บทที่ 144 แผนรับมือ[รีไรท์]
ตอนนี้ที่ประตูคฤหาสน์ ผู้คนที่ยังเหลืออยู่คือผู้คนที่ไม่มีข้อพิพาทใด ๆ กับหลิงตู้ฉิงมาก่อน พวกเขาต่างรีบเดินไปดูรายการวัตถุดิบที่ระบุอยู่บนแผ่นหินยักษ์
แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นรายชื่อวัตถุดิบต่าง ๆ แล้ว สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที
ในบรรดารายชื่อวัตถุดิบแทบจะทุกรายชื่อ มันเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้ยินและไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ในความสิ้นหวังยังมีเรื่องดีอยู่บ้างนั่นก็คือ ด้านหลังรายชื่อวัตถุดิบต่าง ๆ ได้มีการอธิบายถึงลักษณะและรายละเอียดของบรรดาวัตถุดิบเหล่านั้นอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้บรรดาผู้คนที่ไม่รู้จักชื่อของวัตถุดิบเหล่านี้ยังพอมีความหวังในการตามหาพวกมันอยู่บ้าง จากการสืบหาตามคุณลักษณะของพวกมัน
และที่สำคัญในบรรทัดท้ายสุดของรายการวัตถุดิบได้ระบุเงื่อนไขพิเศษไว้อีกหนึ่งรายการคือ หากผู้ใดก็ตามที่มีสิ่งของแปลก ๆ ที่ตัวเองและผู้คนทั่วไปไม่รู้จักแต่ดูแล้วเป็นสิ่งของหรือสมบัติระดับสูง พวกเขาสามารถนำพวกมันมาให้หลิงตู้ฉิงตรวจสอบได้ หากสิ่งของเหล่านั้นน่าสนใจเพียงพอ พวกเขาจะได้รับโอสถหรือสิ่งอื่น ๆ ที่มีค่าทัดเทียมกันตอบแทนกลับไป
บรรดาผู้คนที่มาในวันนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่บ่มเพาะและออกไปโลดโผนโจนทะยานไปทั่วทวีปมาเป็นเวลานาน ฉะนั้นพวกเขาจึงพอมีสิ่งของแปลก ๆ ที่พวกเขาไม่เข้าใจเก็บไว้บ้างอยู่แล้ว เมื่อเห็นรายการข้อสุดท้ายพวกเขาต่างตาลุกวาว และรีบเดินทางกลับไปยังที่พำนักของตนเองทันทีเพื่อไปนำสิ่งของเหล่านั้นมาให้หลิงตู้ฉิงตรวจสอบพวกมันต่อไป
หลังจากผ่านไปสักพัก ผู้คนที่มายืนรอต่อแถวกันจึงสลายตัวจากไปจนหมด เหลือแต่เพียงเงาของคนผู้หนึ่งที่กำลังบินตรงเข้าไปยังลานหน้าคฤหาสน์สราญรมย์
คนผู้นั้นที่ร่อนลงในลานหน้าคฤหาสน์ก็คือ หลิงเจิ้งสง
“ตู้ฉิง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปพบกับองค์หญิงมาแล้ว แต่เจ้ากลับปฏิเสธนาง ข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมเจ้าถึงทำเช่นนั้น?” หลิงเจิ้งสงที่เจอหน้าหลิงตู้ฉิงแล้วเขาไม่รีรอใด ๆ ถามคำถามเข้าประเด็นทันที
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ จากนั้นเขาเชิญหลิงเจิ้งสงไปนั่งในห้องโถงรับรองแขก และพูดขึ้นว่า “ท่านปู่ ผู้หญิงคนนั้นมีความคิดที่ไม่บริสุทธิ์ จุดประสงค์ของนางที่พบข้าไม่ใช่ต้องการที่จะติดตามรับใช้ข้า แต่เป็นควบคุมข้า ฉะนั้นไม่มีความจำเป็นอะไรที่ข้าจะเก็บผู้หญิงแบบนั้นไว้ข้างกาย”
หลิงเจิ้งสงถอนหายใจ “แต่เจ้าเองก็มีวิธีจัดการกับผู้หญิงแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง?”
“นั่นก็ถูก ข้าเองมีวิธีจัดการกับนางเป็นร้อยวิธี แต่ที่ข้าไม่ทำนั่นก็เพราะข้าไม่อยากจะเสียเวลากับเรื่องไร้สาระพวกนี้” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลิงเจิ้งสงส่ายหน้าและพูดว่า “หากเจ้าไม่ยอมแต่งงานกับนาง ข้าเกรงว่าในอนาคตอันใกล้องค์จักรพรรดิจะต้องเล่นงานพวกเราสองตระกูลอย่างหนักแน่นอน ข้ารู้นิสัยของเขาดี เขาจะไม่ยอมให้ใครมาขัดความประสงค์ของเขาง่าย ๆ แน่นอน”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “ถ้าเขาอยากจะทำอะไรก็ปล่อยเขาไปเถอะ อันที่จริงข้าหวังว่าเขาจะลงมือกับพวกเราเร็ว ๆ ด้วยซ้ำไป ข้าแทบอดทนรอไม่ไหวที่จะยึดบัลลังก์ของเขามาไว้ในมือข้าสักที”
“ทำไมเจ้าถึงต้องทำแบบนี้ด้วย?” หลิงเจิ้งสงเมื่อได้ยินเช่นนี้เขาขมวดคิ้วและถามทันที
หลิงตู้ฉิงหรี่ตาและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าต้องการบัลลังก์ของเขาให้ลูกของข้า หากไม่ได้บัลลังก์ของเขา ว่านจุนและยี่เทียนจะยังไม่สามารถเริ่มบ่มเพาะได้ และอันที่จริงในตอนแรกข้าไม่ต้องการที่จะลงมือกับเขาเพราะข้าเห็นแก่หน้าท่าน แต่ในเมื่อตอนนี้เป็นเขาเองที่วอนหาเรื่องข้าก่อน ฉะนั้นข้าจึงมีสิทธิ์ที่จะตอบโต้เขา!”
คำพูดของหลิงตู้ฉิงสร้างความตกตะลึงให้กับหลิงเจิ้งสงเป็นอย่างมาก หลิงเจิ้งสงเองเคยคาดเดาไว้คร่าว ๆ จากคำขอแปลก ๆ ของหลิงตู้ฉิง ว่าหลิงตู้ฉิงกำลังจ้องจะฮุบบัลลังก์ของอาณาจักรนี้อยู่ แต่สิ่งที่เขานึกไม่ถึงก็คือการคาดเดาของเขาจะกลายเป็นความจริงไวขนาดนี้
แต่กลับกัน หลิงเจิ้งสงเองไม่ได้พยายามปรามหลิงตู้ฉิงแต่เขากลับถามขึ้นต่อ “เจ้าช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจได้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงต้องการบัลลังก์ของจักรพรรดิ?”
หลิงตู้ฉิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและตอบว่า “ทุกราชวงศ์ในทุกอาณาจักรจะมีพลังปราณมังกรเหนือหัวเป็นของตนเอง และปราณเหล่านี้จะถูกเก็บสะสมรวมอยู่ในตราประทับหยกของจักรพรรดิ สำหรับว่านจุน เขาต้องใช้พลังปราณมังกรนั่นในการปลุกพรสวรรค์ของเขาขึ้นมาไม่เช่นนั้นเขาจะยังไม่สามารถเริ่มบ่มเพาะได้ ส่วนยี่เทียนพรสวรรค์ของเขานั้นเกี่ยวข้องกับชะตาการเป็นจักรพรรดิ หากไม่มีบัลลังก์นั่น เขาจะยังไม่สามารถเริ่มบ่มเพาะได้ เอาล่ะท่านปู่เรื่องนี้เป็นความลับที่สำคัญมาก ท่านห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกต่อกับใครเด็ดขาด”
หลิงเจิ้งสงส่ายหน้าและพูดว่า “ข้าไม่มีทางไปพูดเรื่องนี้กับใครแน่ ถ้าเช่นนั้นหากเราลงมือที่จะยึดบัลลังก์ของจักรพรรดิจริง ๆ เจ้าจะหวังพึ่งพาอำนาจกำลังทหารประจำการของข้าที่อยู่ในมือตอนนี้ไม่ได้รวมไปถึงความแข็งแกร่งของสถาบันราชวงศ์ด้วยเช่นกัน เมื่อเราเริ่มก่อสงครามขึ้น ขุมพลังเหล่านั้นจะถูกจักรพรรดิโยกกลับไปอยู่ใต้การบังคับบัญชาของเขาทันที”
“เมื่อถึงเวลานั้นทั้งข้าเองและจ้าวปาเทียน พวกเราอาจจะช่วยเหลือเจ้าไม่ได้แถมอาจจะเป็นตัวถ่วงให้เจ้าด้วยซ้ำ ฉะนั้นเจ้าช่วยบอกแผนการของเจ้าให้ข้ารู้หน่อยได้ไหม ว่าเจ้ามีไพ่เด็ดอะไรในการรับมือกับจักรพรรดิและคนของเขา?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มพลางมองไปยังหลิงเจิ้งสงและพูดว่า “ท่านปู่ ตอนนี้ท่านเดาไม่ออกจริง ๆ เหรอว่าทำไมข้าถึงต้องการทหารของท่านมาจำนวน 750 คน?”
หลิงเจิ้งสงมองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยแววตาสงสัยและถามขึ้น “ทหารเพียง 750 คนจะไปทำอะไรได้?”
“ข้าคิดว่าท่านควรไปดูให้เห็นด้วยตาตนเองดีกว่าให้ข้าอธิบายปากเปล่านะท่านปู่” เมื่อพูดจบหลิงตู้ฉิงจึงลุกขึ้นและเดินนำหลิงเจิ้งสงไปยังลานฝึกหลังคฤหาสน์
เมื่อเดินไปถึงลานฝึกหลังคฤหาสน์ ดวงตาของหลิงเจิ้งสงเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงทันทีกับภาพที่เห็น
ในตอนนี้ด้วยการนำของหลิงฉุยฟง ทหารทั้ง 5 กองกำลังใช้ค่ายกลประจำตัวทำงานประสานกันและเคลื่อนไหวโดยการมุดไปยังใต้ดินของลานฝึก
“นี่มันบ้าอะไรกัน?” หลิงเจิ้งสงอุทานด้วยความตกใจ
หลิงเจิ้งสงนำกองทัพมาตลอดชีวิตและตัวเขาเองก็รู้วิธีการเดินทัพทุกรูปแบบทั้งที่อยู่ในตำราและนอกตำราทั้งหมด แต่เขาสาบานได้ว่าเขาไม่เคยเห็นหรือไม่เคยได้ยินการเคลื่อนทัพแบบนี้มาก่อน
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ตอนนี้พวกเขากำลังฝึกฝนรูปแบบการเคลื่อนทัพปฐพีอำพราง ซึ่งเป็นรูปแบบเคลื่อนทัพที่สามารถเคลื่อนย้ายกองทัพขนาดใหญ่ผ่านการมุดไปยังใต้ดินได้ นอกจากการใช้ปฐพีอำพรางแล้ว ยังมีรูปแบบเคลื่อนทัพอื่นที่สามารถทำให้กองทัพนี้บินขึ้นไปบนท้องฟ้าหรือสามารถลอยอยู่กลางทะเลได้”
หลิงเจิ้งสงที่ยิ่งได้ฟัง เขายิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะแม่ทัพนี่เป็นกองทัพในอุดมคติที่เขาต้องการบัญชาการ ถ้าเขาสามารถสั่งการและนำกองทัพแบบนี้เข้าสู่สนามรบได้มันจะเป็นความน่าทึ่งขนาดไหน? เมื่อจินตนาการถึงอำนาจของกองทัพนี้แล้ว หลิงเจิ้งสงจึงพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจขึ้นทันที “ทำไมในเมื่อเจ้ามีกองทัพที่ดีขนาดนี้แล้ว เจ้าถึงไม่บอกข้าสักคำ และทำไมเจ้าถึงไม่ให้ข้าเป็นผู้นำทัพ?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ท่านปู่ทุกการเคลื่อนไหวของท่านดึงดูดความสนใจมากเกินไป ดังนั้นในตอนแรกที่ข้าขอพวกทหารมาข้าจึงยังไม่ได้บอกอะไรกับท่าน แต่ท่านอย่าลืมสิว่าตอนนี้ผู้นำกองทหารนั้นคือลูกชายของท่านเอง นี่มันก็ไม่เท่ากับว่าท่านปู่เป็นผู้นำของกองทัพนี้ด้วยหรอกเหรอ?”
หลิงเจิ้งสงพูดด้วยความอิจฉาว่า “ลูกของข้านี่มันช่างโชคดีจริง ๆ ว่าแต เจ้าสามารถถ่ายทอดรูปแบบเคลื่อนทัพเหล่านี้ให้ข้าได้ไหม ข้าจะได้นำมันกลับไปฝึกทหารคนอื่น ๆ ในตระกูลของเรา เราจะได้มีแต้มต่อมากขึ้นเมื่อปะทะกับกองทัพของจักรพรรดิโดยตรง”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ข้าจะถ่ายทอดให้ท่านก็ได้ท่านปู่ แต่ท่านจะต้องยังไม่นำรูปแบบเคลื่อนทัพนี้ไปฝึกให้กับบรรดาทหารของท่านที่อยู่ในตระกูล ท่านต้องเข้าใจว่ายิ่งเรานำไปฝึกมากเท่าไหร่ความลับของค่ายกลนี้ก็จะยิ่งมีโอกาสถูกเปิดเผยมากขึ้นเท่านั้น รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อนจากนั้นท่านค่อยนำค่ายกลนี้ไปฝึกให้กับพวกเขาทีหลัง”
“เยี่ยมมาก!” หลิงเจิ้งสงหัวเราะทันที พร้อมกับพึมพำในใจ
ตราบใดที่เขาศึกษาค่ายกลนี้จนทะลุปรุโปร่งแล้ว หากเขาต้องการที่จะเล่นบทผู้นำกองกำลังจริง ๆ เขาก็เพียงแค่มาที่นี่และขอยืมทหารเหล่านี้จากฉุยฟงและนำการฝึกในบริเวณลานนี้ไปพลาง ๆ ก่อนก็คงไม่มีปัญหา ยังไงซะลูกชายของเขาก็คงไม่กล้าขัดใจเขาอยู่แล้วจริงไหม?
หลิงเจิ้งสงมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความพึงพอใจและพูดว่า “ไพ่เด็ดของเจ้าน่าประทับใจมาก แบบนี้ข้าก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีกแล้ว หากเหลียงซานกล้าจะแตะต้องพวกเราจริง ๆ แล้วล่ะก็ ข้าเองก็เตรียมพร้อมที่จะสู้กับเขาเช่นกัน! เอาล่ะ ตอนนี้ข้าคงจะต้องกลับไปเตรียมตัวเผชิญหน้ากับเหลียงซานก่อน หากข้าเดาไม่ผิด เขาน่าจะต้องลงมือจัดการอะไรบางอย่างกับเราภายใน 3 วันเป็นอย่างช้าที่สุด”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ท่านไม่จำเป็นต้องไปสนใจว่าเขาจะใช้กลอุบายอะไร หากเขาจะทำอะไรก็ปล่อยเขาทำไปเถอะ นอกจากนี้หากท่านมีเวลาว่าง ข้าอยากให้ท่านมาที่ชั้นเรียนของศาลาศักดิ์สิทธิ์เพื่อฟังบทเรียนของอาจารย์ในคณะของข้าบ้าง บทเรียนเหล่านี้มันเป็นประโยชน์มากสำหรับท่าน”
หลิงเจิ้งสงพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “ข้าว่าเจ้าเองน่าจะสอนได้ดีกว่าพวกเขานี่นา แล้วทำไมเจ้าถึงไม่สอนให้ข้าเองซะเลยล่ะ?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ข้าสามารถสอนได้ดีกว่าพวกเขาจริง ๆ นั่นแหละ แต่ข้าเกรงว่าด้วยความรู้พื้นฐานที่ท่านมีในตอนนี้คงจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าสอนแน่นอน ฉะนั้นท่านจำเป็นต้องไปเข้าฟังชั้นเรียนพื้นฐานของบรรดาอาจารย์ในคณะข้าก่อน ไม่เช่นนั้นต่อให้ข้าสอนท่านไปท่านก็ไม่เข้าใจอะไรเลยอยู่ดี”
หลิงเจิ้งสงพูดอย่างหมดอารมณ์หยอกล้อ “เจ้านี่มันหยิ่งผยองยิ่งกว่าพ่อแม่ของเจ้าซะอีก ในตอนนั้นที่ข้าพบพวกเขา พวกเขาดูสุภาพและอ่อนโยนมากกว่าเจ้าตั้งเยอะ เฮ้อ…เอาล่ะ ๆ ข้าจะแบ่งเวลาไปเข้าชั้นเรียนของเจ้าทุกวัน ยังไงซะมันก็ไม่ได้ใช้เวลามากมายอยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินหลิงเจิ้งสงพูดถึงพ่อแม่ของเขา หลิงตู้ฉิงก็ยิ้ม
น่าเสียดายที่การจุติของเขามันประหลาดเกินไป จนทำให้เขาไม่ทันตื่นรู้ในช่วงที่พ่อแม่ของเขายังอาศัยอยู่ด้วย เขาเลยไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพ่อแม่ของเขา
เท่าที่เขารู้พ่อแม่ของเขาน่าจะไม่ใช่คนธรรมดา หรือไม่บางทีเขาก็คิดว่าคนทั้งสองนั้นอาจจะไม่ใช่พ่อแม่ของเขาจริง ๆ ไม่เช่นนั้นเขาน่าจะมีภาพในความทรงจำที่ยังเหลืออยู่อะไรบ้างให้พอนึกได้
“ท่านปู่มีอีกอย่างหนึ่งที่ข้าจะให้กับท่าน ตอนนี้สถานการณ์ในอาณาจักรจันทราจะเริ่มวุ่นวายขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของท่านปู่ ข้าจะประทับค่ายกลลงบนชิ้นหยกให้กับท่าน เพื่อให้ท่านนำพวกมันกลับไปติดตั้งรอบบริเวณของคฤหาสน์ของท่านเอง อย่างน้อย ๆ ด้วยค่ายกลเหล่านี้ท่านจะได้สามารถต้านบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสูงกว่าท่านได้นานขึ้นเพื่อรอจนกว่าข้าจะไปช่วยท่านทัน” หลิงตู้ฉิงพูด
หลิงเจิ้งสงถอนหายใจ “สถานการณ์วุ่นวายในปัจจุบันทั้งหมดเกิดจากโอสถกำเนิดรากฐานที่มีคุณภาพสูงเหล่านั้น นี่ตอนนี้ยังดีที่ข่าวเรื่องโอสถนี่ยังคงลือกันเฉพาะแค่เพียงในอาณาจักรจันทราเท่านั้น แต่ถ้านานเข้าเมื่อคนในอาณาจักรอื่นได้ยินเรื่องนี้พวกเขาคงจะแห่กันมา”
เมื่อตกลงกันเสร็จ หลิงตู้ฉิงจึงเริ่มวาดรูปแบบค่ายกลลงบนแผ่นหยกชิ้นเล็ก ๆ หลายสิบชิ้น และอธิบายรายละเอียดการนำพวกมันไปติดตั้งตามจุดทิศต่าง ๆ ทั่วพื้นที่ของบริเวณคฤหาสน์
หลิงเจิ้งสงที่ได้รับหยกที่บรรจุรูปแบบค่ายกลและรู้วิธีการติดตั้งพวกมันแล้ว ในขณะที่เขากำลังจะจากไป ทันใดนั้นความผันผวนของพลังวิญญาณที่รุนแรงก็แผ่ออกมาจากทิศทางที่ตั้งของคฤหาสน์ตระกูลมี่