจากเสร็จสิ้นการรับประทานอาหาร หลิงเจิ้งสงก็พาหลิงตู้ฉิงไปที่ห้องทำงานของเขา
“มีบางอย่างที่ผิดปกติกำลังเกิดขึ้นในเมืองหลวง” หลิงเจิ้งสงพูด
“มีอะไร?” หลิงตู้ฉิงถามกลับ
หลิงเจิ้งสงครุ่นคิดและพูดว่า “ข้าได้รับข่าวว่า ช่วงนี้เริ่มมีคนจำนวนมากในเมืองหลวง กลับมาพูดจาคุยโวเกี่ยวกับศาลาศักดิ์สิทธิ์จนถึงจุดที่เกือบจะยกย่องให้มันวิเศษพอ ๆ กับแดนสวรรค์ชั้นเก้ายังไงยังงั้น นอกจากนั้นยังมีคนพูดถึงเรื่องการเกี่ยวดองกันของตระกูลเราและตระกูลจ้าวอีกด้วย”
“ก็ปล่อยให้ผู้คนพูดกันไปเถอะ เราหยุดพวกเขาไม่ได้หรอกจริงไหม?” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ
หลิงเจิ้งสงส่ายหัว ด้วยประสบการณ์ที่เขาอยู่ในกองทัพมานานและเห็นการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นของการเมืองมาแล้วหลายรูปแบบ เขารู้ทันทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่สนใจจึงเตือนขึ้นต่อ “เจ้าจะประมาทแบบนี้ไม่ได้ นี่มันต้องเป็นแผนการที่วางไว้ของใครสักคนที่กำลังประสงค์ร้ายต่อเรา หากเราไม่ทำอะไรสักอย่างตอนนี้ เราอาจจะต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียที่ร้ายแรงในอนาคต!”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “เฮ้อ…ท่านนั้นไม่เข้าใจ หากใครสักคนจำเป็นต้องวางแผนการต่าง ๆ มากมายเพื่อเล่นงานผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม นั่นหมายความว่าคนผู้นั้นไม่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูของตนเอง และตราบใดที่เรายังคงมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง แผนการสมคบคิดที่แยบยลเพียงใดก็ไม่ต่างจากการแสดงละครตลกให้เราดู ฉะนั้นท่านไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจอะไรกับแผนการเด็กเล่นเหล่านี้ ข้าสามารถให้ความมั่นใจกับท่านได้ว่า ในทวีปนี้ล้วนไม่มีใครสามารถต่อกรกับข้าได้”
หลิงเจิ้งสงหัวเราะ “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าความมั่นใจของเจ้ามาจากไหน แต่ข้าก็ยังคงต้องเตือนให้เจ้าต้องระวังไว้ และยังมีอีกอย่างที่เจ้าต้องรู้ หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์สราญรมย์ครั้งล่าสุดที่เจ้าพูดถึงกระทิงอะไรนั่นน่ะ จักรพรรดิมาหาข้าเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องของเจ้า ในอาณาจักรจันทราทั้งหมดเราสามารถเพิกเฉยต่อใครก็ได้ แต่เจ้าต้องปฏิบัติตัวด้วยความระมัดระวังเมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิ เขาไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เจ้าหรือใคร ๆ คิด เขามีภูมิหลังที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้และเขายังมีผู้ติดตามที่ยากหยั่งถึงอยู่เคียงข้าง ถ้าเจ้าประมาทเขาเจ้าจะต้องเสียใจ” หลิงเจิ้งสงที่อยู่กับเหลียงซานมาเป็นเวลานานเขาเป็นคนที่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเหลียงซานมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องของเหลียงซานอยู่พอสมควร แม้ว่าเหลียงซานจะอยู่ที่ขอบเขตรวมแสงดารา แต่หลิงเจิ้งสงก็รู้ว่าความแข็งแกร่งของเหลียงซานนั้นไม่อาจวัดได้หากแค่ดูจากระดับการบ่มเพาะ
นอกจากนี้เมื่อก่อนตอนที่เหลียงซานยังไม่แข็งแกร่งนัก เขาได้รับการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญลึกลับอยู่หลายต่อหลายครั้งเมื่อเขาตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน จากจุดนี้ทำให้เขาเข้าใจได้ว่าเหลียงซานนั้นไม่ธรรมดา
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและยิ้ม “เรื่องนั้นข้ารู้”
หลิงเจิ้งสงส่ายหัว ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเหลียงซานไม่ธรรมดา แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าหลิงตู้ฉิงก็ไม่ปกติ
“ครั้งล่าสุดที่ลานหน้าคฤหาสน์ของเจ้า จักรพรรดิบอกว่าเขาสัมผัสได้ว่ามันเป็นสัตว์อสูรจากนรก เจ้าบอกข้าได้ไหมว่ามันหมายถึงอะไร?” หลิงเจิ้งสงถามอย่างสงสัย
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องถามข้าราวกับว่ามันเป็นเรื่องลึกลับอะไรขนาดนั้น นี่ไม่ใช่ความลับอะไรที่เป็นพิเศษเลย จริง ๆ แล้วนรกเป็นสถานที่อันตราย ที่อยู่ห่างไกลมาก ๆ ในทางทิศเหนือ สัตว์วิเศษในดินแดนนรกล้วนมีลักษณะนิสัยดุร้าย พวกมันมีรัศมีเข่นฆ่าที่น่ากลัวและสัตว์แต่ละชนิดนั้นมีความสามารถพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่างกันไป อันที่จริงเรื่องพวกนี้ในอนาคตหากข้าจะไปที่นั่นเมื่อไหร่ข้าจะมาบอกท่านอีกที ท่านสามารถติดตามข้าไปดูได้ด้วยตาตนเอง”
หลิงเจิ้งสงยิ้มอย่างขมขื่น ยิ่งฟังหลิงตู้ฉิงพูดเกี่ยวกับนรกเขาก็ยิ่งมึน
หลิงเจิ้งสงจึงเลิกถามเกี่ยวกับเรื่องนรก เนื่องจากถามไปก็ยิ่งทำให้ตัวเองสับสนมากขึ้น เขาจึงเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเป็นเรื่องวิธีการบ่มเพาะกับหลิงตู้ฉิง
ตอนนี้ในคฤหาสน์ตระกูลหลิง บรรดาคนอื่น ๆ ในตระกูลก็เริ่มจับกลุ่มคุยกัน ตัวอย่างเช่น หลิงเล่อชานที่กำลังพยายามถามหลิงฉุยฟงเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์ แต่น่าเสียดายที่หลิงฉุยฟงยังไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมากนักกับสิ่งที่ทุกคนทำในคฤหาสน์
ไม่ใช่ว่าหลิงฉุยฟงไม่เชื่อใจพี่ใหญ่ของเขา แต่มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขารู้ว่าตอนนี้เขาไม่สามารถพูดได้